จากความอวดดีของซูเมี่ยวเออร์ เดิมคิดว่านางผู้นั้นกลับมาแล้วจะต้องโผล่หน้ามากวนใจพวกนางเป็แน่
แต่กลายเป็ว่าหลังจากที่นางกลับมาจากวัด ก็เงียบราวกับไก่ ไม่ออกจากจวน และแม้แต่งานชุมนุมของสตรีสูงศักดิ์ที่นางชอบที่สุดก็มิได้โผล่หน้าไปเลย การแสดงออกของซูเมี่ยวเออร์ใน่นี้สรุปได้เป็คำสั้นๆ คือ ่เวลาแสนสงบสุข
กู่ซือฝานบ่นถึงนางมากกว่าหนึ่งครั้ง บอกว่ากังวลว่านางจะมีแผนการใหญ่กระไร
อวิ๋นอี้ไม่รู้จะทำอย่างไร ได้แต่พูดปลอบนาง “กังวลไปก็ไม่ได้แก้ปัญหา พวกเรารอดูนิ่งๆ จะดีกว่า"
เมื่อเห็นว่านางไม่มีร้อนรนใดๆ กู่ซือฝานจึงค่อยๆ อารมณ์เย็นลง
เวลาล่วงเลยมาถึงวันเกิดของอวิ๋นเส่าต้าว
อวิ๋นเส่าต้าวเป็มหาเสนาบดี นับว่าเป็ผู้ร่วมสร้างรัชกาลใหม่กับองค์ฮ่องเต้ หลังจากทำงานหนักและขยันขันแข็งมามากกว่ายี่สิบปี ในที่สุดท่านก็ขจัดความยากจนแร้นแค้นได้สำเร็จและกลายเป็หนึ่งในมหาอำนาจที่สุดในแคว้นนี้
ความสำเร็จของเขานั้นเป็ที่ประจักษ์ จนได้รับความเคารพจากผู้คน
ดังนั้น เมื่อถึงวันเกิดเขา ฟ้ายังไม่ทันสว่าง เห็นเพียงท้องมัจฉาขาว [1] บนขอบฟ้า เมืองหลวงที่หลับใหลเริ่มมีการเคลื่อนไหวขึ้น
ข้าราชการเกือบทั้งหมดที่ได้รับหนังสือเชิญ ก็เตรียมตัวมาที่จวนของมหาเสนาบดี
ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ปีนขึ้นมาจากเส้นขอบฟ้า ทันใดนั้นก็ย้อมขอบฟ้าราวผ้าไหมสีส้มอมชมพู เมฆลอยราวกับจมอยู่ในคลื่นน้ำ ผ้าไหมเรียวบางค่อยๆ ปกคลุมท้องฟ้าครึ่งหนึ่ง ในขณะที่ดวงอาทิตย์ค่อยๆ ขึ้น เวลานั้นเองอวิ๋นอี้ถูกหรงซิวปลุกให้ตื่น
ตอนที่สะลึมสะลืออยู่นั้น ริมฝีปากที่เย็นและนุ่มก็กดลงมาที่แก้มของนางในทันใด
ชายหนุ่มพูดชิดแก้มนาง ลมหายใจอุ่นๆ ของเขาก็พ่นออกมาพร้อมกัน อาการง่วงนอนของอวิ๋นอี้ก็หายไปในทันที
หลังจากที่ลืมตาขึ้น ดวงตาสว่างสดใสเหลือบไปมองหรงซิว จากนั้นก็เรียกเซียงเหอมาพาไปอาบน้ำแต่งตัว
เพราะว่าวันนี้เป็วันสำคัญ อวิ๋นอี้ตั้งใจใส่กระโปรงยาวสีม่วงเข้ม
เมื่อนางเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ มองหรงซิว รู้สึกทั้งประหลาดใจและอัศจรรย์ใจ
เขาสวมเสื้อคลุมที่มีสีเดียวกันกับนาง สีม่วงเข้มทำให้เขามีสูงส่งยิ่งนัก
ใบหน้าของชายหนุ่มนั้นมิมีที่ติอยู่แล้ว คิ้วและแววตาที่งดงามของเขา บางครั้งก็เงียบสงบเหมือนบ่อน้ำ บางครั้งลึกราวกับค่ำคืนที่มืดมิด มุมริมฝีปากของเขายกขึ้นเล็กน้อย เมื่อจ้องมองเขาก็ราวกับมีดวงดาวที่สว่างไสวอยู่ในดวงตา
ตอนที่อวิ๋นอี้ตกตะลึงอยู่นั้น หรงซิวเดินเข้ามาหานาง
เขาโอบเอวนางเบาๆ สังเกตเห็นว่านางฟื้นได้สติแล้ว จึงโน้มตัวเข้าหานาง “ส่งมือมาให้ข้า ถ้าง่วงก็ค่อยไปนอนต่อในรถม้า”
มีปีศาจอย่างเขาอยู่ข้างกาย นางจะกล้าหลับลงได้อย่างไร
นางรีบไปที่จวนมหาเสนาบดี ขณะนี้หน้าประตูจวนเต็มไปด้วยความคับคั่ง หนาแน่นไปหมด
นอกประตูจวนมีรถม้าหรูหราหรือจะเป็รถม้าธรรมดาก็ไม่น้อย เมื่อประตูจวนเปิดออก คนใช้หนุ่มในชุดสีเทาก็ออกมาช่วยจัดการทาง ให้แขกที่มาทีหลังจะได้มีที่ทาง
อวิ๋นอี้ยกม่านรถขึ้น แล้วแดดก็ส่องลงมาเหมือนน้ำสาด
แสงขาววาบเข้ามาในดวงตา ทำให้นางต้องหรี่ตาลง และหลังจากค่อยๆ ชินกับมันได้ ก็ถึงกับต้องอ้าปาก
สถานการณ์แบบนี้... เกินไปหน่อยหรือไม่
รู้อยู่แล้วว่าท่านพ่อของนางเป็คนเก่งในราชการ แต่ไม่คิดว่าท่านพ่อของนางจะใหญ่โตเช่นนี้
ถนนทั้งสายถูกปิดกั้นตั้งหัวถนนยันปลาย แม้แต่ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในชุดเครื่องแบบราชการหลายคนก็ยืนทักทายกันอย่างสุภาพบนถนน แต่ทุกคนก็ยิ้มให้กันอย่างเต็มใจราวกับว่าไม่ได้ถือเื่นี้เลย
ท่าทีของอวิ๋นอี้เข้าตาหรงซิว เขารู้สึกขำขันนัก
เขาเอื้อมมือออกไป ปิดปากของนาง ทำให้สตรีตัวเล็กขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจ
“ท่านพ่อตาของข้าเป็วีรบุรุษแห่งการก่อตั้งประเทศ หลายปีมานี้นับได้ว่าเป็คนที่เรียกลมสั่งฝน [2] ได้เลย คนเหล่านี้ใช้โอกาสในการกล่าวคำอวยพรวันเกิดท่านก็เพราะอยากจะกระชับไมตรี แม้ว่าพวกเขาจะต้องอยู่ในฝนโปรยปราย ก็มิกล้าแสดงความไม่พอใจใดๆ หรอก” หรงซิวอธิบายพลางลูบคางของนาง
อวิ๋นอี้ยักไหล่ เห็นด้วยกับเขา
ขุนนางระดับที่สั่งเป็สั่งตายคนได้เช่นนี้ ตราบเท่าที่มีโอกาส ผู้ใดก็อยากจะปีนขึ้นไปกันทั้งนั้น
เมื่อทราบถึงความแออัดภายนอก ทั้งสองก็ลงจากรถม้า
หรงซิวเข้าจวนไปกับนาง ระหว่างทางขุนนางหลายคนเห็นหรงซิวก็รีบทำความเคารพ มีบางคนที่มองดูแล้วท่าทีเหมือนจะเข้ามาประจบสอพลอ แต่มือของหลงซิวกลับกอดเอวนางไว้แน่น เช่นนั้น ผู้มีสายตาที่เฉียบแหลมย่อมรู้ว่า การไม่รบกวนเวลาส่วนตัวขององค์ชายเจ็ดในตอนนี้จะดีเสียกว่า
ทั้งสองคนเข้าไปในจวนโดยไม่มีใครขัดขวาง นำหน้าไปพบอวิ๋นเส่าต้าว
เขาถูกล้อมรอบด้วยกลุ่มขุนนางที่เข้ามาอวยพร ไม่รู้ว่าใบหน้าของเขาเป็สีแดงเข้มเนื่องจากแสงแดดหรือความตื้นตันกันแน่
ขณะที่เขากำลังพูดคุยอยู่ อวิ๋นเส่าต้าวเห็นหรงซิว และเห็นอวิ๋นอี้ที่อยู่ข้างๆ
"อวิ๋นเออร์!"
"ท่านพ่อ" อวิ๋นอี้เรียกเขาอย่างน่าเอ็นดู น้ำเสียงทั้งใสซื่อและไพเราะ
ผู้คนที่ได้ยินเช่นนั้นก็หันกันกลับมาดู เมื่อเห็นว่าเป็หรงซิว จึงรีบโค้งคำนับทันที
อวิ๋นเส่าต้าวพูดกับอวิ๋นอี้ไม่กี่คำ ก็มีแขกมาเยี่ยมอย่างต่อเนื่อง เขาจึงต้องฝากฝังอวิ๋นอี้ให้แก่หรงซิว "ขออภัยพ่ะย่ะค่ะองค์ชายเจ็ด ท่านกับอวิ๋นเออร์ไปนั่งเถิด”
"ท่านพ่อตาเกรงใจกันเกินไปแล้วขอรับ" สีหน้าหรงซิวยังคงนิ่งอยู่เสมอ
อวิ๋นเส่าต้าวยังคงต้อนรับแขกที่มากันอย่างไม่สิ้นสุด อวิ๋นอี้และหรงซิวถูกคนใช้เชิญไปนั่งที่โต๊ะกลม
โต๊ะกลมไม่มีผู้ใด อวิ๋นอี้นั่งลงมองไปรอบๆ สักพักนางเริ่มเบื่อ
นางนึกเื่ของขวัญวันเกิดขึ้นได้ ดึงแขนเสื้อของหรงซิว "ของขวัญที่ท่านเตรียมให้ข้าเล่าเพคะ? เอามาด้วยหรือไม่เพคะ?"
"อ้า" หรงซิวขมวดคิ้ว แล้วพูดอย่างไม่มั่นใจ "เหมือนว่าข้าจะลืมไป”
"กระไรนะ?" อวิ๋นอี้ใมาก ใบหน้าแดงๆ ที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเมื่อครู่ เปลี่ยนไปราวกับกำลังจะร้องไห้ นางจ้องไปที่หรงซิว "ฝ่าา...ฝ่าาลืมจริงๆ หรือเพคะ?"
หรงซิวพยักหน้าเล็กน้อย ริมฝีปากบางของเขาเม้มเป็เส้น ราวกับว่าทำกระไรผิดไป
“ท่านนะท่าน!” อวิ๋นอี้โกรธมาก จนตีไปเบาๆ ที่แขนของเขา “ฝ่าา ข้าโกรธมากนะเพคะ!”
หลังจากพูดจบ นางก็รีบหาตัวอวิ๋นจ้าน มีเื่จะคุยกับเขาโดยด่วน
จู่ๆ ก็มีมือหนึ่งมาจากด้านหลัง และวางกล่องไม้ที่สวยงามละเอียดอ่อนไว้บนฝ่ามือของนาง
เสียงทุ้มต่ำของชายคนนั้นแฝงด้วยความทะเล้นเล็กน้อย "เด็กโง่ ข้าล้อเล่น"
เขาสะกิดคนเบื้องหน้า เห็นว่าอวิ๋นอี้ไม่ขยับ จึงจับไหล่ของนางให้หันกลับมา
ตาทั้งสี่สบกัน
นางเห็นรอยยิ้มในดวงตาสีเข้มของเขา ก็โกรธจนแก้มป่อง "ฝ่าา...ท่าน!"
“ข้าผิดไปแล้ว เมียจ๋า” เขาเอียงหน้าและยิ้ม ท่าทางซุกซนของเขาทำให้อวิ๋นอี้ที่ไม่ได้เตรียมใจมาก่อนหัวใจหยุดเต้นไปชั่วขณะ
หรงซิวไม่ได้สังเกตเห็น เขาเขย่ากล่องไม้ “นี่ ของขวัญที่เตรียมไว้อยู่ในนี้”
รอยยิ้มของเขาช่างมีเสน่ห์ ต้องใช้เวลานานกว่าจะฟื้นสติ
อวิ๋นอี้ไม่กล้ามองเขา นางกระแอมแล้วถามแสร้งถาม "นี่คือกระไรเพคะ?"
"พระประคำไม้จันทน์ทอง" หรงซิวพูดช้าๆ น้ำเสียงปนไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะััถึงได้ "ท่านพ่อตานับถือพระพุทธศาสนามาโดยตลอด ไม้จันทน์สีทองนี้เป็ไม้ที่ดีที่สุด ท่านเ้าอาวาสวัดผู่หนิงนอกเมืองหลวงปลุกเสกด้วยตัวเอง ทั้ง...เป็ของขวัญที่อวิ๋นเออร์มอบให้เขา ท่านพ่อตาจะต้องโปรดปรานมากเป็แน่"
อวิ๋นอี้มองดูสร้อยประคำ ลูกประคำแต่ละเม็ดกลมและโปร่ง ถูกทำอย่างประณีตแสดงถึงความล้ำค่าของมัน
นางพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ ขอบคุณเขาอย่างอ่อนหวาน แม้ว่าเขาจะหยอกล้อ นางก็ยอมให้เขา
ทั้งสองกำลังคุยกันเกี่ยวกับพระประคำไม้จันทน์สีทองอย่างออกรส ทันใดนั้นก็มีคนร่วมนั่งลงบนโต๊ะกลมด้วย
พวกเขาหันมามองดูพร้อมกัน กลับเป็ซูเมี่ยวเออร์ที่มิได้เห็นหน้าค่าตามานาน
เชิงอรรถ
[1] ท้องมัจฉาขาว 一抹鱼肚白 หมายถึง ท้องฟ้ายามใกล้รุ่ง
[2] เรียกลมสั่งฝน 呼风唤雨 หมายถึง มีอำนาจมาก สามารถสั่งการสิ่งต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย