หอมู่เหยียนตั้งอยู่ติดกับทะเลสาบ
ส่วนอีกฝั่งหนึ่งของทะเลสาบคือสำนักเชิน
จี้จิ่วโหยวจึงมักจะนั่งเรือมาทางนี้
ด้วยคนในหอมู่เซียงกับเขาล้วนแต่สนิทสนมกันดี
จี้จิ่วโหยวจึงนับว่าเป็แขกประจำของที่นี่
บางคราเขาก็จะได้พบกับคนรู้จักอยู่บ้าง
เช่นเดียวกันกับวันนี้ที่เขาได้พบกับคนคุ้นเคย
คนรู้จักยังได้แนะนำให้เขารู้จักกับคนจากตระกูลหยินแห่งแคว้นซีสองคน คนหนึ่งเป็บัณฑิตในชั้นเรียนเตรียมความพร้อมของท่านอาจารย์จวี เล่ากันว่าเป็บุตรคนสุดท้องของตระกูลหยิน
ว่ากันตามธรรมเนียมแคว้นซีที่แม้จะเป็บุตรคนสุดท้อง หรือจะมีความสัมพันธ์ซับซ้อนเพียงใด ต่อไปก็อาจกลายมาเป็ผู้สืบทอดได้
ทั้งนี้เพราะเป็คนตระกูลหยิน ต่อให้จี้จิ่วโหยวรำคาญเพียงใดก็ยังต้องรับปากว่าจะออกมาพบอยู่ดี
ส่วนท่านอาจารย์ที่ถูกลากออกมาด้วยกัน ก็ได้แต่ทำหน้าดำคร่ำเครียด
เขาอุตส่าห์ได้รับสมญานามว่าเป็อาจารย์ที่เคร่งครัดในกฎระเบียบมากที่สุด มาบัดนี้กลับมาพบปะกับลูกศิษย์ของตนในหอเฟิงเยว่เสียได้ ช่างน่าอับอายเหลือเกิน
ทว่าจี้จิ่วโหยวตกปากรับคำไว้แล้ว ท่านอาจารย์จวีต่อให้ไม่เบิกบานใจเพียงใด ก็ได้แต่ฝืนเอาไว้
ก็จนปัญญานักที่ตระกูลหยินมีชื่อเสียงเหลือเกิน
คำกล่าวที่ว่าร่ำรวยเสียจนครองแคว้นได้ คือคำกล่าวที่ผู้คนใช้ในการบรรยายตระกูลหยิน
คำกล่าวนี้ช่างน่าสนใจจริงๆ
อำนาจของตระกูลหยินในแคว้นซีมากยิ่งกว่าราชวงศ์ ดังนั้นเื่ที่สำนักเชินรับคนตระกูลหยินเข้าเป็ศิษย์ในสำนักจึงกลายเป็เื่โด่งดังขึ้นมา
ตระกูลหยินเคยลงเงินก้อนโตซื้อผ้าป่านจำนวนมากจากแคว้นเหวย แคว้นเล็กๆ ที่อยู่ข้างแคว้นซี ทั้งยังซื้อสูงกว่าราคาในท้องถิ่นของแคว้นนั้น จนทำให้ทุกคนล้วนแต่คิดว่าตระกูลหยินราวกับแพะอ้วนที่มาให้พวกเขารีดไถ ดังนั้นด้านหนึ่งแม้จะพากันหัวเราะเยาะ ทว่าอีกด้านก็พยายามสุดฝีมือที่จะหาผ้าป่านมาขายตระกูลหยินให้ได้ เช่นนี้เหล่าตระกูลที่ขายผ้าป่านในปีนั้นต่างก็พากันมั่งคั่งไปตามๆ กัน
ในปีที่สามสภาพอากาศแปรปรวน การเก็บเกี่ยวไม่ดี ต้นหม่อนจึงเติบโตได้ไม่ดีนัก ทว่าเหล่าคนที่ปลูกหม่อนในแคว้นเหวยต่างก็รู้สึกตื่นเต้น เพราะในเมื่อมีหม่อนน้อยเช่นนี้ ราคาที่จะขายให้ตระกูลหยินปีนี้ก็ย่อมต้องสูงขึ้น…แต่สุดท้ายตระกูลหยินกลับกล่าวว่าปีนี้สภาพอากาศแปรปรวน พวกเขาก็ขาดทุนไปไม่น้อยเช่นกัน จึงไม่ขอซื้อหม่อนเหล่านี้ ทว่าพวกเขายินดีแบ่งเสบียงอาหารให้ เพียงแต่ราคาอาจจะสูงอยู่สักหน่อย
การเก็บเกี่ยวไม่ดีจึงไม่มีใครคิดปลูกพืชพรรณธัญญาหาร แต่หม่อนก็ขายไม่ออกเช่นกัน แคว้นเหวยจึงเข้าสู่ยุคข้าวยากหมากแพง ทั้งยังไม่มีกำลังจะซื้อเสบียงในราคาสูง เช่นนี้แคว้นซีจึงไม่ต้องให้กองทัพหลั่งเืสักหยดก็สามารถเข้ายึดแคว้นเหวยได้ทันที นับแต่นั้นในใต้หล้านี้ก็ไม่มีแคว้นเหวยอีก มีเพียงแต่แคว้นซี
ราชวงศ์ในแคว้นเหวยจวบจนสิ้นใจก็ยังไม่รู้ตัวว่าพวกเขาสิ้นแคว้นได้อย่างไร
เื่นี้คนลงมือเป็เพียงตระกูลวาณิชตระกูลหนึ่งเท่านั้น
ยิ่งกว่านั้นแคว้นเหวยยังไม่ใช่แคว้นเล็กๆ เพียงแคว้นเดียวที่ต้องสิ้นแคว้น แคว้นซีในหลายปีมานี้ล้วนแต่ใช้วิธีการทำนองนี้จนแคว้นยิ่งใหญ่ขึ้นมา
แผนการเหล่านี้เพียงแค่ได้ฟังก็ชวนให้ขนลุก แม้จะฟังดูเหมือนเพียงเื่สนุกในวงสนทนา ทว่ามันกลับเป็เื่จริง เพราะหลังจากเกิดเื่นี้สำนักเชินก็ได้สืบทราบจนกระจ่างเพื่อจะใช้ศึกษาในกาลต่อไป
นี่ก็เป็อีกหนึ่งเหตุผลว่าเหตุใดสถานะของพ่อค้าในแคว้นเชินจึงต่ำต้อยนัก เพราะราชวงศ์รู้สึกว่าเหล่าพ่อค้าช่างน่ากลัวเหลือเกิน หากไม่อาจควบคุมได้ คนเหล่านี้ก็คงจะเติบโตราวกับปีศาจ เช่นนี้จึงได้พากันกดขี่สถานะของตระกูลวาณิชเสมอมา
บัดนี้จี้จิ่วโหยวดื่มสุราไปก็คิดไปว่ายามเจอคนตระกูลหยิน แล้วควรมีท่าทีอย่างไร
ทว่ากลับเหลือบไปเห็นเด็กหนุ่มสี่ห้าคนที่กำลังเดินเข้ามาในโถง
ท่านอาจารย์จวีเป็คนที่เห็นก่อน ภาพของพวกเด็กเหล่านี้ช่างชวนให้แสบตานัก
เ้าเด็กนั่นยังเคยส่งงูมาให้เขา ช่างน่าตายนัก อายุเพียงไม่เท่าไรก็มีหน้าวิ่งโร่มาใช้บริการหอเฟิงเยว่เสียแล้ว ตอนนี้กระทั่งขนก็ยังไม่รู้ว่างอกกันหรือยัง
หากว่าเป็ยามปกติ ท่านอาจารย์จวีก็คงจับเ้าเด็กเหล่านี้มาลงทัณฑ์บนเสียแล้ว
ทว่าในสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็ไม่อาจแบกหน้าไปทำตัวสอนสั่งเ้าพวกเด็กหนุ่มเหล่านี้ได้ อาจารย์จวีและจี้จิ่วโหยวจึงได้แต่นั่งเงียบๆ อยู่ในมุมที่ไม่มีใครมองเห็น
ทว่าก็ไม่คาดคิดว่าในยามนี้จะมีคนเอ่ยถึงตนขึ้นมาได้
จี้จิ่วโหยวคราแรกที่ได้ยินก็ถึงกับพ่นสุรา
“ไม่เป็ไร ข้าจะทายเองว่ามันมีกี่เม็ด อาหารที่นี่อร่อยถึงเพียงนี้ สุราก็ย่อมจะต้องรสเลิศด้วยเช่นกัน ข้าเองก็อยากลองอยู่พอดี” เฉินโย่วกล่าวขึ้นยิ้มๆ
เด็กหนุ่มหน้าตางดงาม ไม่ว่ากล่าวอะไรก็ล้วนแต่ฟังแล้วรื่นหู
เด็กหนุ่มขาเรียวยาวในชุดขาวค่อยๆ นั่งลง แล้วเริ่มเทสุรา
ยังไม่ทันได้ดื่มก็ชวนให้คนรู้สึกเมามายเสียแล้ว
จี้จิ่วโหยวหลังจากพ่นสุราออกมาก็มองเห็นภาพนี้จากไกลๆ ทั้งยังอดส่ายหน้าขึ้นมาไม่ได้ “เฮ้อ พวกเราแก่แล้ว แก่แล้วจริงๆ บุรุษเสเพลจอมเ้าชู้ตัวจริงก็เป็เ้าเด็กในวันนี้แล้ว”
หลินกั่วเอ๋อร์ยิ้มยั่วยวนคราหนึ่ง ก่อนจะซ่อนแขนขาวเนียนไว้หลังร่างอรชร ผ่านไปครู่หนึ่งก็ยื่นมือออกมาตรงหน้าเฉินโย่ว “ท่านทายมา!”
เรียวแขนขาวเนียนที่ชวนให้คนตาลาย ยื่นออกมาใกล้จนแทบจรดกับริมฝีปากของเฉินโย่ว ราวกับว่าหากเฉินโย่วอ้าปากก็จะกัดเข้ากับแขนนางได้
ก็บอกไม่ถูกเช่นกันว่าคนรอบข้างจะมีความคิดเพ้อเจ้อเช่นนี้ไหม
ส่วนเฉินโย่วเอาแต่จดจ้องเพียงเรียวแขนขาวเนียนของนาง จากนั้นทำท่าทางครุ่นคิดอย่างจริงจังแล้วเอ่ยขึ้น “พี่กั่วเอ๋อร์ หนาวหรือไม่ โถงนี้อยู่ติดกับแม่น้ำ ลมพัดแรงเหลือเกิน”
ทุกคน “…”
เมื่อได้เห็นท่าทางยั่วยวนของสตรีตรงหน้า ก็พากันหน้าแดงไปตามๆ กัน
กระทั่งเกาเฉิงชื่อผู้แสนเ็าก็ยังอดจะส่งสายตานับถือให้เฉินโย่วไม่ได้
“บ่าวไม่หนาวเ้าค่ะ บ่าวเป็คนทางเหนือ ั้แ่เล็กก็ไม่ค่อยจะหนาวอยู่แล้วเ้าค่ะ ท่านรีบทายเข้าสิเ้าคะว่าในมือมีเม็ดบัวกี่เม็ดกัน หากทายไม่ถูกก็ต้องดื่มสุรานะเ้าคะ”
เห็นได้ชัดว่านางกำลังเอ่ยเตือนอยู่ เมื่อนางถามเด็กหนุ่มตรงๆ เช่นนี้ว่ามีกี่เม็ด คนรอบข้างล้วนแต่คิดว่านางคงกำลังจะ้าทำให้เด็กหนุ่มใจเต้น
เฉินโย่วก้มหน้าลงทำจมูกฟุดฟิด
ใบหน้างดงามอยู่ข้างมือคู่เรียวราวกับกำลังจะจุมพิตมือคู่นั้น
หลินกั่วเอ๋อร์เมื่อเห็นท่าทางของเด็กหนุ่มก็หน้าแดง หัวใจก็ยิ่งสั่นระรัว เ้าเด็กนี่ช่างน่าตายนัก
“ไม่มี ทั้งสองมือล้วนไม่มี” เฉินโย่วเงยหน้ากล่าวขึ้น
จากนั้นหลินกั่วเอ๋อร์จึงแบมือออก
เป็ดังที่เฉินโย่วว่า ในมือคู่งามมีเพียงความว่างเปล่า
หลินเฟินและคนอื่นๆ พากันเบิกตาโต เมื่อเห็นว่าไม่มีจริงๆ ทั้งที่เมื่อครู่ยังเห็นพี่สาวคนงามทำหน้าว่าจะอ่อนข้อให้ ถามว่าในมือนั้นมีกี่เม็ด แต่แท้จริงแล้วกลับไม่มีสักเม็ด พี่สาวคนนี้ช่างหลอกล่อคนเก่งเสียจริง
หลินกั่วเอ๋อร์ได้แต่ทำหน้าใ ทว่าก็ยังยกจอกสุราขึ้นอย่างผ่าเผยแล้วดื่มเข้าไปจนหมดในอึกเดียว มุมปากยังมีหยดสุราไหลย้อยเป็ทางลงมาบนลำคอระหงของนาง
จากนั้นโฉมงามก็ร้องขึ้น
“อีกรอบ!”
นางกล่าวขึ้นอย่างกล้าหาญ
เฉินโย่วพยักหน้าตกลง
คราวนี้ใช้เวลาสั้นกว่าเดิม หลินกั่วเอ๋อร์ซ่อนมือไว้ด้านหลังเพียงครู่เดียวก็ยื่นออกมาด้านหน้า
“ห้าเม็ด ซ้ายมีสี่เม็ด ขวามีหนึ่งเม็ด” เฉินโย่วตอบ
หลินกั่วเอ๋อร์ยกจอกสุราขึ้นดื่มต่อ
ใต้แสงรำไร เพียงพริบตาก็ได้เห็นแม่นางที่งดงามราวกับปีศาจงูดื่มจนร่างกายเริ่มจะอ่อนเปลี้ยขึ้นมา ยามนี้ไม่ใช่เพียงแค่ใบหน้าที่แดงขึ้นมา แต่กลับแดงเถือกไปทั้งร่าง
ดูราวกับผลไม้สุกที่รอคนมาเก็บเกี่ยวก็ไม่ปาน
คนอื่นๆ ต่างพากันสนใจขึ้นมา ในใจคิดกันว่าใครมันจะทายถูกไปเสียทุกตา ไม่แน่ว่าพี่กั่วเอ๋อร์อาจจะยอมอ่อนข้อให้เอง เพราะเกิดถูกใจเ้าเด็กหนุ่มคนนี้ขึ้นมา ก็เด็กหนุ่มตรงหน้านี้ช่างงดงามราวกับไม่ใช่มนุษย์
หลินเฟินบัดนี้ได้แต่ทำหน้าริษยาเฉินโย่ว เ้าเด็กนี่มันช่างมีวาสนากับสาวงามเสียจริง
ทว่ากลับได้ยินเฉินโย่วถามพวกเขาขึ้นมาว่า “พวกเ้ามีเสื้อคลุมหรือไม่ เอามาให้ข้ายืมหน่อยเถิด”
“ข้ามี” เกาเฉิงชื่อหยิบเสื้อคลุมที่วางอยู่ข้างกายส่งให้อีกฝ่าย
จากนั้นก็เห็นเฉินโย่วกางเสื้อคลุมตัวนั้นคลุมให้แม่นางตรงหน้า ท่าทีช่างแสนอ่อนโยน และอบอุ่นจนหญิงสาวรอบข้างอิจฉาตาร้อนไปตามๆ กัน
จากนั้นก็เห็นว่าหลังจากที่เขาคลุมเสื้อให้เรียบร้อยแล้วก็เอ่ยขึ้น “ยังมีพี่สาวคนใดจะเดิมพันสุราอีกหรือไม่ ข้ายังไม่ทันได้ดื่มสุราเลย”
หลินกั่วเอ๋อร์ที่กำลังแสร้งว่าเมา “…”
เหล่านางคณิกาพากันหัวเราะ จากนั้นก็ล้อมเข้ามา
เกาเฉิงชื่อถูกเบียดเข้ามาจนแนบชิดกับเฉินโย่ว จึงอดกล่าวขึ้นเสียงเบาไม่ได้ว่า “เ้าก็มีเสื้อคลุมไม่ใช่หรือ จะใช้ของข้าทำไม”
“ข้าแค่ไม่ชอบกลิ่นแป้งฉุนๆ หากใช้ของข้าแล้วมีกลิ่นติดมาแล้วพี่ชายข้ามาได้กลิ่นเข้า ย่อมจะต้องไม่พอใจเป็แน่” เฉินโย่วตอบ
หลินกั่วเอ๋อร์ที่แสร้งว่าเมาอยู่กึ่งหนึ่งพลันสะบัดเสื้อคลุมออกแล้วกล่าวขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด “อีกรอบ!”