ในตอนบ่ายทั้งวิชาพลังิญญาขั้นต้นและปืนผาหน้าไม้เป็วิชาที่เรียนในห้องทั้งสิ้น
ณอาคารหมายเลขหนึ่งของสำนักจวี๋ฉีตรงมุมของชั้นที่สี่ห้องเรียนของศิษย์ห้องสองอย่างพวกเราเงียบกริบไร้เสียงใดๆแต่ละคนไม่สามารถนั่งได้ตามใจชอบ แต่ต้องนั่งตามตำแหน่งที่อาจารย์ผู้ช่วยได้แปะไว้ตรงมุมโต๊ะ
ซูเหยียนกับตั้นไถเหยานั่งอยู่หน้าสุดส่วนโต๊ะข้างๆ คือถังเชวียหรานกับหลิวถงเอ๋อร์
ข้าเดินหาอยู่นานก่อนจะเจอชื่อตัวเองอยู่ที่โต๊ะเดี่ยวตัวหนึ่งตรงมุมห้องทำไมโต๊ะของข้าถึงได้เงียบเหงาจังนะ...แต่อย่างไรก็ยังมีถังขยะถังเดียวในห้องตั้งอยู่ข้างๆถังขยะ! ให้ตายเถอะนี่ข้าไปทำอะไรให้อาจารย์ผู้ช่วยท่านนั้นไม่ชอบใจหรือเปล่าถึงได้จัดโต๊ะให้นั่งอยู่ข้างถังขยะแบบนี้!อย่าบอกนะว่าเขาจะให้ข้าเป็คนจัดการถังขยะนี่...
พอเปิดตำราก็พบว่าอาจารย์ท่านนั้นกำลังสอนเื่การพัฒนาพลังิญญาและการก่อตั้งวิหารเทพเจ็ดิญญาที่มีมากว่าร้อยปี การแบ่งลักษณะของพลังิญญาและการก่อตั้งวิหารศักดิ์สิทธิ์เป็สิ่งที่ข้ารู้มานานแล้วเพราะตอนเด็กๆเคยแอบเข้าไปในห้องสมุดของเมืองหยินเย่เฉิงกับซ้งเชียน ไม่อย่างนั้นคงไม่สามารถนำวิชาธรรมดาๆแบบหมีคำรามมาเป็วรยุทธ์พื้นฐานได้
ยิ่งมองตำราก็รู้สึกง่วงขึ้นมานิดหน่อยจึงใช้เวลานี้ฝึกฝนพลังของลมหายใจัแต่ก็ต้องแอบฝึกเพื่อไม่ให้พลังของเทพัยอดสิงขรแผ่ออกมามากไม่อย่างนั้นโต๊ะข้างๆ จะต้องปลิวว่อนแล้วแตกเป็ชิ้นๆ แน่นอน
แต่ใครจะรู้ว่าการแอบฝึกเงียบๆจะทำให้ผลออกมาดีเกินคาด และทำให้พลังของวิชาลมหายใจัเพิ่มขึ้นจากเดิมไม่น้อย!
่พักระหว่างคาบเรียนศิษย์หลายคนไปเข้าห้องน้ำ บ้างก็เดินออกไปสูดอากาศข้างนอกแต่ตั้นไถเหยากับซูเหยียนกลับเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มและนั่งลงที่เก้าอี้แถวหน้าแล้วถามขึ้น “เรียนคาบแรกเป็อย่างไรบ้าง?”
“ก็ดีอยู่”
ตั้นไถเหยาถามต่อ “เสี่ยวเหยียน เ้าเห็นผู้ชายกับผู้หญิงโต๊ะซ้ายมือที่นั่งจับมือกันตลอดคาบนั่นหรือเปล่าอืม...”
ซูเหยียนพยักหน้าพลางตอบ “อืม ข้าเห็นเหมือนกันก็พวกนั้นเป็คู่รักกันอยู่แล้วนี่ เ้าอย่าทำเป็ไม่รู้อะไรหน่อยเลย”
“ถ้าอย่างนั้น...แล้วผู้ชายสองคนแถวหลังที่นั่งจับมือกันทั้งคาบล่ะเ้าจะว่ายังไง?”
“เื่นั้นมัน...บางทีพวกเขาอาจจะกำลังเรียนวรยุทธ์เดียวกันอยู่ก็ได้” ดูเหมือนว่าซูเหยียนจะอธิบายยากอยู่เหมือนกัน
ตั้นไถเหยาได้ยินก็หัวเราะออกมาก่อนจะหันมามองข้าด้วยแววตาเป็ประกายแล้วถามขึ้น “อาจารย์ปู้ศิษย์ห้องนี้มีเื่รักๆ ใคร่ๆ อยู่มากมาย เ้าต้องค่อยๆ เรียนรู้ไปแล้วกันแล้วนี่เ้ากับเพื่อนข้างๆ เป็อย่างไรบ้าง มีอะไรในกอไผ่หรือเปล่า?”
ข้าแสดงสีหน้าเหมือนอยากตายก่อนจะพูดขึ้น “ข้านั่งตรงแถวสุดท้ายคนเดียวส่วนข้างๆก็มีแต่ถังขยะ เื่มีอะไรในกอไผ่หรือเปล่าข้าไม่รู้หรอกนะแต่กลิ่นมันแรงใช้ได้เลยล่ะ”
ซูเหยียนหัวเราะเบาๆอย่างอดไม่ได้พร้อมกับรอยยิ้มที่งดงามที่สุด
แต่ตั้นไถเหยากลับทำปากจู๋แบบน่าเสียดายปากก่อนจะพูดขึ้น“อย่างนั้นก็น่าเสียดายแย่ เ้าหล่อขนาดนี้ควรจะมีผู้หญิงแอบมองจนตาเยิ้มถึงจะถูก”
ข้าได้ยินแล้วพูดตอบเสียงเบา“ความจริงข้าแอบฝึกฝนวิชาลมหายใจัในคาบเรียนด้วยล่ะ ฉะนั้นอย่าว่าแต่แอบมองเลยต่อให้พวกนางจะมองจนตาถลน ข้าก็ไม่เห็นหรอก”
“เ้านี่มัน...”
ในตอนนี้เองประตูหลังก็ถูกเปิดออกตามด้วยเสียงหัวเราะก่อนจะมีร่างของผู้ชายห้องหนึ่งของสำนักจวี๋ฉีคนหนึ่งเดินเข้ามารูปหน้าของเขามีเอกลักษณ์ที่ยาวเหมือนม้า แถมหน้าตายังมีสิวเต็มไปหมดในมือถือดอกไม้เอาไว้ช่อหนึ่งแล้วเดินเข้ามาแบบเขินอายและหยุดอยู่ตรงหน้าตั้นไถเหยาก่อนจะพูดขึ้น “ตั้นไถเหยา...ข้า...ข้าคือศิษย์ของสำนักจวี๋ฉีห้องหนึ่งชื่อ...ชื่อว่าหม่าเสวียนโหย่ว ข้า...ข้ามาสารภาพรักข้าชอบเ้าั้แ่แรกพบในงานปฐมนิเทศของศิษย์ใหม่เ้า...เ้าจะรับรักข้าได้หรือเปล่า?”
“ไม่ได้” ตั้นไถเหยาปฏิเสธไปตรงๆ
“ทำไม?” เขาทำหน้างงงวย
ตั้นไถเหยาพูดต่อ “ไม่ทำไม ก็แค่ไม่ชอบ”
“แล้วเ้าชอบแบบไหนล่ะ? หรือว่าผู้หญิงทุกคนมองกันที่รูปกายภายนอกหรือแค่คนหล่อกับรวยเท่านั้นเหรอ?”
“เ้าคิดผิดแล้วล่ะ” ตั้นไถเหยาบอกไปก่อนจะทำหน้าจริงจังแล้วพูดต่อ “คนอย่างข้าไม่เคยทำตัวตามกระแสเหมือนผู้หญิงคนอื่นที่คอยตามจีบผู้ชายหล่อในสำนักและไม่เคยถามว่าคนรักของข้ามีเงินหรือว่าต้องหล่อขนาดไหน แค่เป็แบบที่ข้าชอบก็พอ”
“แล้วเ้าชอบคนแบบไหนล่ะ?”
“คนหล่อ”
หม่าเสวียนโหย่วกลบสีหน้าที่แทบกระอักเืของตัวเองแล้วเดินกลับออกไป
ข้าทำตาโตก่อนจะพูดขึ้น “นึกไม่ถึงว่าเวลาพักระหว่างคาบจะมีอะไรดีๆมากมายขนาดนี้ นอกจากจะคุยกันได้แล้วยังได้เห็นอะไรดีๆ แบบนี้อีก”
ตั้นไถเหยามองค้อนก่อนจะเอ็ดข้าเบาๆ “ฮึ!ทำไมเ้าถึงไม่ช่วยข้าบ้างฮะ? เมื่อกี้เ้าควรจะลุกขึ้นแล้วบอกกับเขาไปว่าคนสวยๆอย่างข้ามีเ้าของแล้วเื่มันจะได้จบๆ ไป”
ข้าได้ยินแล้วพูดขึ้น“คราวก่อนช่วยซูเหยียนข้าก็เกือบตายมาแล้วครั้งหนึ่ง ครั้งนี้จะให้ช่วยเ้าอีกเหรอ? การเรียงลำดับหญิงงามของหนังสือพิมพ์ในสำนักพวกเ้าทั้งสองคนก็อยู่ในลำดับที่หนึ่งและสอง ถ้าให้ข้าเหมาทั้งสองคนเดียวเ้าว่าข้าจะมีชีวิตรอดจากคืนนี้ได้ไหม? ถึงแม้ผู้ชายพวกนั้นไม่ลงมือฆ่าให้ตายแต่ลุงหลงคงไม่ปล่อยข้าไปง่ายๆ”
ซูเหยียนมองสายตาเย้ยหยันก่อนจะพูดขึ้น “ถ้าเ้ามีความกล้าแค่นี้วันข้างหน้าคงไม่อยากมีคนรักแล้วสินะ”
“อยากสิๆ”
“อ้อ?” นางดูชอบใจเล็กน้อยแล้วถามต่อ “แล้วเ้าชอบผู้หญิงแบบไหนล่ะ?”
“หน้าอกใหญ่”
ซูเหยียนที่ได้ยินถึงกับพูดไม่ออก
หลิวถงเอ๋อร์เดินเข้ามาก่อนจะถามขึ้น “คุยอะไรกันน่ะ?”
ตั้นไถเหยาลุกขึ้นโอบไหล่นางแล้วพูดตอบ “อาจารย์ปู้บอกว่าเขาชอบคนแบบเ้านี่แหละ”
หลิงถงเอ๋อร์หน้าแดงขึ้นมาถนัดตาพลางพูด “ฮะ?...คือว่า...คือมัน...”
ข้ากลัวว่าจะกลายเป็เื่ใหญ่จึงรีบพูดเสียก่อน“หลิวถงเอ๋อร์พวกเราเป็เพื่อนกันทั้งนั้น เ้าอย่าไปเชื่อนางให้มากนัก ใครๆก็รู้ว่านางชอบทำให้เื่มันวุ่นวาย”
หลิวถงเอ๋อร์เม้มปากนิดๆ ก่อนจะพูดขึ้น “อืมๆ ข้ารู้แล้วทำไมเ้าถึงมานั่งอยู่ที่นี่คนเดียวล่ะ?”
“นี่ไงล่ะโต๊ะเรียนของข้าเป็ไงดูโดดเดี่ยวมากเลยใช่ไหมล่ะ?”
“อืม...ประมาณนั้นแล้วตรงนี้กลิ่นแรงหรือเปล่า?”
“อืม...ดังนั้นพวกแถวหน้าก็อย่ากินแตงโตแล้วเอามาทิ้งข้างหลังแบบนี้สิแมลงวันเยอะจะตายไป ถ้าขืนยังทิ้งอีกเลิกเรียนแล้วเจอกันหน้าประตูได้เลยให้ตายเถอะ พูดแล้วโมโห!!”
...
คาบที่สองยังคงเป็วิชาปืนผาหน้าไม้ที่ต้องเรียนในห้อง
พออาจารย์ผู้สอนเข้ามาผู้ช่วยสอนสามสี่คนก็ยกกล่องลังที่เหมือนจะหนักอึ้งตามเข้ามาก่อนจะวางปืนพกที่เงาวาวไว้บนโต๊ะของศิษย์แต่ละคนซึ่งปืนพกเป็สิ่งที่เพิ่งจะประดิษฐ์ขึ้นมาได้ไม่นานเมื่อก่อนที่ใช้กันจะเป็ปืนไฟหรือปืนยาว แต่อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่ผู้ที่ใช้จะเป็ผู้ฝึกฝนิญญาที่ยังไม่มีเกราะรบิญญาเท่านั้นเพราะถ้าเป็ผู้ฝึกฝนที่สร้างเกราะรบิญญาได้แล้ว ปืนพกพวกนี้ก็จะไร้ประโยชน์
แต่ว่าทางสำนักหมื่นิญญาแห่งนี้มีมาตรฐานที่ค่อนข้างรอบคอบโดยจะให้ผู้ฝึกฝนิญญาทุกคนใช้ปืนผาหน้าไม้เป็ ไม่อย่างนั้นในวันข้างหน้าหากพบกับสถานการณ์ที่ยากจะคาดเดาอาจจะอันตรายถึงชีวิตได้
อาจารย์ผู้สอนพูดขึ้น “วันนี้จะสอนปืนสั้นที่มีความรุนแรงซึ่งฆ่าคนได้ในระยะใกล้โดยปืนที่แต่ละคนได้คือปืนสั้นรุ่น D7ของสหพันธ์สามารถยิงได้ไกลห้าสิบเมตร มีอันตรายถึงชีวิตในระดับกลาง สามารถใช้ป้องกันตัวและการจู่โจมระยะใกล้ได้ตอนนี้ข้าจะสอนวิธีการใช้และข้อควรระวัง”
ขั้นแรก ใส่ะุ ตั้งท่าแล้วเล็งเป้า
ในปืนของศิษย์แต่ละคนไม่ได้ใส่ะุจริงไว้ซึ่งจะได้ใช้ก็ต่อเมื่อออกไปเรียนนอกห้องเรียน ดังนั้นแต่ละคนต่างจึงต้องจำลองสถานการณ์ว่ามีะุอยู่ในมือและเลียนแบบการใส่ะุตามที่อาจารย์ท่านนั้นสอนส่วนข้าที่นั่งอยู่แถวหลังสุดก็เอาแต่ฝึกวิชาลมหายใจัเพราะถึงอย่างไรอาจารย์ก็คงไม่เห็น หรือถึงถ้าก็คงจะปล่อยไปเพราะวิชานี้คือสิ่งที่ศิษย์แต่ละคนต้องฝึกฝนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว
และแล้วก็ผ่านไปแบบนี้ตลอดวันทั้งได้รับความรู้และยังทำให้พลังของวิชาลมหายใจัมันเพิ่มขึ้นในเวลาเดียวกัน
หลังจากกินข้าวเย็นเสร็จก็มุ่งตรงไปยังเขาลั่วเซี่ยหลังสำนักเพื่อให้เฉิ่นปู้หยุนสอนเพลงขาและการเคลื่อนไหวต่อ
หลังจากที่เขาออกคำสั่งว่าไม่รับแขกอีกต่อไปจึงทำให้เขาลั่วเซี่ยสงบลงไปมาก และเมื่อข้าเดินตามลำธารไปจนถึงกระท่อมหลังนั้นเขาที่กำลังเข้าฌานก็ลืมตาแล้วพูดขึ้น “่นี้ได้ข่าวว่าเ้าเข้าไปเป็ศิษย์ของสำนักจวี๋ฉีแล้วสินะ”
“อืม ใช่แล้วขอรับท่านอาจารย์”
“ฮ่าๆถึงแม้หลันเท้อจะี้เีและไม่สนใจอะไร แต่จิตใจก็สะอาดและเป็อาจารย์ผู้สอนที่ดีแถมยังมีฝีมือด้านการใช้กระบี่ที่เก่งกว่าตาแก่ข่าถูนั่นเสียอีก”
ข้ายิ้มออกมาก่อนจะพูดขึ้น “คืนนี้ท่านจะตกปลาหรือขอรับท่านอาจารย์?”
“ข้าเตรียมปลาไว้แล้ว” เขาลุกขึ้นยืนเต็มความสูงก่อนจะผายมือออกแล้วยิ้มบางๆ “เข้ามา...นับแต่วันนี้เป็ต้นไปข้าจะให้เ้าใช้พลังและความสามารถที่มีอยู่ทั้งหมดเข้ามาประลองกับข้าเพราะมีเพียงการฝึกในการต่อสู้จริงๆเท่านั้นที่จะเพิ่มศักยภาพและความกล้าหาญในตัวของเ้าได้”
“ขอรับ!”
ข้าตวาดขึ้นเสียงดังและเข้าสู่พลังของวิชาลมหายใจัขั้นที่เจ็ดอย่างเทพัยอดสิงขรหลังจากนั้นจึงเคลื่อนพลังของเคล็ดวิชาาอย่างแปดกระบี่ร้างก่อนเท้าที่เหยียบอยู่บนดินจะพุ่งเข้าหาเฉิ่นปู้หยุนด้วยการเตะของกระบวนท่าเอกากัลป์เบิกขุนเขา
เฉิ่นปู้หยุนมองด้วยแววตาพึงพอใจก่อนจะผายมือลงกับพื้นเบาๆแล้วเกิดเสียงดัง ‘ปั้ง!’ ตามด้วยพลังของเปลวเพลิงที่แผ่ซ่านออกมารอบตัวก่อนพลังนั้นจะทำลายพลังของข้าอย่างง่ายดายถึงอย่างไรเขาก็เป็ถึงจอมยุทธ์ในอันดับัซึ่งถ้าไม่สามารถทำลายพลังของข้าได้ต่างหากถึงจะเป็เื่แปลก
แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็ยังไม่ละความพยายามด้วยการใช้หมัดวายุเหมันต์ชกไปที่หน้าของเขาอย่างจังหนึ่งหมัดแต่เขากลับหลบได้แล้วยกเท้าขึ้นเตะตรงสีข้างของข้า
พรึบ!
เมื่อเห็นว่าไม่ได้การจึงรีบรวบรวมพลังไว้ที่ขาทั้งสองข้างแล้วหมุนตัวหันไปเผชิญกับลูกถีบของเขาซึ่งเป็กระบวนท่าสองขาทลายบัวจนเกิดเสียงดังสนั่นเมื่อพลังของเราทั้งสองเข้าปะทะกันคล้ายกับว่าข้ากำลังถีบลงไปบนก้อนหินั์เพราะเฉิ่นปู้หยุนไม่มีท่าทีขยับถอยไปไหน ต่างจากข้าที่ถอยรุดออกไปหลายก้าว
ข้าไม่ได้คิดมาก แต่ชูมือขึ้นสูงเพื่อเรียกกระบี่คมจันทราก่อนจะฟันมันลงจากอากาศ
“ไม่เลว!”
เฉิ่นปู้หยุนใช้การเคลื่อนไหวดุจเทพถอยหลบกระบี่คมจันทราไปกว่าสองเมตรเท้าทั้งสองข้างยกสูงขึ้นแล้วส่งพลังถีบออกมาหลายครั้งข้ายืนอย่างมั่นคงแล้วกวัดแกว่งกระบี่เพื่อทำลายพลางหลบหลีกพลังที่พุ่งเข้ามากว่าเจ็ดถึงแปดครั้งจึงทำลายพลังของเขาได้
ลงพลังไปที่เท้าก่อนจะใช้โอกาสนี้พุ่งเข้าใกล้และใช้พลังของเพลงขาเมฆาหมอกอย่างลำแสงหมื่นลี้ถีบไปกลางอากาศอย่างรุนแรง!
เฉิ่นปู้หยุนลอยตัวขึ้นบนอากาศแล้วขยับเท้าทั้งสองข้างโดยใช้พลังเดียวกันถีบเข้ามา
พลังของเปลวเพลิงแตกกระจายไปทั่วบริเวณตามแรงปะทะของพลังทั้งสองที่แตกต่างกันแต่ใช้กระบวนท่าเดียวกันมันดูสวยงามซึ่งข้ารู้สึกติดใจจึงถีบซ้ำอีกหลายครั้ง แต่ทุกๆครั้งที่โจมตีมักจะถูกเฉิ่นปู้หยุนสกัดไว้ได้หมดผิดกับข้าที่ไม่สามารถสกัดพลังของเขาจนรู้สึกยากที่จะรับมือไหว
หลังจากการปะทะกันกินเวลาไปกว่าสิบนาทีแต่พลังลมปราณกลับเพิ่มขึ้นเมื่อพลังของวิชาลมหายใจัและเคล็ดวิชาาติดต่อกัน ทำให้ข้ารู้สึกถึงความโล่งที่ส่งผ่านมายังเส้นปราณโลหิตซึ่งปราศจากสิ่งอุดตันพลังิญญาเพิ่มพูนจนรู้สึกสบายและหลุดพ้นดูเหมือนว่าการฝึกแบบนี้จะให้ผลดีกว่าการฝึกวิชาลมหายใจัและเคล็ดวิชาาแบบทรหดจนรู้สึกได้ถึงพลังที่มากขึ้นคล้ายจะบรรลุทำนองนั้น
“พอแล้ว” เฉิ่นปู้หยุนปัดไม้ปัดมือก่อนจะพูดขึ้น “ข้าจะไปทำซุปเนื้อปลาเ้าก็ฝึกวิชาลมหายใจัอยู่ตรงนี้ไปก่อน แต่อย่าเพิ่งฝึกเคล็ดวิชาาล่ะเพราะตอนนี้พลังของเ้ายังไม่เพียงพอ”
“ขอรับท่านอาจารย์”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้