ลู่อวี้ฉิงเดินไปเรื่อยๆ แต่เพราะรู้สึกได้ว่ามีสายตาคู่หนึ่งกำลังจดจ้องนาง จึงหมุนกายกลับไปมอง และสบเข้ากลับดวงตามืดครึ้มของอวิ๋นซี นางเห็นอวิ๋นซีที่แต่งตัวเป็ชายส่งยิ้มบางๆ ให้
ลู่อวี้ฉิงไม่ได้ถูกรอยยิ้มงดงามนั้นทำให้เคลิบเคลิ้ม แต่กลับรู้สึกใแทน บุรุษผู้นี้ เป็ใครกัน? เหตุใดนางจึงรู้สึกถึงความมืดมน อีกทั้ง ยามที่มองอีกฝ่ายนางก็ให้รู้สึกคุ้นเคยมาก แต่คิดไม่ออกว่าตนเคยไปพบเห็นคนผู้นี้มาจากที่ใด
ลู่อวี้ฉิงเดินเข้าไปในร้านเครื่องประดับร้านหนึ่ง นางถูกใจสร้อยคอเส้นหนึ่งที่ราคาไม่ธรรมดาแทบจะในทันที แต่หลังจากที่สอบถามผู้ดูแลร้านแล้วก็ได้รู้ว่า หากอยากจะซื้อก็ต้องใช้เงินถึงห้าหมื่นตำลึง ชั่วขณะนั้นลู่อวี้ฉิงรู้สึกปวดใจขึ้นมาทันที หากเป็เมื่อก่อนตอนอยู่ที่หานโจว อำนาจของตระกูลลู่ล้วนอยู่ในมือนาง เพียงนางคิดอยากจะซื้อเครื่องประดับอะไรเหล่านี้ก็ถือเป็เื่ง่ายมาก แต่ตอนนี้นางอยู่ที่เมืองหลวง พำนักอยู่ในตระกูลลู่ก็จริง ทว่า อำนาจในบ้านล้วนอยู่ในมือพี่สะใภ้ใหญ่ของตนผู้นั้น ในทุกๆ เดือนนางได้รับเงินเดือนไม่ถึงพันตำลึงด้วยซ้ำ ต่อให้จะรวมกับส่วนที่ลู่เหวินเจิ้นแอบเพิ่มให้นางอีก แต่ละเดือนก็ยังมีไม่ถึงห้าพันตำลึง
สร้อยคอเส้นหนึ่งต้องใช้เงินเดือนหนึ่งปีมาซื้อ นางขบคิดแล้วก็ตัดสินใจวางลง
ในตอนนั้นเองเสียงเย็นๆ สายหนึ่งก็ดังขึ้น “สร้อยคอนี้ ข้าซื้อแล้ว”
ลู่อวี้ฉิงหันไปมอง ก็เห็นชายงามที่ส่งยิ้มน้อยๆ มาให้นางเมื่อครู่ คนถึงกับยอมทุ่มเงินมากมายเพียงนี้ เพื่อซื้อสร้อยคอสำหรับสตรี ชั่วขณะนั้นลู่อวี้ฉิงก็สงสัยในสถานะของคนผู้นี้แล้วว่า เขาเป็ผู้ใด
เมื่อผู้ดูแลร้านได้รับตั๋วเงินมาแล้ว ก็รีบห่อสร้อยคอเส้นนั้นอย่างดี อวิ๋นซีรับสร้อยคอมาพลางยิ้มมองไปยังลู่อวี้ฉิง จากนั้นก็เดินออกจากร้านเครื่องประดับไปอย่างช้าๆ ทว่า ยามที่นางเดินผ่านข้างกายลู่อวี้ฉิงไปนั้นก็ได้พูดเสียงเบาๆ ว่า “หาก้าสร้อยคอนี่ ครึ่งชั่วยามให้หลัง ไปหาคุณชายหลิงที่สวนชิ่นหยวน”
สวนชิ่นหยวน คือที่พำนักชั่วคราวของอวิ๋นซีในฐานะคุณชายหลิงเซียว นางรออีกฝ่ายอยู่ที่นี่ได้พักหนึ่งก็เห็นสาวใช้เดินนำลู่อวี้ฉิงเข้ามา “นายน้อย ฮูหยินลู่มาแล้วเ้าค่ะ”
อวิ๋นซีวางขลุ่ยยาวในมือลง มองเรียบๆ ไปทางลู่อวี้ฉิง จากนั้นกล่าวว่า “เชิญนั่ง”
ลู่อวี้ฉิงไม่ค่อยแน่ใจว่า คนผู้นี้้าจะทำอันใด เดิมทีนางไม่อยากมา แต่เมื่อคิดขึ้นได้ว่าสร้อยที่อยู่ในมือของอีกฝ่ายเป็สร้อยเส้นที่นางชอบมากจริงๆ และในตอนนี้เองที่นางกำลังขบคิดอย่างเงียบๆ อยู่กับตัวเอง อวิ๋นซีก็ส่งกล่องไม้กล่องหนึ่งมาตรงหน้านาง “สร้อยคอที่งดงามเช่นนี้ ควรจะมอบให้กับคนงาม”
“ไม่มีผลงานไม่รับรางวัล ข้าอยากรู้ยิ่งนัก เหตุใดคุณชายถึงยอมมอบสร้อยเส้นนี้ให้ข้า” สิ่งที่ควรต้องรู้ก่อน ตอนนี้นางแต่งกายตามแบบฉบับของสตรีที่แต่งงานแล้ว นางจึงไม่มีทางเชื่อว่า ชายตรงหน้าผู้นี้จะชอบพอตนเข้า
อวิ๋นซีอมยิ้มพูดว่า “ข้าก็แค่คิดว่า หากเ้าสวมสร้อยเส้นนี้แล้วจักต้องน่ามองมากแน่ๆ ไม่ได้มีความหมายอื่นใดจริงๆ ฮูหยินน้อยรับไปเถิด มิเช่นนั้นของของสตรี ตัวข้าเองก็คงไม่ได้ใช้ จะให้ทิ้งไปก็เสียดาย”
เมื่อลู่อวี้ฉิงได้ยินก็สูดลมหายใจเข้าลึก สร้อยราคาห้าหมื่นตำลึง เขากลับบอกว่าจะทิ้ง ด้วยเหตุนี้ นางจึงรับสร้อยเส้นนั้นมาอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ ขณะเดียวกันอวิ๋นซีก็ให้คนยกสำรับอาหารและสุราอุ่นขึ้นโต๊ะ “หากว่าฮูหยินน้อยไม่รีบกลับ ก็ดื่มเป็เพื่อนข้าสักจอกเป็อย่างไร”
ลู่อวี้ฉิงมองเห็นความเ็ปในแววตาของบุรุษตรงหน้า ในใจคิดว่า เขาต้องเป็บุรุษที่มีเื่ราวอะไรสักอย่างเป็แน่ และท้ายที่สุดก็เป็จริงดังที่คิด ขณะกำลังกินอาหารจิบสุรานั้น นางก็ได้ล่วงรู้ว่าบุรุษตรงหน้านี้มีแซ่หลิง ปีนี้เขามีอายุยี่สิบห้า เป็คนเจียงหนาน และเมื่อก่อนเคยมีคู่หมั้นคู่หมายที่เป็เหมยเขียวม้าไม้ไผ่ แต่เพราะร่างกายของอีกฝ่ายอ่อนแอมาแต่ยังเด็ก ในปีที่ปักปิ่นนั้นเอง คู่หมั้นของเขาก็เป็ต้องตายจากไปจนกระทั่งยามนี้ผ่านไปได้เจ็ดปีแล้ว อีกทั้ง เขาเองก็ยังไม่เคยคิดที่จะแต่งกับสตรีอื่น ส่วนเหตุที่เขาดีกับนางถึงเพียงนี้ล้วนเป็เพราะใบหน้าของนางที่บังเอิญไปคล้ายกับคู่หมั้นคนก่อนของเขา
เมื่อได้รู้ว่า เป็เพราะหน้าตาที่คล้ายกับคนคนนั้นถึงได้รับสร้อยเส้นนี้มา ในใจของลู่อวี้ฉิงก็ให้รู้สึกไม่สบายอยู่บ้าง ถึงกระนั้นอวิ๋นซีก็มีมารยาทต่อลู่อวี้ฉิงเป็อย่างมาก นางจึงลดเกราะป้องกันตนลงไม่น้อย
ร่วมกินอาหารกันได้ไม่นาน คนก็จากไป และรอจนนางหายลับไปแล้ว อวิ๋นซีจึงได้ยิ้มน้อยๆ “เป็สตรีที่โง่เขลาจริงๆ คำพูดของชายงามเป็สิ่งที่ไม่น่าเชื่อถืออย่างที่สุด”
สาวใช้ข้างกายอวิ๋นซีพูดเสียงเบา “นายน้อย นั่นเป็ของที่ซื้อมาในราคาห้าหมื่นตำลึงเลยนะเ้าคะ”
“โง่จริง เื่ที่สามารถใช้เงินแก้ปัญหาได้ล้วนไม่ใช่ปัญหา” ถึงแม้นางจะไม่รีบร้อนจัดการกับคนตระกูลลู่ แต่ก็มีเื่บางเื่ที่จำต้องเตรียมไว้ให้พร้อมล่วงหน้า และถึงแม้ว่าจะมีอวี้จู๋แฝงตัวอยู่ในตระกูลลู่แล้วคนหนึ่ง แต่ถ้ามีลู่อวี้ฉิงด้วยอีกคน คาดว่าเื่ราวก็คงจะราบรื่นขึ้น
“พรุ่งนี้ส่งกล่องแป้งประทินผิวที่ข้าทำขึ้นไปให้ฮูหยินรองลู่” ถึงแม้ใบหน้าของลู่อวี้ฉิงจะนับว่ามองได้ แต่เมื่อเทียบกับอวี้จู๋ก็ยังห่างชั้นกันมาก หากอยากจะดึงดูดคนผู้นั้น รูปลักษณ์ของลู่อวี้ฉิงในยามนี้ยังไม่เพียงพอ
“เ้าค่ะ”
……................................................................................
จวินเหยียนกลับมาถึงบ้านก็บอกกล่าวกับอวิ๋นซีว่า อวี๋อ๋องจะเข้าเมืองมาในอีกสองวัน อวิ๋นซีพยักหน้า “อืม ข้ารู้แล้ว” นางมองเขาแล้วกล่าวต่อ “เดิมทีคิดจะเก็บเจิ้งอ๋องไว้อีกสักพัก แต่ตอนนี้ดูท่าว่าจะปล่อยไว้ต่อไปไม่ได้แล้ว”
“เื่นี้ให้เป็หน้าที่ข้า”
เช้าวันที่สอง เมืองหลวงก็เกิดเื่ที่น่าใขึ้น เนื่องจากมีคนฟ้องร้องว่าเจิ้งอ๋องมีความเกี่ยวข้องกับคดีค้าสตรีและเด็ก ซึ่งหลักฐานทั้งหมดถูกมอบให้หลิ่วเก๋อเหล่าและกรมอาญาแล้ว
ในวันนี้เป็วันว่าราชการวันสุดท้าย พระพักตร์ของฝ่าาฉายชัดถึงความเกรี้ยวกราด ซึ่งยามนี้เจิ้งชินอ๋องถูกจับเข้าคุกรอการไต่สวนไปแล้ว ยิ่งกว่านั้น ข่าวลือที่ว่าชายาเจิ้งอ๋องปล่อยเงินประทับตรา [1] เองก็ผุดขึ้นมาเช่นกัน ขณะที่ผู้เสียหายจำนวนไม่น้อยต่างพากันมาตีกลองร้องทุกข์ที่หน้าจวนเ้าเมือง
ชั่วขณะนั้นเสี้ยวเหวินตี้ถึงกับปวดเศียรเวียนเกล้า “ให้กรมอาญาเป็ผู้สอบสวนหลัก เ้าเมืองและศาลต้าหลี่เข้าร่วมสอบสวน ไม่ว่าอย่างไรเื่นี้จะต้องสืบให้ชัดเจน” ด้วยเหตุนี้ คนจากทั้งสามหน่วยงานนี้ แม้แต่วันหยุดปีใหม่ก็ยังถูกริบไป
และเพราะเื่นี้ ทำให้หัวหน้าใหญ่ของหน่วยงานทั้งสามขุ่นเคืองมาก ยามที่ทำการสืบสวนเื่ฉาวทั้งสองประเด็นของจวนเจิ้งอ๋องจึงอาจเรียกได้ว่า ไร้หัวใจเป็อย่างยิ่ง ถึงกระนั้นภายในระยะเวลาอันสั้น แค่เพียงวันเดียวเท่านั้น หัวหน้าใหญ่ของหน่วยงานทั้งสามต่างก็พร้อมใจกันเข้าวัง เพื่อเข้าเฝ้าฮ่องเต้
ในมือของพวกเขาล้วนมีหลักฐานที่แน่ชัดที่สามารถยืนยันได้ว่า เจิ้งอ๋องร่วมมือกับโจรกลุ่มหนึ่งทางชายแดนเพื่อกระทำเื่ชั่วร้ายเช่นการค้าขายสตรีและเด็กจริง ทั้งยังสืบทราบมาว่า เจิ้งอ๋องมีจวนหรูหราอยู่ในเมืองเฟิงที่ด้านในเต็มไปด้วยภาพอักษรอันล้ำค่า รวมถึงของโบราณอีกมาก จากการตรวจสอบในเบื้องต้นเชื่อว่า ทรัพย์สินที่เจิ้งอ๋องอยู่มีมูลค่าไม่ต่ำกว่าห้าล้านตำลึง
อีกทั้ง เื่ที่ชายาเจิ้งอ๋องปล่อยเงินประทับตราก็ล้วนเป็เื่จริง ซึ่งชายาเจิ้งอ๋องถือเป็ผู้นำหลักในการปล่อยเงินประทับตรานี้ ซ้ำร้ายเื่ดังกล่าวยังสามารถสืบสาวไปถึงฮูหยินของขุนนางขั้นสี่ขั้นห้าอีกส่วนหนึ่งด้วย หลังจากที่เสี้ยวเหวินตี้ได้ฟังคำรายงานของคนทั้งสาม สีพระพักตร์ก็เปลี่ยนไปไม่น่ามองมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะการปล่อยเงินประทับตรานี้ ไม่ว่าจะเป็รัชกาลก่อนหรือตอนนี้ สำหรับหนานเย่าแล้วล้วนมีโทษตาย
มิคาดโจวิ่ที่เป็ถึงชายาเจิ้งอ๋องจะหาญกล้ากระทำเื่เช่นนี้ได้ ช่างรนหาที่ตายชัดๆ “ถ่ายทอดราชโองการ เจิ้งอ๋องร่วมมือกับโจรค้าสตรีและเด็ก ชายาเจิ้งอ๋องร่วมมือกับภริยาขุนนางปล่อยเงินตราประทับ เจิ้นขอสั่งให้เจิ้งอวี้เชียนและโจวิ่ได้รับโทษดื่มสุราพิษหนึ่งจอก ส่วนคนอื่นๆ ในตระกูลเจิ้งอ๋องให้เนรเทศไปยังถิ่นทุรกันดารที่อยู่ห่างออกไปสามพันลี้”
เื่ทั้งหมดเกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึงสามวัน ตระกูลเจิ้งอ๋องถึงคราวสิ้นสูญ
นอกจากนี้ ยามที่ข่าวแพร่ไปถึงจวนรัชทายาท สีหน้าของรัชทายาทก็เข้มครึ้ม ทั้งร่างตกอยู่ในสภาวะที่อัดอั้นด้วยความกรุ่นโกรธจนแทบจะะเิออกมา “โอวหยางจวินเหยียน ช่างเป็อนุชาของเปิ่นไท่จื่อที่เก่งกาจเสียจริง เพียงลงมือครั้งหนึ่งก็สามารถจัดการจวนเจิ้งอ๋องให้สิ้นซากได้”
————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] ปล่อยเงินประทับตรา(放印子钱)คล้ายการปล่อยเงินกู้นอกระบบในปัจจุบัน คือการเรียกเก็บดอกเบี้ยในอัตราสูงลิ่ว ทุกครั้งที่มีการจ่ายดอกเบี้ยก็จะมีการประทับตราสัญลักษณ์ลงในสมุด ถึงได้เรียกว่า ปล่อยเงินประทับตรา