“หน็อยแน่ นังเด็กล้างผลาญหน้าไม่อาย ตอนนั้นข้าไม่ควรใจอ่อนเลย น่าจะจับกดจมน้ำตายไปให้รู้แล้วรู้รอด เลี้ยงหมูยังเอาไปแลกเงินได้ เลี้ยงบ้านเ้าทั้งครอบครัว ปีหนึ่งรายได้หายไปกว่าแปดร้อยตำลึง เ้ายังกล้าดีมาว่าข้าโหดร้ายอีก”
การคำนวณของหลิวฉีซื่อทำเอาเด็กสาวที่อยู่ในยุคบ้านเมืองและครอบครัวมีกินมีใช้เท่าเทียมกันถึงกับอึ้งไป
เมื่อเห็นหน้าตาพูดไม่ออกของนาง หลิวฉีซื่อก็แสยะยิ้มออกมาก่อนจะชูฟืนขึ้นสูงเพื่อจะทุบตีหลิวซานกุ้ย
หลิวซานกุ้ยหันมายิ้มให้หลิวเต้าเซียง “พ่อไม่เป็ไร รอจนย่าของเ้าหายโมโห เดี๋ยวก็ดีขึ้นเอง”
ทันใดนั้น หลิวเต้าเซียงก็รู้สึกเสียใจกับความวู่วามของตนเอง นางทนดูพฤติกรรมของหลิวฉีซื่อไม่ได้ เพราะความดื้อรั้นของตนทำให้หลิวซานกุ้ยต้องมารับเคราะห์แทน
ต่อให้หลิวฉีซื่อจะต่ำช้าอย่างไร จะเหยียบย่ำเกียรติและศักดิ์ศรีความเป็มนุษย์มากแค่ไหน บางทีในความคิดของหลิวซานกุ้ยอาจมีเพียง แม่ก็คือแม่ เมื่อเป็แม่แล้วก็จะเป็แม่ไปตลอดชีวิต
ตอนนี้หัวใจของหลิวเต้าเซียงเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด นางไม่ควรประมาทจนทำให้คนในครอบครัวต้องมารับเคราะห์กรรมไปด้วย
แต่หากว่าหลิวซานกุ้ยปล่อยให้หลิวฉีซื่อโมโหและทุบตีได้ตามใจชอบ หลิวเต้าเซียงเองก็คงได้แต่ทำใจให้เยือกเย็น นางถึงขั้นคิดหาทางไว้แล้วว่าจะหนีออกจากบ้านนี้ได้อย่างไร นางจะทำทะเบียนบ้านเดี่ยวเอง สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดก็ยังอยู่ ถึงตอนนั้นค่อยหาเพื่อนมาอยู่ด้วยกัน ชีวิตวันข้างหน้าก็คงจะมีแต่ความสุข
เพียงแต่เพราะความเอ็นดูของหลิวชิวเซียง ความรักและการปกป้องของหลิวซานกุ้ย และความน้อยเนื้อต่ำใจของจางกุ้ยฮัว สิ่งเหล่านี้กลายเป็ห่วงคล้องคอที่ยังทำให้นางพะวงอยู่ หากว่านางจะจากไป พวกเขาคงจะเสียใจมาก
ขณะที่หลิวฉีซื่อกำลังจะฟาดฟืนลงบนตัวของหลิวซานกุ้ย และหลิวชิวเซียงเองก็ทำได้เพียงซ่อนตัวอยู่ในอ้อมกอดของผู้เป็พ่ออย่างสั่นเทา ราวกับเป็ลูกไก่ที่เพิ่งฟักออกจากไข่และพบเข้ากับศัตรู
หลิวเต้าเซียงสมองแล่นอย่างว่องไว คิดถึงกับข้าวบนโต๊ะอาหารมื้อเช้าจึงรีบเอ่ยขึ้น “ย่า ท่านอย่าตีพ่อเลย ข้ารับปากว่า่นี้ข้าจะขึ้นไปหาผักบนเขาทุกวัน หากท่านทำร้ายพ่อข้า ก็เท่ากับทุบตีข้า อย่าหวังเลยว่าข้าจะไปหาผักป่า และช่วยพี่สาวข้าทำงานบ้านด้วย”
หลิวเสี่ยวหลันได้ยินการสนทนาของพวกเขาในห้องก็รีบลุกขึ้นพรวดและะโเรียกแม่
ฝ่ายคนเป็แม่ก็ตามใจบุตรสาวคนนี้อย่างแก้วตาดวงใจ เมื่อได้ยินเสียงเรียกของนางจึงหันมายิ้มแล้วเอ่ยถาม “หลันเอ๋อร์ เป็อะไรไป?”
หลิวเสี่ยวหลันนั้นถอดแบบมาจากหลิวฉีซื่อแทบทุกอย่าง จึงเป็เหตุผลว่าทำไมหลิวฉีซื่อถึงลำเอียงให้นางคนเดียว
“แม่ ท่านอย่าโกรธไปเลย เต้าเซียงเองก็รู้สำนึกแล้ว อีกอย่างนางก็รับปากว่าจะไปหาผักป่าบนหลังเขา เมื่อครู่แม่ก็เห็น เป่าเอ๋อร์ยังไม่ทันได้กินข้าวสักคำก็งอแงตามพี่สะใภ้รองกลับเข้าห้องไปแล้ว”
จากคำบอกกล่าวนั้น หลิวฉีซื่อถึงเพิ่งสังเกตว่าขณะที่ทุกอย่างกำลังวุ่นวายไปหมด หลิวซุนซื่อก็พาบุตรชายของตนจากไปแล้ว ส่วนถ้วยข้าวสวยของทั้งสองนั้นก็แทบไม่ได้แตะ
หลิวเสี่ยวหลันทำเสียงออดอ้อน “แม่ ให้เต้าเซียงไปหาผักป่าเถอะ ข้าเองก็อยากกิน วันๆ กินแต่ถั่วหมัก กินจนหน้าข้าเหลืองไปหมดแล้ว”
หลิวฉีซื่อรู้สึกว่าที่บุตรสาวพูดมานั้นก็มีเหตุผล พลันนึกถึงเื่เมื่อวานที่ผลักเต้าเซียงกระแทกเสาขนาดนั้นแต่ยังไม่ตาย!
นางนึกเจ็บใจอยู่ทั้งคืนจนนอนไม่หลับ อุตส่าห์เลี้ยงดูมาตั้งหลายปี ยังไม่ทันได้แลกเบี้ยแม้แต่ตำลึงเดียว แค่ค่ากินของครอบครัวหลิวซานกุ้ยก็มากพอให้นางเอาไปเลี้ยงหมูห้าตัวได้ทั้งปีเพื่อเอาไปแลกเป็เงินได้เจ็ดแปดร้อยตำลึงแล้ว เพียงพอที่จะให้บุตรสาวตนเองได้แต่งตัวสวยๆ
นางยิ่งคิดก็ยิ่งปวดใจ เดิมทีตั้งใจว่าจะทำไข่ตุ๋นให้หลานชายคนเล็กทาน ก็รั้นไม่ทำเพราะอยากประหยัด
เมื่อครู่ที่นางโดนหลิวซุนซื่อพูดใส่ก็เหมือนกัน ก็เพียงเพราะอยากประหยัดค่าไข่จากหลิวจือเป่า เพียงแต่ว่าบ้านพ่อแม่ของหลิวซุนซื่อนั้นทำมาค้าขายเนื้อ ส่งไปยังบ้านเรือนต่างๆ ในบ้านจึงไม่เคยขาดแคลนเนื้อเลย
หลิวเสี่ยวหลันเดินมากระซิบกับหลิวซานกุ้ยอย่างระมัดระวัง “พี่สาม ลำบากหน่อยนะ พี่เองก็เหลือเกินจริงๆ แม่เป็คนรักษาหน้าจะตาย พี่อย่าให้เต้าเซียงพูดอะไรแบบนี้บ่อยๆ แค่นี้ก็พอแล้วไม่ใช่หรือ”
หลิวเต้าเซียงยังพอได้ยินอยู่ไกลๆ นางรู้สึกเซ็งในอารมณ์เป็อย่างยิ่ง ขาดทุนครั้งหนึ่งก็ได้บทเรียนครั้งหนึ่ง คราวนี้นางตัดสินใจเปลี่ยนแผนการรบ ก่อนจะปกป้องคนในครอบครัวได้ นางห้ามโง่จนนำพาความเดือดร้อนหรือความเกลียดชังมาให้ครอบครัวอีก
ดังนั้นเมื่อรู้ว่าหลิวเสี่ยวหลันแสดงละครเก่ง นางจึงนิ่งเงียบไว้ มือน้อยๆ กำหมัดแน่น คิดในใจว่าขอเวลาอีกสามเดือน นางจะต้องพาคนในครอบครัวหลุดพ้นจากบ้านที่เต็มไปด้วยการกดขี่ข่มเหงนี้ไปให้จงได้
“หลันเอ๋อร์ เข้ามากินข้าวเร็ว”
ใบหน้าของหลิวฉีซื่อราวกับท้องฟ้าเดือนสาม ดูสิ น้ำเสียงที่เรียกหลิวเสี่ยวหลันนั้นช่างอ่อนโยน ทั้งที่ก่อนหน้านี้ปฏิบัติกับครอบครัวหลิวซานกุ้ยอย่างเรียกได้ว่าเปลี่ยนจากหน้ามือเป็หลังมือ
หลิวเสี่ยวหลันยิ้มแล้วลุกขึ้น “แม่ ข้ามาแล้ว เต้าเซียง อย่ามัวแต่ตากฝนอยู่ข้างนอก อากาศหนาว รีบเข้ามากินข้าวเถอะ”
หลิวเต้าเซียงถือชามข้าวที่มีมันเทศเหลืออยู่เพียงสองชิ้นเล็กๆ และนึกด่าในใจ คนอะไรอย่างกับม้าวิ่งตามประทัด ช่างปั้นหน้าเก่งเสียจริง
ตระกูลหลิวไม่นับว่ายากจนเพราะอย่างน้อยในบ้านก็มีข้าวให้กิน แต่ครอบครัวของหลิวเต้าเซียงไม่เคยได้รับส่วนแบ่งนี้ จึงต้องกินมันเทศผสมกับน้ำเพื่อทำให้อิ่มท้อง
นับั้แ่หลิวสี่กุ้ยและหลิวเหรินกุ้ยสองพี่น้องแยกตัวออกไปทำงานนอกหมู่บ้าน งานไร่นาสามสิบแปลงของตระกูลหลิวก็ตกเป็ของหลิวต้าฟู่และหลิวซานกุ้ยซึ่งเป็บุตรชายคนที่สาม
หลิวเสี่ยวหลันไม่เคยทำงานไร่นามาก่อน งานบ้านก็เช่นกัน เวลาว่างก็มักจะเย็บปักถักร้อยแล้วนำไปแลกกับเมล็ดพันธุ์พืช
งานบ้านส่วนใหญ่จะเป็จางกุ้ยฮัวที่คอยจัดการดูแล แต่ั้แ่นางคลอดก่อนกำหนดก็ไม่สามารถลุกจากเตียงได้ หลิวฉีซื่อจึงหน้าดำคร่ำเครียดเพราะไม่มีใครมารับผิดชอบแทน โชคดีที่ต่อมาหลิวชิวเซียงรับ่ต่อไว้ได้
หลังจากรับประทานอาหารเช้า หลิวเต้าเซียงก็ช่วยพี่สาวทําความสะอาดโต๊ะอาหาร แล้วล้างจานและตะเกียบด้วยกัน
“น้องรอง เราไปเก็บผักป่าที่หลังเขากัน เมื่อครู่ฝนตก เหล่ากวนพวกนั้นน่าจะงอกต้นแล้ว จะได้เอามาทำยำกินกัน”
เหล่ากวน?
หลิวเต้าเซียงคิดอยู่นาน ในที่สุดก็นึกได้ว่ามันคือพืชที่มีใบคล้ายกับรูปหัวใจ ขอบใบมีหนามเล็กๆ
นางเพิ่งข้ามมิติมา เมื่อเทียบกับหลิวชิวเซียงแล้วนางยังไม่รู้สึกถึงความจำเจของอาหารที่นี่ แต่ฟังจากเสียงน้ำลายไหลของคนเป็พี่แล้วก็พอเดาได้ว่าผักป่าน่าลิ้มลองเพียงใด
หลิวชิวเซียงเอ่ยอย่างเขินอาย “หลายวันมานี้ไม่ได้กินผักใบเขียวเลย วันๆ กินแต่ถั่วหมัก เลี่ยนเสียแล้ว ตอนนี้แทบจะอยากเด็ดสักกำมาเคี้ยวใส่ปาก”
หลิวเต้าเซียงรู้ว่านี่คือโอกาส เมื่อวานนี้สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดก็กำชับมาว่านางเหลือเวลาอีกแค่หนึ่งเดือน ก่อนอื่นจะต้องใช้ของที่มีอยู่หาเงินก้อนแรกเองให้ได้ จะหวังพึ่งหลิวซานกุ้ยและจางกุ้ยฮัวก็คงเป็ไปได้ยาก เพราะเงินในบ้านของตนถูกหลิวฉีซื่อยึดไปหมดไม่เหลือสักแดง
ความคิดเดียวในตอนนี้คืออยากจะเปลี่ยนเสื้อผ้าขาดๆ ที่ใส่อยู่ให้เป็เสื้อผ้าที่สะอาด ได้อาบน้ำอุ่นจากนั้นก็คิดหาทางต่อ
ขณะที่หลิวเต้าเซียงกำลังเหม่อลอย หลิวชิวเซียงก็ขนมีดผ่าฟืนในบ้านออกมา
“น้องรอง ไปกันเถอะ”
นางพบว่าฝนข้างนอกหยุดตกแล้ว นี่เป็เวลาเหมาะที่จะออกไปหาของกินหลังเขา
หลิวเต้าเซียงแบกตะกร้าสานแล้วเดินออกจากสวนบ้านตระกูลหลิว มองดูสวนรูปทรงตัวยูที่เป็ระเบียบเริ่มไกลออกไปจนกลายเป็เงาดำลางๆ นางจึงเอ่ยกับหลิวชิวเซียง “พี่ ทำไมทั้งที่บ้านเราก็มีเงิน แต่ถึงต้องใส่เสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ ด้วย?”
หลิวชิวเซียงหันมองซ้ายขวาด้วยความระแวง แล้วยื่นมือไปตบหลังของหลิวเต้าเซียงเบาๆ “เ้าอยากตายหรืออย่างไร พูดเสียงดังเช่นนี้ หากย่าเ้าได้ยิน คงถลกหนังเ้าเดี๋ยวนี้เป็แน่”
หลิวเต้าเซียงที่กำลังคิดแผนการในใจรู้สึกอัดอั้น การพาครอบครัวนี้ไปด้วยมีแต่จะทำให้ชีวิตดีขึ้นจริงๆ โดยเฉพาะการออกห่างจากย่าจอมแสบที่มีแต่จะฉุดรั้งให้ครอบครัวนางนั้นตกต่ำ
นางมีความคิดอยากจะแยกบ้านั้แ่แรก ในนิยายก็มักจะเป็แบบนี้ไม่ใช่หรือ? ก่อนอื่นก็ต้องขุดหลุมพรางไว้ให้ยายเฒ่าะโลงไปเอง แล้วพูดเื่จะแยกบ้าน ต่อจากนั้น อา…นางแหงนหน้ามองขึ้นฟ้า พูดน่ะง่าย แต่จะทำจริงคงยากดั่งการขึ้น์!
หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าตนเองเป็แค่คนธรรมดาๆ ไม่ใช่จอมวางแผน จะให้มาคิดแผนการซับซ้อนใดๆ นั้นนางเองก็ไม่ค่อยสันทัดนัก
“พี่… พี่ก็รู้ว่าย่าของเรานั้นใจดำอำมหิต เหตุใดพ่อของเราจึงไม่เอ่ยเื่แยกบ้านมาก่อนเล่า?”
หลิวชิวเซียงนิ่งเงียบ ต่อจากนั้นจึงเอ่ย “ลุงใหญ่กับลุงรองต่างก็ไม่อยู่บ้าน ส่วนอาสี่ก็ร่ำเรียนอยู่ข้างนอกมานานมากแล้ว มีเพียง่ฤดูเกี่ยวข้าว อาจารย์จึงจะมีวันหยุดให้กลับบ้านครึ่งเดือน แต่ย่าบอกว่าต่อไปอาสี่จะได้กลายเป็ขุนนางใหญ่ ไม่สามารถให้อาสี่ทำนาได้ เพราะจะรบกวนการร่ำเรียนของอาสี่ ถึงเวลาถ้าสอบจอหงวนไม่ได้จะเอาเื่กับเรา และให้พ่อกับแม่เลี้ยงดูอาสี่ไปตลอดชีวิต”
หลิวเต้าเซียงอยากจะสบถหยาบคาย เพราะหลิวฉีซื่อรู้ว่าหลิวซานกุ้ยเป็คนจิตใจดีจึงใช้จุดนี้ให้เป็ประโยชน์ นางรู้ว่าเขาไม่มีทางทอดทิ้งพ่อแม่แล้วพาภรรยาย้ายออกไปอยู่ตามลำพังอย่างแน่นอน
“พี่ ท่านไม่รู้สึกหรือว่าย่าของเรานั้นร้ายกาจนัก? เหตุใดข้าจึงรู้สึกว่าย่าไม่ค่อยชอบพวกเรา?”
กรุงโรมไม่ได้ถูกสร้างขึ้นในวันเดียวฉันใด การเปลี่ยนแปลงความคิดของคนเราก็ทำไม่ได้ในวันเดียวฉันนั้น หลิวเต้าเซียงคิดไว้เรียบร้อย หากว่าหลิวซานกุ้ยตกลงที่จะแยกบ้าน ก่อนอื่นก็ต้องล้างสมองของเขาก่อน ต้องเปลี่ยนทัศนคติคนในครอบครัวตอนนี้ให้หมด ทำให้หลิวซานกุ้ยรู้สึกว่าการดูแลคนแก่คนเฒ่าในบ้านไม่ใช่หน้าที่ของเขาแต่เพียงผู้เดียว
เสียงของหลิวชิวเซียงฟังดูซึมเซา “ั้แ่พี่จำความได้ ย่าก็บอกตลอดว่าพ่อเราไม่ใช่ผู้ที่จะไปได้ดีด้านการร่ำเรียน และไม่ยอมให้พ่อไปทำงานข้างนอก บอกว่าพ่อเราซื่อตรง สมองเชื่องช้า จะถูกคนอื่นหลอกเอาได้ง่ายๆ จนไม่เหลือแม้กระทั่งกางเกง”
ถ้าจะให้พูด สายตาของหลิวฉีซื่อนับว่าเฉียบแหลมมาก หลิวซานกุ้ยที่ท่าทางเหมือนนักบุญบ๊องแบ๊วจะถูกต้มตุ๋นเอาได้ง่ายๆ จริงๆ
“พ่อแม่ของเราก็ดีกับย่ามาก วันๆ เอาแต่ขึ้นเขาไปเก็บฟืน เข้านาปลูกข้าว พี่ว่าพ่อแม่เราทำดีหรือไม่?”
สมองของหลิวชิวเซียงเริ่มมึนงง ตั้งหลักไม่ทัน ได้แต่มองดวงตากลมโตเป็ประกายของหลิวเต้าเซียงและเอ่ยต่อ “อืม พ่อแม่เหน็ดเหนื่อยมาก ดังนั้น ข้าต้องรีบเรียนการทำงานบ้านให้เป็โดยเร็ว เ้าดูสิ ตอนนี้ข้าหั่นอาหารหมูเป็ เลี้ยงไก่เป็ แล้วยังทำกับข้าวมื้อเช้าได้ เก็บกวาดห้องได้สะอาดเรียบร้อยด้วย”
พูดถึงตรงนี้ ใบหน้าของหลิวชิวเซียงนั้นยกยิ้ม เป็รอยยิ้มที่งดงามสมวัย
“น้องรอง ต่อไปเ้าแค่ต้องช่วยแม่ดูแลน้องสามให้ดีก็พอ พี่จะขยันและทำงานบ้านให้เยอะ ให้ย่าด่าเราน้อยลงหน่อย”
หลิวเต้าเซียงอยากจะถอนหายใจสักที อุตส่าห์พูดมานานแต่ดูเหมือนหลิวชิวเซียงจะไม่เข้าใจความหมาย ทำไมชีวิตต้องรังแกกันขนาดนี้นะ
มองไกลออกไปจากจุดนี้ มีส่วนที่เป็สีเขียวขจีเป็หย่อมๆ มีเสียงนกร้องจิ๊บๆ พืชพรรณต่างๆ ใต้ผืนดินกำลังรอวันโผล่ขึ้นมารับแสงอาทิตย์ และนั่นคือป่าในเทือกเขาที่สองพี่น้องกำลังจะเข้าไปเก็บผักป่าด้วยกัน
------