เมื่อกลับมาถึงบ้านตระกูลเสิ่น กู้เจิงก็รู้สึกอ่อนเพลียมาก หลังจากล้างหน้าล้างตาแล้วนางจึงเข้านอนเลย
ในตอนแรกนางคิดว่าจะเหนื่อยจนหลับในทันที แต่ไม่คิดว่าพอหัวถึงหมอนกลับตาสว่าง ในสมองของนางนึกถึงแต่เื่ของตวนอ๋อง ตวนอ๋องตอนปกติกับเวลาเมาต่างกันเหมือนกับเป็คนละคนโดยสิ้นเชิง
ครั้งแรกที่เมา เขาเรียกนางว่าอนุรักของเขา แล้วครั้งที่สองเล่า? ไม่เพียงแค่อนุรัก แต่ยังบอกว่าจะเข้าห้องหอกับนาง และยังบอกอีกว่าเขากับนางเคยทำเื่มั่วโลกีย์กันแล้ว จนนางต้องกลายเป็สตรีที่แต่งติดตามไปพร้อมกับกู้อิ๋ง
กู้เจิงคิดอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ตวนอ๋องผู้นี้หลังเมามายคล้ายจะมีชีวิตอยู่ในอีกโลกหนึ่ง ในโลกใบนั้น นางเป็อนุของเขา และความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาสองคนค่อนข้างละเอียดอ่อน
ช่างไร้สาระสิ้นดี หากถ้อยคำที่ตวนอ๋องผู้เมามายกล่าวเป็ความจริงและเคยเกิดขึ้นจริง จู่ๆ นางก็มีความคิดแวบเข้ามา หรือว่าตวนอ๋องจะกลับมาเกิดใหม่เหมือนนางอย่างนั้นหรือ?
มันเป็ไปได้หรือ?
แต่จะมีอะไรที่เป็ไปไม่ได้ ดูอย่างตัวนางเองสิ ยังมาจากต่างภพเลยไม่ใช่หรือไง?
กู้เจิงยอมรับเื่นี้ได้ไม่ยาก สมมุติว่าตวนอ๋องได้กลับมาเกิดใหม่ ในชาติก่อนของเขา นางเป็อนุรักคนโปรดของเขาอย่างนั้นหรือ? กู้เจิงเป็กังวล เื่นี้ยากที่จะยอมรับไปสักหน่อย
แต่ถึงแม้ว่ายากจะที่ยอมรับ แต่ก็อาจจะเป็เื่ที่เกิดขึ้นจริง แสดงว่าในชาตินั้นที่นางกับซู่เหนียงร่วมมือกันวางยาเขาก็สำเร็จสินะ? หลังจากนั้นนางก็แต่งไปจวนอ๋องพร้อมกับกู้อิ๋งอย่างนั้นหรือ?
แล้วพอตวนอ๋องได้กลับมาเกิดใหม่ในชาตินี้ เขาจึงได้เตรียมการไว้เพื่อจะไม่ตกหลุมกับดักของนางและซู่เหนียงอีกอย่างนั้นหรือ เมื่อคิดถึงสายตาของตวนอ๋องที่มักจะมองนางด้วยสายตาเคียดแค้น สงสัยว่าร่างเดิมของนางน่าจะทำอะไรที่ผิดต่อตวนอ๋องมากมายเลยกระมัง
กู้เจิงกลุ้มใจ ดูจากท่าทีที่ตวนอ๋องมีต่อนางแล้ว เหมือนจะทั้งรักทั้งแค้น นางไม่อยากจะเข้าไปพัวพันกับตวนอ๋องมากนัก เพราะเื่ที่เคยเกิดขึ้นในอดีตไม่ใช่การกระทำของนาง
ความไม่สบายใจทำให้กู้เจิงเขยิบตัวเข้าหาเสิ่นเยี่ยนอย่างเงียบๆ จู่ๆ นางก็นึกถึงคำพูดของตวนอ๋องที่เรียกเขาว่าเสนาบดี เสนาบดีก็คือขุนนางชั้นสูงน่ะสิ
กู้เจิงตื่นเต้นขึ้นมาทันที นางเงยหน้ามองเสิ่นเยี่ยนที่กำลังหลับอยู่ แม้ในห้องจะมืด แต่ระยะห่างจากใบหน้าเขาก็ยังมองเห็นได้ชัดเจน
หากสิ่งที่นางคิดเป็ความจริง กู้เจิงก็อดลิงโลดในใจไม่ได้
ฉับพลันนั้นเอง จู่ๆเสิ่นเยี่ยนก็ลืมตาขึ้น สายตาของเขาปะทะเข้ากับดวงตาของนาง
“ท่านพี่ ท่านยังไม่หลับหรือเ้าคะ?” กู้เจิงส่งยิ้มให้เขา
เสิ่นเยี่ยนส่งเสียงอืมเบาๆ “มีเื่อะไรให้เ้ามีความสุขปานนี้?”
“ท่านพี่จะต้องได้เลื่อนตำแหน่งแน่นอนเ้าค่ะ ไม่แน่ว่าในอนาคตอาจจะได้เป็ถึงเสนาบดีที่อยู่เหนือคนนับหมื่นคนก็ได้นะเ้าคะ”
เขามองภรรยาที่ดูตื่นเต้น ก่อนจะตบไหล่นางเบาๆ เอ่ยเสียงเรียบว่า “นอนเถอะ”
วันรุ่งขึ้น อากาศยังคงขมุกขมัวและหนาวเย็นมากยิ่งขึ้น
ตอนที่กู้เจิงตื่นมา ชุนหงก็เตรียมเตาผิงเล็กๆ ไว้ให้แล้ว นางมองดูชุนหงที่แก้มต้องไอเย็นจนแดงระเรื่อ สองมืออุ่นๆ ของกู้เจิงจึงยื่นไปกุมหน้านางไว้
“มือของคุณหนูอุ่นจังเ้าค่ะ” ชุนหงพูดอย่างชอบใจ
“เ้าทำตัวเองให้อุ่นก่อนแล้วค่อยมาดูแลข้าก็ได้” กู้เจิงซาบซึ้งใจที่ชุนหงคอยดูแลนางเป็อย่างดี
“บ่าวไม่หนาวเ้าค่ะ” ชุนหงรีบเอาเสื้อคลุมมาสวมให้คุณหนู
“เ้าจะต้องอ่านหนังสือทั้งสองเล่มที่ข้าให้ไป ให้จบภายในสามวันนะ” กู้เจิงสบตาชุนก่อนสั่ง
“บ่าวรู้อักษรมาพอประมาณแล้วเ้าค่ะ” ชุนหงรีบรับคำ
“เ้าดูปาเม่ย แล้วเทียบกับนางสิ เ้าต้องขยันให้ได้แบบนางบ้าง”
ชุนหงคิดไปคิดมา ก็ดูเหมือนว่านางควรจะขยันมากขึ้นจริงๆ
ตอนที่ชุนหงและกู้เจิงพากันออกจากห้อง ก็มาพบนายท่านเสิ่นกำลังผ่าฟืนอยู่ที่หน้าห้องเก็บฟืน ส่วนนายหญิงเสิ่นก็กำลังตักน้ำทำงานบ้านอยู่
กู้เจิงรีบเข้าไปช่วยแม่สามียกน้ำ ส่วนชุนหงเป็ฝ่ายหิ้วน้ำเข้าไปในห้องครัว
อาหารเช้าวันนี้เป็ก๋วยเตี๋ยว นายหญิงเสิ่นเปิดโอ่งที่ดองผักไว้ นางหยิบผักออกมาล้างแล้วหั่นให้เป็เส้นๆ จากนั้นก็ใส่ขิงกุ้งแห้งและไข่ลงไป
เมื่ออาหารเช้าใกล้เสร็จ กู้เจิงก็ะโเรียกพ่อสามีให้มาทานอาหารเช้าด้วยกัน
“เมื่อคืนพวกเ้ากลับมาดึกดื่น ทำไมไม่นอนพักอีกหน่อยล่ะ?” นายหญิงเสิ่นเห็นลูกสะใภ้ตื่นแต่เช้ามาช่วยงานบ้านจึงถามขึ้น
“พอตื่นแล้วก็นอนไม่หลับเ้าค่ะ” กู้เจิงตอบแม่สามี
นายท่านเสิ่นเอ่ยขึ้นบ้างว่า “วันนี้มีคนในตระกูลแต่งงาน ข้ากับภรรยากินข้าวเช้าแล้วก็ต้องไปช่วยงาน พวกเ้าไม่ต้องตามข้าไปหรอกนะ”
กู้เจิงกับชุนหงพยักหน้า
“พ่อเฒ่าเสิ่น อีกวันสองวันก็ต้องไปกินข้าวที่บ้านคนในตระกูลคนนั้นด้วยหรือเ้าคะ?” ชุนหงถาม
นายท่านเสิ่นพยักหน้ารับ “ใช่ งานมงคลสมรสจะจัดเป็เวลาสามวัน ก่อนปีใหม่ก็มีงานยุ่งๆ อยู่แล้ว แล้วนี่ยังจะมีงานมงคลตามมาติดๆ กันอีกสามงาน แล้วหลังฤดูใบไม้ผลิก็ยังเป็งานมงคลของอากุ้ยด้วย”
“ปีนี้ไม่ใช่แค่สามงานนะ ไม่แน่ว่าลูกคนรองของบ้านตงเถียนอาจจะเกิดภายในปีนี้ก็ได้” นายหญิงเสิ่นกล่าวเสริมขึ้น
ตงเถียนเป็บุตรชายคนรองของลุงใหญ่ เขาเปิดร้านตีเหล็กอยู่ทางทิศตะวันออกของเมือง กู้เจิงเคยพบญาติผู้พี่คนนี้มาก่อน แต่พี่สะใภ้กู้เจิงยังไม่เคยพบ
“ใช่แล้ว ตงเถียนตั้งตารอลูกคนนี้มาตลอด หวังว่าเขาจะสมหวัง” นายท่านเสิ่นหัวเราะ “ฮูหยิน เ้าเตรียมถักเสื้อให้ลูกของตงเถียนหรือยัง?”
“ถักเสร็จั้แ่ครึ่งเดือนก่อนแล้วเ้าค่ะ รวมเสื้อกางเกงมีทั้งหมดสองชุด”
“ท่านแม่ก็ถักเสื้อผ้าเด็กเป็ด้วยหรือเ้าคะ?” กู้เจิงมองแม่สามีอย่างเลื่อมใส “เก่งมากเลยเ้าค่ะ”
นายท่านเสิ่นพูดอย่างมีความสุขว่า “แม่สามีเ้าทำอะไรได้หมดทุกอย่าง”
“อย่าพูดเหลวไหลต่อหน้าอาเจิงเลยเ้าค่ะ” นายหญิงเสิ่นเหลือบมองสามีแวบหนึ่ง “ข้าเก่งขนาดนั้นที่ไหนกัน”
“เ้าเก่งไปหมดนั่นแหละ” นายท่านเสิ่นเอ่ยอย่างภาคภูมิใจ
นายหญิงเสิ่นหัวเราะเขินๆ สามีของนางคนนี้จริงๆ เลยเชียว เวลาอยู่กันสองคนก็ช่างมันเถอะ แต่นี่อยู่ต่อหน้าลูกสะใภ้กลับไม่เก็บอาการเสียเลย
กู้เจิงกับชุนหงแอบมองหน้ากันยิ้มๆ
สองสามีภรรยาเสิ่นกินข้าวเช้าเสร็จก็จากไป ชุนหงกับกู้เจิงช่วยกันเก็บกวาดทำความสะอาดห้องครัวจนเรียบร้อย
แล้วอยู่ๆ ชุนหงก็อุทานออกมาด้วยความใ “คุณหนู ทำไมท่านถึงเืกำเดาไหลล่ะเ้าคะ?”
กู้เจิงคลำจมูกก็พบว่ามีเืไหลออกมาจริงๆ นางจึงรีบบีบจมูกเพื่อห้ามเื
ชุนหงรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาให้คุณหนู นางพูดอย่างกังวลว่า “ทำไมเืกำเดาท่านถึงได้ไหลออกมาเ้าคะ”
“ข้าโดนกระแทกจมูกน่ะ” กู้เจิงบีบจมูกพร้อมเช็ดหน้าและมือ
ชุนหงรีบตักน้ำร้อนออกมาใส่ในอ่าง นางหยิบผ้าเช็ดหน้าจากมือคุณหนูมาซักในน้ำ “คุณหนู ดีขึ้นบ้างหรือยังเ้าคะ?”
“บีบจมูกอีกหน่อยแล้วกัน” กู้เจิงตอบเสียงอู้อี้
ชุนหงบิดผ้าเช็ดหน้าให้หมาดแล้วเช็ดคราบเืออกจากจมูกให้นาง “ต่อไปคุณหนูอย่าเดินไปไหนมั่วซั่วอีกนะเ้าคะ เมื่อคืนบ่าวตามหาคุณหนูอยู่ตั้งนาน บ่าวใแทบตายเ้าค่ะ”
นางเองก็ใแทบตาย แต่เมื่อนึกถึงเื่ตำแหน่งของเสิ่นเยี่ยน นางก็คิดว่าจะต้องเกาะเสิ่นเยี่ยนเอาไว้ให้แน่น
“คุณหนู ท่านกำลังยิ้มอะไรอยู่เ้าคะ?” ชุนหงเห็นคุณหนูยิ้มอย่างแปลกประหลาด
“จู่ๆ ก็นึกเื่สนุกขึ้นมาได้น่ะ” กู้เจิงละมือลง เืหยุดไหลแล้ว นางหยิบผ้าเช็ดหน้ามาจากมือของชุนหง “ข้าทำเอง”
“บ่าวจะไปเปลี่ยนอ่างน้ำมาให้นะเ้าคะ” ชุนหงไปตักน้ำมาอีกครั้ง หลังจากเห็นคุณหนูล้างจมูกและมือเสร็จ นางก็รีบเข้าไปในห้องหยิบยาหอมมาทามือและหน้าให้คุณหนู
“ชุนหง ไปเอารถม้ามา”
“พวกเราต้องออกไปข้างนอกด้วยหรือเ้าคะ?”
กู้เจิงพยักหน้า “วันนี้พวกเราจะไปหาร้านกัน”
ดวงตาของชุนหงเปล่งประกายขึ้น “คุณหนูกำลังมองหาร้านที่จะทำหอสมุดหรือเ้าคะ?”
“ใช่” เื่หอสมุดนางคิดคำนวณมาหลายวันแล้ว สตรีในยุคนี้สิ่งที่ทำได้มีไม่มากนัก สตรีที่ออกตัวทำการค้าใหญ่โตในสังคมแทบจะไม่มี ต่อให้มีก็เป็แค่ร้านแผงลอยเล็กๆ อย่าว่าแต่สายลมกรรโชกสายฝนซัดสาด* ปัญหาคือทำไม่ใหญ่ ก็หาเงินไม่ได้
(*หมายถึง อุปสรรคหรือความล้มเหลว)
และหญิงสาวที่ทำการค้าใหญ่ได้ นางก็ยังไม่พบเช่นกัน นางจึงอยากเป็สตรีคนหนึ่งที่เปิดหอสมุดขึ้นมา เพื่อให้ผู้คนได้มาเรียนศึกษาหาความรู้