“พ่อเพิ่งไปขอข้าวสารกับย่ามา ย่าคงไม่ให้พวกเราไปกินข้าวด้วยหรอก”
หลิวเต้าเซียงได้ยินเช่นนี้ก็กลอกตามองบน นี่มันเื่บ้าบอกันไปใหญ่แล้ว
นางคิดว่า หากจางกุ้ยฮัว้าแยกทางกับชายที่ใสซื่อคนนี้จริงๆ ถึงอย่างไรเขาก็ต้องยืนหยัดอยู่ข้างภรรยาอย่างแน่นอน
หลิวซานกุ้ยคือชายหนุ่มที่ไม่ค่อยพูดจา เขาโยนฟืนเพิ่มเข้าไปในเตา ฤดูนี้ฝนเยอะ ทั่วทุกที่ล้วนเปียกชื้นไปหมด การก่อไฟจะช่วยให้นอนบนที่แห้งๆ ได้ เขาจัดการแบ่งโจ๊กโดยเริ่มจากตักส่วนบนที่มีเพียงน้ำแกงสีข้นให้ตัวเอง
จากนั้นก็ลงมาตักข้าวที่ต้มจนเละให้หลิวชิวเซียง ที่เหลือก็คนจนเข้าเนื้อแล้วแบ่งครึ่งให้หลิวเต้าเซียงและจางกุ้ยฮัว
หลิวเต้าเซียงอาศัยจังหวะที่หลิวซานกุ้ยหยิบถ้วยโจ๊กเข้าไปในห้อง ใช้แสงจากกองไฟในเตาเพื่อสำรวจดูหลิวชิวเซียง เด็กสาวในวัยเก้าขวบ ผมสีออกน้ำตาลถูกหวีเก็บไว้เรียบร้อย ดวงตาลึกและซูบตอบ ดูไม่เข้ากับรอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าตอนนี้เลย
หลิวเต้าเซียงนึกเห็นใจเด็กสาวตรงหน้าจึงเอ่ยปาก “ข้าอิ่มแล้วล่ะ อยากกินโจ๊กใส พี่เอาถ้วยนั้นให้ข้าเถอะ”
เดิมทีหลิวชิวเซียงไม่ค่อยสู้คน แต่ตอนนี้กลับมีจุดยืนชัดเจน “ไม่ได้ พี่กำลังหิวน้ำ เ้าห้ามแย่งนะ แค่กินหัวไชเท้าดองก็สามารถกินโจ๊กได้ถ้วยใหญ่จนอิ่มมากแล้ว เดี๋ยวก็อิ่มจนพุงป่องเลยล่ะ”
นางคงเกรงว่าหลิวเต้าเซียงจะไม่เชื่อ จึงวางมือลงบนหน้าท้องของตนเอง จากนั้นก็กัดหัวไชเท้าดองไปหนึ่งคำ แล้วกินน้ำแกงไปอึกใหญ่ “เ้าดูสิ ท้องข้าป่องออกมาแล้ว”
นางกำลังพูดปลอบใจหลิวเต้าเซียง ถ้าดื่มน้ำแล้วอิ่มจะมีอาหารไว้ทำไมกัน?
หลิวเต้าเซียงน้ำตาซึม ตัวเองเพิ่งจะมาถึงโลกนี้จึงได้เห็นแต่ความอ่อนแอของหลิวชิวเซียงเวลาที่เผชิญกับย่า แต่ถึงอย่างนั้นนางก็มีใจแน่วแน่ที่อยากจะปกป้องน้องสาว
กลางดึกหลิวเต้าเซียงนอนลงบนเตียง กำลังคิดหาหนทางที่ตัวเองจะสามารถหาเงินได้
นางเริ่มคิดถึงสิ่งที่ชอบเป็อย่างแรกนั่นคือพวกสิ่งของที่ทันสมัย แต่ที่โลกนี้ไม่นิยมของแบบนั้น แต่เป็พวกงานเย็บปักธรรมดาๆ นางมั่นใจว่าหากพวกเขาได้เห็นอะไรที่แปลกใหม่จะต้องรู้สึกทึ่งมากอย่างแน่นอน เหมือนอย่างตัวนางเองผู้ที่เกิดในยุคหลังปีแปดศูนย์ เมื่อย้อนกลับมาดูรูปภาพสมัยราชวงศ์ชิงยังรู้สึกถึงความโบราณน่าค้นหา
เช้าวันรุ่งขึ้นขณะที่กำลังรับประทานอาหารเช้า บนโต๊ะไม่ได้มีเพียงครอบครัวฝั่งของหลิวเต้าเซียง แต่ยังมีป้ารองตัวดีอย่างหลิวซุนซื่อ หลิวจือเป่าซึ่งเป็บุตรชายวัยสี่ขวบ และที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามยังมีหลิวจูเอ๋อร์บุตรสาวคนโต กับหลิวจือไฉบุตรชายคนรอง
พวกเขานั่งกินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตา อาหารที่อยู่บนโต๊ะก็มีน้ำแกงข้าวที่ใส่เกลือเล็กน้อย ผัดพริกถั่วโรยด้วยต้นหอมอยู่หนึ่งจาน กลิ่นนั้นหอมหวนชวนให้น้ำลายสอยิ่งนัก
“ท่านแม่ เหตุใดถึงมีกับข้าวเพียงแค่นี้ ท่านดูสิเสียวเป่ายังเป็เด็กน้อยอยู่เลย เขาเคยตัวขาวอ้วนพี แต่ตอนนี้วันๆ ได้กินแต่อาหารเช่นนี้จนตัวผอมเหลืองหมดแล้ว ผู้ใดไม่รู้ก็คงหาว่าตระกูลหลิวนั้นสุดลำเค็ญ” หลิวซุนซื่อเอ่ยอย่างสงสารบุตรชายของตนเอง
หลิวเต้าเซียงที่เพิ่งนั่งลงเหลือบไปมองหลิวจือเป่าที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม เด็กบ้านี่ไม่รู้กินอะไรจนเติบโตมา ตาสองข้างแทบจะถูกแก้มบีบจนมองไม่เห็น เพิ่งจะสี่ขวบก็มีพุงโย้ นางจินตนาการเล่นๆ ถึงสภาพตอนโตของหลิวจือเป่าก็พลันขนลุกทันที
หลิวซุนซื่อเอ่ยเสริมอีก “แม่ ด้านหลังเตียงของแม่ซ่อนไข่ไว้มากมาย ช่วยทำไข่ตุ๋นสักหน่อยจะได้หรือไม่? ท่านดูสิ ั้แ่เสียวเป่ากลับมา ครั้นจะถ่ายท้องทีก็ต้องเบ่งอยู่ครึ่งค่อนวัน หลายครั้งต้องเบ่งจนเืออกเชียว”
หลิวฉีซื่อถลึงตาใส่ แต่ไม่ได้ใช้เสียงก่นด่าเหมือนที่ทำกับหลิวซานกุ้ย “ฮึ่ม อยากกินก็กิน ไม่อยากกินก็ไม่ต้องกิน ตอนนี้ไม่มีอะไรราบรื่น ไม่หิวตายก็บุญแล้ว ใครจะไปสนเื่ยากจนแค่ไหนกัน”
หลิวซุนซื่อกลอกตา อุ้มบุตรชายตนเองแล้วเอ่ย “เสียวเป่า อยากกินต้มตับหมูหรือไม่? หรือจะเป็หนังหมูแดดเดียวดี?”
หลิวจือเป่ากำลังกินอย่างเอร็ดอร่อย พอได้ยินแม่ตนเองพูดเช่นนั้นก็พยักหน้า “แม่ ข้าอยากไปบ้านท่านตา ทุกครั้งที่ไป ท่านตามักจะทำของอร่อยๆ ไว้มากมายเชียว”
“ได้จ้ะ ไว้เราไปที่บ้านตาของเ้ากัน เฮ้อ คนข้างนอกต่างก็พูดว่าบ้านย่าของเ้านั้นมั่งมี แต่ดูสิ กินแต่อะไรกัน หากเป็บ้านตาของเ้าคงไม่มีทางชายตามองอาหารเหล่านี้แน่”
“ซุนซื่อ” หลิวฉีซื่อโมโห สะใภ้รองคนนี้ก็นับเป็ตัวปัญหาพอสมควร ตอนที่เพิ่งแต่งเข้ามาใหม่ๆ ก็ยังเชื่อฟังดีอยู่ แต่พอตามบุตรชายคนรองไปทำมาค้าขายในเมือง ได้เปิดโลกกว้าง ก็เริ่มไม่เห็นหัวคนอื่นแล้ว
หลิวต้าฟู่ที่นั่งอยู่ข้างๆ เริ่มหงุดหงิดจนต้องวางตะเกียบ “นี่ยังจะให้คนกินข้าวดีๆ ได้หรือไม่ เ้าน่ะ รีบไปทำไข่ตุ๋นให้เป่าเอ๋อร์สิ ตัวเล็กแค่นี้คงไม่ทำให้ข้าจนลงหรอก นี่เป็่วัยที่กำลังเจริญเติบโต ต้องรีบบำรุง”
หลิวเต้าเซียงควันออกหู หากมองว่าหลิวจือเป่าคือคน แล้วกับคนในครอบครัวนางคือหญ้าหรืออย่างไร? ทำไมถึงได้รับการปฏิบัติแบบไม่เท่าเทียมขนาดนี้กัน?
“ท่านปู่!”
นางะโออกไปและจ้องมองเขา ปู่ลำเอียงอย่างออกหน้าออกตาขนาดนี้ นางจะจ้องต่อไป ดูสิว่าเขาจะรู้สึกผิดบ้างหรือไม่
หลิวต้าฟู่หันมา เมื่อถูกหลานสาวจ้องมองก็รู้สึกได้ถึงความไม่พอใจเพราะความลำเอียง
เขาเอ่ยเสียงแห้งผากอย่างรู้สึกผิด “ตอนนี้ทำอะไรก็ไม่ง่ายอย่างก่อนแล้ว ข้าวยากหมากแพง ย่าของเ้ายังต้องเก็บไข่เพื่อแลกเกลือกลับมา”
แต่ที่สุดแล้วก็ไม่มีคำพูดใดที่บอกว่าพวกนางสามารถนั่งทานด้วยกันได้
หลิวเต้าเซียงคิดไม่ถึงว่าปู่จะลำเอียงขนาดนี้ โชคดีที่นางไม่ใช่คนในตระกูลนี้ ไม่อย่างนั้นคงได้โมโหตายก่อน จึงได้แต่คิดในใจเงียบๆ ว่า รอข้ารวยเมื่อไร จะทำให้พวกเ้ามองข้าใหม่ทั้งหมดเอง
“ปู่ ย่า เหตุใดพวกท่านจึงลำเอียงขนาดนี้ ข้ากับพี่ไม่ใช่หลานของพวกท่านหรอกหรือ? ไม่ต้องพูดถึงเื่ไข่วันนี้ หากพูดถึงเื่ที่เกิดขึ้นเมื่อวาน ท่านปู่ ท่านไม่คิดว่าท่านย่าโหดร้ายเกินไปหน่อยหรือ? ดูสิว่าหน้าผากข้าถูกกระแทกจนเป็เช่นนี้แล้ว ฮือๆ!”
หลิวเต้าเซียงน้อยใจเป็อย่างยิ่ง แม้ว่าตนเองจะไม่ได้เกิดมาเป็ลูกคุณหนู แต่พ่อแม่ในโลกปัจจุบันก็รักและประคบประหงม คอยดูแลนางอย่างดี แต่พอได้ข้ามมิติมายังสถานที่กันดารเช่นนี้ แม้แต่จะขอให้พวกท่านช่วยโอนเงินมาก็ยังทำไม่ได้
พอคิดว่าต่อไปจะต้องใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก นางก็ยังทำใจไม่ได้ ยิ่งคิดก็ยิ่งเศร้า จนแทบอยากจะลากคอท่านเทพข้ามมิติมาอัดสักยก
หลิวซานกุ้ยเองก็ลำบากใจและเ็ปทุกครั้งที่เห็นบุตรสาวตนเองทั้งตัวคล้ำและผ่ายผอม ผมเผ้าสีน้ำตาลยุ่งเหยิงราวกับหญ้าฟาง พอยิ่งเหลือบไปมองหลิวจือเป่าที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับหลิวเสี่ยวหลันที่อยู่ข้างๆ มีใครที่ไม่ได้ดูขาวอวบบ้าง?
หลิวฉีซื่อแผดเสียงขัดหลิวเต้าเซียงขึ้นมา “เ้ามาปากพล่อยอันใดกัน คิดว่าตัวเองเป็ผู้ใด? ถุย! เ้าตัวล้างผลาญ กล้ามาหาเื่ข้าอย่างนั้นหรือ?”
ขณะพูดก็หยิบตะเกียบตั้งท่าจะฟาดใส่ศีรษะของหลิวเต้าเซียง
“ว้าก ท่านพ่อ ท่านย่าจะฆ่าคนอีกแล้ว”
ตอนนี้หลิวเต้าเซียงไม่ใช่คนในร่างเดิมอีกต่อไป จะไม่ยอมโง่ให้ถูกทำร้ายอยู่ฝ่ายเดียวหรอก นางรีบยกถ้วยข้าวของตนเอง เหยียบขึ้นเก้าอี้แล้วะโหนีย่า จากนั้นรีบวิ่งออกไปข้างนอกทันที
หลิวฉีซื่อนั้นเกิดในบ้านผู้ดีมั่งมี จึงต้องรักษาหน้าตาของตนเองมาแต่ไหนแต่ไร ไม่มีทางให้คนนอกมองเป็ตัวตลก ด้วยเหตุนี้เมื่อเห็นหลิวเต้าเซียงหอบถ้วยข้าววิ่งหนีไปทางสวน นางก็ไม่ได้ตามออกไปอีก เพียงแต่ยืนอยู่ตรงระเบียงบ้านแล้วใช้เสียงะโด่าแทน
“แน่จริง เ้าก็ยืนอยู่ตรงนั้น อย่าได้กล้าเข้ามาอีก!”
หลิวเต้าเซียงมองดูถ้วยข้าวกับมันเทศที่กำลังกลิ้งหล่นพื้นพลางนึกย้อนว่าที่เห็นในถ้วยของหลิวซุนซื่อกับหลิวจือเป่าเป็ข้าวสวย นางเสียดายที่มันเทศที่หล่นพื้นซึ่งเป็ชิ้นที่ใหญ่สุด มันกลิ้งไปตรงกลางลานสวน ในตอนที่นางกำลังยืนอึ้งก็มีไก่ตัวผู้สีแดงดำตัวใหญ่ยื่นคอยาววิ่งพุ่งมาอย่างรวดเร็วราวกับลูกธนูก่อนจะคาบมันเทศชิ้นนั้นแล้ววิ่งหนีไป
ในเวลาเดียวกันก็รู้สึกว่าด้านหน้ามีอะไรบางอย่างลอยมา นางจึงก้มตัวรีบหลบทันควัน
ตุบ!
รองเท้าผ้าฝ้ายสีดำที่ลอยมากลางอากาศหล่นลงข้างๆ เท้า มันกระเด็นลงน้ำโคลนแล้วกระเซ็นโดนกางเกงตัวขาดๆ ที่มองไม่เห็นสีเดิมนี้
“หลิวซานกุ้ย ดูสิว่าเ้าสอนบุตรสาวออกมาอีท่าไหน กลายเป็พวกก๋ากั่นเช่นนี้ เดี๋ยวนี้ทำปีกกล้าขาแข็งกับข้าแล้ว”
หลิวฉีซื่อทำอะไรหลิวเต้าเซียงไม่ได้จึงใช้ฟืนมาเคาะประตู หนักจนทิ้งเป็ร่องรอยไว้
ประตูไม้เก่าๆ มีฝุ่นฟุ้งกระจายออกมา นางเคาะไปก็ไม่ทันระวังจึงต้องหรี่ตา โก่งหลังพร้อมกับไออย่างรุนแรงออกมา
หลิวซานกุ้ยเห็นหลิวฉีซื่อหยิบฟืนขึ้นมา สีหน้าก็เปลี่ยนไปถนัด เขาพยายามจะแย่งมา แต่ก็ทำให้หลังมือที่เดิมทีมีแผลอยู่แล้วได้แผลใหม่มาเพิ่ม
ในที่สุดหลิวต้าฟู่ก็ทนดูต่อไปไม่ไหว “เหตุใดยายแก่อย่างเ้าถึงไม่สามารถนั่งกินข้าวได้อย่างสงบบ้าง หากตีมือลูกจนพิการไป เ้ายังต้องควักเงินมารักษาอีกนะ”
“ชิ” หลิวฉีซื่อยับยั้งอารมณ์ ไม่ลงไม้ลงมืออีกแต่ใช้สายตาถมึงทึงจ้องหลิวเต้าเซียงที่นั่งอยู่อีกมุมหนึ่งใต้ชายคา พร้อมกับนึกถึงรองเท้าผ้าฝ้ายของตนเอง “ยังไม่รีบไปเก็บรองเท้าข้ากลับมาอีก”
หลิวซานกุ้ยจึงเดินตากฝนไปเก็บรองเท้าให้อย่างว่าง่าย ในขณะที่หลิวเต้าเซียงกำลังอึดอัดใจอยู่ตรงนั้น นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านพ่อของตนถึงเป็เพียงตัวระบายอารมณ์สำหรับย่า! อีกทั้งการกระทำของปู่ก็น่าผิดหวังเป็อย่างยิ่ง
นางยังคงบ่นพึมพำอยู่ตรงนั้น ซาลาเปาหน้าเนื้อ ซาลาเปาหน้าผัก ซาลาเปาไส้หวาน ครอบครัวซาลาเปาที่น่าหงุดหงิด
หลิวฉีซื่อเห็นเด็กสาวไม่ได้รู้สึกเดือดเนื้อร้อนใจอะไรกับคำด่าก็โมโหจนควันออกหู เมื่อหลิวซานกุ้ยยื่นรองเท้ามาให้ นางจึงปัดทิ้งด้วยความไม่สบอารมณ์ แล้วใช้ขาถีบไปที่น่องของเขาอย่างเต็มแรง
“ย่า อย่าตีพ่อเลยนะ ขอร้องล่ะ” หลิวชิวเซียงที่ยามปกติมักจะไม่สู้คนก็รีบวิ่งออกมาจากห้อง ก้มตัวลงไปกอดเท้าข้างที่ไม่ได้สวมรองเท้าของหลิวฉีซื่อเพื่อหยุดไม่ให้ย่าทำร้ายหลิวซานกุ้ยอีก
ใบหน้าเล็กนั้นอาบไปด้วยน้ำตา แต่ก็ทำได้เพียงอ้อนวอนคนที่มีเรี่ยวแรงมากกว่าว่า “ท่านย่า อย่าตีพ่อเลยนะ เดี๋ยวพ่อตาย” ขณะนั้นหลิวเต้าเซียงเองก็ออกมาร้องเรียกท่านพ่อเช่นกัน
ไฟโมโหในใจของหลิวฉีซื่อยิ่งปะทุเมื่อเด็กทั้งสองยังคงขัดขืน นางรู้สึกว่าเกียรติของตนนั้นถูกครอบครัวของหลิวซานกุ้ยเหยียบย่ำ ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ไม่เชื่อฟังคำสั่งของนางทั้งนั้น
หลิวฉีซื่อยกฟืนในมือขึ้นสูงอีกครั้ง หากแต่หลิวซานกุ้ยมือเท้าว่องไว รีบพุ่งเข้าไปบังตัวของหลิวชิวเซียงเอาไว้
ถึงจะยอมให้ตัวเองถูกแม่ทำร้ายเอาง่ายๆ แต่ในฐานะคนเป็พ่อ เขาก็เป็พ่อที่ดี
หลิวเต้าเซียงโมโหจนแทบกระอักเื “พอได้แล้ว ย่า! ท่านเป็แม่ของพ่อข้าจริงหรือไม่ ทำไมจึงโหดร้ายเช่นนี้? ถ้าเกิดตีจนหลังมือพ่อข้าหัก เกิดพิการขึ้นมา ท่านต้องเลี้ยงดูพ่อข้าอีกชั่วชีวิต ท่านรับผิดชอบไหวหรือ? ไม่เช่นนั้นก็รอให้คนทั้งหมู่บ้านมาหัวเราะเยาะท่านได้เลย”
-----