วันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนสิบสอง อวี๋อ๋องและพระชายาพาอวี๋อ๋องซื่อจื่อเดินทางเข้าเมืองหลวง โดยเสี้ยวเหวินตี้มอบหมายให้หนิงชินอ๋องที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับอวี๋อ๋องมาั้แ่เด็กเป็ผู้ไปรับคนเข้าเมืองมา ดังนั้น จวินเหยียนที่จัดการตัวเองเสร็จเรียบร้อยั้แ่เช้าจึงออกนำคนไปต้อนรับอวี๋อ๋องที่นอกประตูเมือง
เขาพึมพำในใจ ไม่รู้ว่าเสด็จอาจะกลับมาตอนนี้ทำอันใด เพราะคนกลับมาก็เท่ากับเป็การเพิ่มปัญหาให้เขาแล้วจริงๆ
เมื่อไปถึงนอกประตูเมือง จวินเหยียนก็เห็นรถม้าธรรมดาๆ คันหนึ่ง ด้านหลังนั้นมีองครักษ์สิบกว่าคนเดินตามมา และทันทีที่อวี๋อ๋องเลิกม่านขึ้นก็เห็นเงาร่างของหลานชายตนพอดิบพอดี ชายวัยกลางคนถอนหายใจในใจ ไม่รู้ว่าการกลับมาในครั้งนี้เป็เื่ที่ถูกหรือผิดกันแน่
เขาลงจากรถม้าพร้อมส่งยิ้มทักทายจวินเหยียน คนทั้งสองหยุดคุยกันอยู่สองสามประโยค จากนั้นอวี๋อ๋องก็เปลี่ยนจากนั่งรถม้ามาเป็ขี่ม้าแทน ชายทั้งสองขี่ม้าเคียงกันไปบนถนนในเมืองหลวง “สิบปีแล้ว สุดท้ายก็ต้องกลับมายังที่แห่งนี้อยู่ดี”
จวินเหยียนกล่าวเรียบๆ “จริงๆ แล้วพวกท่านไม่ควรกลับมา”
แค่ใบหน้าที่คล้ายคลึงกันเป็อย่างยิ่งระหว่างอวิ๋นซีกับหลิงเยว่เซวียนก็สามารถทำให้เกิดเื่ใหญ่ขึ้นมาได้แล้ว
อวี๋อ๋องตอบกลับไปเรียบๆ “เปิ่นหวางเองก็ไม่อยากกลับมาหรอก แต่เป็นางที่รั้นจะกลับมาเสียให้ได้ แล้วเ้าจะให้ข้าทำอันใดได้เล่า? ”
ั้แ่ที่หลิงเยว่เซวียนทราบข่าวเื่อวิ๋นซีคลอดลูกชายฝาแฝดก่อนกำหนด นางก็เอาแต่พูดพร่ำว่าอยากจะมาเมืองหลวงอยู่ท่าเดียว ไม่ว่าเขาและฮ่าวฟานจะคัดค้านอย่างไร แต่ก็ยังไม่อาจเปลี่ยนการตัดสินใจของภรรยาตนได้ “อีกประการ เสด็จย่าเ้าเขียนจดหมายถึงข้า บอกว่า ไม่ว่าอย่างไรพวกข้าก็ต้องกลับมาขึ้นปีใหม่ที่เมืองหลวงนี่ ทั้งยังย้ำว่าหลายปีแล้วที่พวกเราไม่ได้อยู่ขึ้นปีใหม่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งครอบครัว และหากพวกข้าไม่ยอมกลับมา ยามที่ไทเฮาเสด็จกลับจากเขาอู่ไถก็จะเสด็จไปรับพวกเราที่ฮวายหนานด้วยพระองค์เอง เ้าว่า ข้ายังจะเลือกอะไรได้อีก”
หากต้องให้มารดาชราของตนเดินทางอ้อมไปยังฮวายหนาน เกรงว่าความปรีชาที่ลือเลื่องของเขาคงได้หมดสิ้นกันแล้ว
จวินเหยียนมิคาดว่า การมาเยือนครั้งนี้ยังจะเกี่ยวข้องกับไทเฮาผู้ชราด้วย เขาขมวดคิ้ว “หวังว่าเื่ทุกอย่างจะไม่เป็ไปดังที่เราคิด”
แต่ว่า ชีวิตของคนเราก็มีเื่มากมายที่มักไม่ยอมให้พวกเขาได้สมปรารถนา...
รถม้าเคลื่อนตัวไปได้ไม่นาน จู่ๆ ก็มีเงาสองสามร่างพุ่งออกมาจากข้างทาง “โอวหยางจวินเหยียน เ้าไม่ให้เปิ่นหวางได้อยู่ดี ต่อให้เปิ่นหวางต้องตายก็จะลากพวกเ้าไปด้วย”
ฉากการสังหารนี้เกิดขึ้นอย่างกะทันหันอย่างที่ยากจะทันตั้งตัว ฉับพลันนั้นโอวหยางจวินเหยียนและอวี๋อ๋องที่เริ่มรู้สึกตัวก็รีบโจมตีกลับทันที ทว่า รถม้าที่อยู่ไม่ไกลกลับถูกเปิดออก และเผยให้เห็นสตรีที่นั่งเรียบร้อยอยู่ด้านใน ในตอนนั้นมีราษฎรจำนวนไม่น้อยมามุงดูเหล่าคนในตระกูล์อยู่พอดี
“ชายาอวี๋อ๋องผู้นี้ เหตุใดจึงมีพระพัตร์คล้ายชายาหนิงอ๋องยิ่งนัก ราวกับคนทั้งสองเป็แม่ลูกกันก็ไม่ปาน”
“นั่นสิ เหมือนกันเจ็ดแปดส่วนเชียว”
อวี๋อ๋องและโอวหยางจวินเหยียน รวมถึงโอวหยางฮ่าวฟานที่กำลังปกป้องมารดาตนอยู่ต่างก็คิดในทำนองเดียวกันว่า ไม่ดีแล้วสิ และรอจนกระทั่งพวกเขาสามารถสังหารเหล่าคนที่หมายจะสังหารพวกตนได้จนหมด เื่ที่ชายาอวี๋อ๋องมีรูปโฉมที่คล้ายคลึงกับชายาหนิงอ๋องอยู่เจ็ดแปดส่วนก็ร่ำลือไปทั่วเมืองหลวงแล้ว ชาวบ้านชาวเมืองต่างลือกันไปว่า แท้จริงแล้วชายาอวี๋อ๋องคือมารดาของชายาหนิงอ๋อง ส่วนบิดาผู้ให้กำเนิดของชายาหนิงอ๋องก็คืออวี๋อ๋อง
ด้วยเหตุนี้ เื่ที่ว่าหนิงอ๋องโอวหยางจวินเหยียนแต่งกับญาติผู้น้องหญิงฝั่งบิดาของตนก็กลายมาเป็เื่พูดคุยยามจิบชาอาหารว่างของทุกคนไป
โอวหยางจวินเหยียนมีสีหน้าดำคล้ำเมื่อกลับมาถึงจวนอ๋อง และได้เห็นท่านพ่อตาของตนกำลังนั่งอยู่ในจวนอ๋องอย่างไม่คาดคิด ขณะนั้นอวิ๋นซีกำลังมองบิดาตนด้วยท่าทีเป็กังวลยิ่ง ทำให้จวินเหยียนอดพูดกับตนเองในใจไม่ได้ว่า เหตุใดทุกเื่ถึงได้มากระจุกรวมกันเช่นนี้
อวิ๋นซีมองสามี จากนั้นก็เข้ามาต้อนรับ “าเ็หรือไม่? ” เื่ที่เกิดขึ้นนอกประตูเมืองในวันนี้ นางล้วนรู้หมดแล้ว เจิ้งอวี้เชียนที่เดิมทีควรจะถูกขังอยู่ในคุกรอส่งตัวไปยมโลก จู่ๆ ก็พุ่งเข้าโจมตีคณะเดินทางด้วยหมายจะสังหารคน ทั้งยังเป็เหตุให้รูปลักษณ์ของชายาอวี๋อ๋องถูกเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชน
อีกทั้ง เื่ที่ตอนนี้ด้านนอกกำลังลือกัน อวิ๋นซีก็รู้แล้วเช่นกัน แต่สิ่งที่แย่ยิ่งกว่าคงเป็ตอนที่บิดาอวิ๋นเข้าเมืองมา อวิ๋นซีเหลียวมองบิดาตน เขาเข้ามาใน่เวลาวิกฤตพอดีจึงได้เห็นฉากนั้นเข้า ดังนั้น ยามนี้อาจสันนิษฐานได้ว่า เขาได้เห็นสตรีผู้นั้นแล้ว และดูเหมือนว่า คนจะจดจำได้ด้วยว่า นั่นคือภรรยาของตนที่ควรจะตายไปนานแล้วนั่นเอง
จวินเหยียนส่ายหน้า ตอบ “ข้าไม่เป็ไร แล้วท่านพ่อตามาถึงเมืองหลวงั้แ่เมื่อใด”
อวิ๋นซานตอบกลับจวินเหยียนด้วยเสียงเรียบๆ “ตอนที่เ้าและเจิ้งอ๋องกำลังสู้กัน”
คำตอบนั้นเป็การบอกอย่างชัดแจ้ง เขาเห็นเื่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้
จวินเหยียนรู้แล้วว่า นี่ไม่ใช่เื่เล็กๆ แล้ว เขาจึงสั่งให้คนคุ้มกันเรือนนี้ไว้ และห้ามปล่อยให้ผู้ใดเข้ามาเป็อันขาด จากนั้นจึงนั่งลงข้างกายอวิ๋นซีแล้วกล่าวว่า “เช่นนั้น ท่านพ่อตาก็เห็นสตรีนางนั้นแล้ว ใช่หรือไม่ขอรับ”
“พวกเ้ารู้อยู่นานแล้วหรือ? ” อวิ๋นซานมองไปยังบุตรสาวตน ถามเสียงขรึม
อวิ๋นซีกัดริมฝีปาก จากนั้นพยักหน้า “ระหว่างทางมาเมืองหลวง ข้าบังเอิญช่วยเหลืออวี๋อ๋องซื่อจื่อไว้ จากนั้นก็ได้พบนางที่จวนอวี๋อ๋อง ท่านพ่อ ข้าต้องขออภัยจริงๆ เ้าค่ะ ข้า...”
นางไม่รู้ว่าควรจะอธิบายเื่เหล่านี้อย่างไรดี เพราะไม่ว่านางจะพูดเช่นไร ด้วยเื่นี้ ผู้ที่ต้องเ็ปอย่างที่สุดก็คือบิดาของนาง อวิ๋นซาน
อวิ๋นซานโบกมือไปมา “ข้ารู้เ้ามีความลำบากที่พูดไม่ได้อยู่ ลำบากเ้าแล้วจริงๆ ” คิดไม่ถึงว่า ภรรยาที่ตนเฝ้าคิดถึงมาเนิ่นนานจะยังมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ มิหนำซ้ำคนยังแต่งให้บุรุษอื่นไปแล้ว มีลูกชายให้บุรุษอื่นแล้ว
ความทุกข์ทรมานในดวงตาของอวิ๋นซานแสดงออกให้เห็นได้อย่างชัดเจน
อวิ๋นซีเห็นท่าทีเช่นนี้ของอวิ๋นซาน ในใจก็ไม่อาจทนให้เขากล่าวโทษหลิงเยว่เซวียน “ท่านพ่อ ตอนนั้นที่นางถูกคนพาตัวไป เกือบจะถูกคนล่วงเกินบนเรือ แต่เพื่อปกป้องความบริสุทธิ์ไว้ นางจึงตัดสินใจะโแม่น้ำฆ่าตัวตาย โชคดีที่ในภายหลังได้อวี๋อ๋องช่วยเหลือไว้ หลังจากสลบไปนานหลายเดือน ยามตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นางกลับลืมเลือนทุกสิ่งอย่างไปจนหมดสิ้น ถึงตอนนี้วันเวลาก็ล่วงเลยไปเกือบยี่สิบปีแล้ว แต่นางก็ยังนึกไม่ออกว่าพวกเราเป็ใคร”
อวิ๋นซานที่เงียบขรึมไปนาน จู่ๆ ก็พูดขึ้น “พาข้าไปดูหลานชายของข้าเถอะ ตลอดทางมานี้ เพื่อจะได้เห็นเด็กชายทั้งสองเร็วๆ ข้าต้องควบม้าจนมันตายไปสองตัวเชียว”
อวิ๋นซีและจวินเหยียนสบตากันทีหนึ่ง และเป็อวิ๋นซีที่ขึ้นหน้าไปดึงมือบิดาไว้ นางยิ้มแล้วพูดว่า “ท่านพ่อ ข้าจะบอกให้ เด็กสองคนนั้นน่าสนใจยิ่ง อีกประเดี๋ยวตอนท่านอุ้มฉางฮว๋ายขึ้นมาก็ห้ามเรียกเขาว่าเ้ารองเด็ดขาดเลยนะเ้าคะ มิเช่นนั้นเขาได้ร้องไห้ใหญ่โตเป็แน่”
เมื่ออวิ๋นซานได้ยินคำของบุตรสาวก็อดหัวเราะฮ่าฮ่าออกมาไม่ได้ “เหตุใดหากเรียกว่าเ้ารอง คนจักต้องร้องไห้ใหญ่โตด้วยเล่า”
“นั่นก็เพราะว่า ทั้งๆ ที่คนทั้งสองเกิดวันเดียวกันแท้ๆ แต่คนที่เกิดช้ากว่านิดหน่อยกลับต้องกลายเป็รองตลอดไป ด้วยเื่นี้ เขาจะไม่เสียใจได้อย่างไรเล่าเ้าคะ? ” อวิ๋นซีกล่าวอย่างปลงๆ ลูกชายทั้งสองคนมีความแตกต่างกันเป็อย่างมาก เ้าใหญ่ฉางรุ่ยนั้นนับว่าเป็เด็กเงียบๆ ส่วนฉางฮว๋ายกลับชอบโหวกเหวกวุ่นวาย และเพราะเื่นี้ทำให้นางจินตนาการไปได้ว่า ในวันหน้าจวนอ๋องแห่งนี้จะต้องครึกครื้นเพียงใด
อวิ๋นซานได้แต่หัวเราะอย่างมีความสุขยิ่งกว่าเดิมเมื่อได้ฟังคำอธิบายของบุตรสาวตน และในตอนที่พวกเขาไปถึงเรือนพำนักของอวิ๋นซี ยามนั้นจ้าวลี่เจียก็กำลังเล่นกับเด็กๆ อยู่ในห้องอบอุ่นพอดี เมื่อนางเห็นอวิ๋นซีเดินเข้ามา จ้าวลี่เจียก็ทำเพียงทักทายพวกเขาเล็กน้อย จากนั้นก็จากไปอย่างรู้งาน เพื่อให้ครอบครัวพวกเขาได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน
อวิ๋นซีพูดเสียงเบา “นั่นคืออาจารย์อาน้อยของจวินเหยียน วิชาแพทย์ของนางสูงส่งมาก อีกทั้ง นางยังเป็ผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตข้าและเด็กทั้งสองไว้ หนึ่งเดือนกว่ามานี้ก็เป็นางที่คอยดูแลฉางรุ่ยและฉางฮว๋ายมาโดยตลอด”
แน่นอนว่า อวิ๋นซานสังเกตเห็นใบหน้างามที่คล้ายบุตรสาวอยู่สามส่วน และคล้ายกับภรรยาผู้นั้นอยู่ห้าส่วน เขากล่าว “เช่นนั้นเ้าก็ต้องขอบคุณนางให้ดี เพราะการดูแลเด็กนั้นไม่ใช่งานง่ายๆ ”
อวิ๋นซีอืมไปเสียงหนึ่ง จากนั้นก็อุ้มฉางรุ่ยขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนตน “ท่านพ่อ ท่านยังจำวิธีอุ้มเด็กได้อยู่หรือไม่เ้าคะ”
อวิ๋นซานลูบจมูกบุตรสาวเบาๆ ก่อนจะยิ้มให้แล้วรับตัวหลานชายมา “มารดาเ้าดูถูกตาเกินไปแล้ว เ้ารู้หรือไม่ ตอนที่มารดาเ้ายังแบเบาะก็เป็ตานี่แหละที่ประคบประหงมเลี้ยงดูมาจนโต”