ผมเอาแต่คิดถึงเื่ของพี่ปรง
ั้แ่วันนั้นที่ผมได้รู้จากพี่อูนว่าเขาไม่ได้กินข้าวที่ผมทำไปให้ แต่พี่ปรงเป็คนที่เอาไปกิน มันทำให้ผมเอาแต่คิดหาเหตุผลว่าทำไมพี่ปรงเขาถึงได้มาทำดีด้วย ซึ่งผมพยายามไม่คิดว่ามันเป็เพราะเขากินเห็ดของผมเข้าไป ถึงแม้ว่าขนุนจะเอาแต่เป่าหูผมว่าเพราะพี่ปรงเขาชอบผมแล้ว เขาถึงได้มาทำดีกับผม แน่นอนว่าผมปฏิเสธกลับไปทุกครั้ง
การที่พี่ปรงเขามาทำดีกับผมไม่ได้หมายความว่าเขาจะชอบผมสักหน่อย เขาอาจจะแค่ทำดีกับผมเพราะว่าเขารู้สึกผิดที่เขาเคยแกล้งผมไว้ตั้งมากมาย ผมไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าที่เขามาทำดีด้วยเพราะเขาชอบผม มันไม่มีความเป็ไปได้เลยสักนิดที่คนอย่างเขาจะมาชอบคนอย่างผม ส่วนเื่อภินิหารเห็ดยามาบูฯอะไรนั่นก็คงไม่ใช่เื่จริงหรอก
“มึงยังพอมีเห็ดเหลืออีกไหมวะ” ประโยคแรกที่ขนุนเอ่ยทักทายผมทันทีที่เห็นหน้าก็ไม่พ้นเื่เห็ด ขนุนเดินตรงเข้ามากอดคอผมอย่างอารมณ์ดี ส่วนผมก็หน้านิ่วคิ้วขมวดเหมือนคนอดหลับอดนอน
“ไม่มี ใช้ไปหมดแล้ว” ผมตอบกลับไปเพียงเท่านั้น ในขณะที่พยายามจะแกะแขนมันออกจากการจับกุม แต่ขนุนมันก็ยิ่งกอดรัดผมแน่นขึ้นและคงไม่ยอมปล่อยมือจากผมง่าย ๆ
“เสียดายเลยว่ะ”
“มึงจะเอาไปทำอะไร”
“กูจะเอาไปทำอาหารแจกคนในภาคสักหน่อย เห็นพี่ปรงกินเห็ดมึงแล้วเขาชอบมึง กูก็อยากให้มีคนมาชอบกูบ้าง!” ขนุนพูดด้วยเสียงปกติของมัน แต่สำหรับผมก็รู้สึกว่ามันดังกว่าปกติ ผมพยายามจะยื่นมือไปปิดปากมัน แต่มันก็ขยับตัวหนีผมได้ตลอด ผมรู้ว่าขนุนมันตั้งใจพูดแบบนี้เพื่อแกล้งผม แต่ผมทำอะไรมันไม่ได้เลย
“พี่ปรงเขาไม่ได้ชอบกูสักหน่อย ต้องให้กูพูดอีกกี่ครั้ง” ผมพูดด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ ก่อนจะเดินหนีมันไปทางอื่น ซึ่งขนุนมันก็เดินตามผมมา แต่ถามว่ามันรู้สึกผิดกับสิ่งที่มันทำไหม ผมก็สามารถตอบได้เลยว่าไม่
“แหม มึงก็…เรารู้ ๆ กันอยู่ว่าพี่ปรงเขาเกลียดมึง แต่พอเขากินเห็ดมึงเข้าไปปุ๊ป! เขาก็ชอบมึงปั๊ป!” ขนุนพูดพร้อมกับหัวเราะออกมาอย่างสะใจ ผมล่ะอยากจะยื่นมือไปปิดปากมากจริง ๆ แต่ผมสู้แรงมันไม่ได้เลย ถึงผมจะตัวสูงกว่ามันและตัวใหญ่กว่า แต่ผมก็แรงน้อยมากจริง ๆ ขนุนที่เป็ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ แบบนั้น แต่แรงเยอะและอึด ถึก ทนมาก ๆ
“มึงก็บอกไม่ใช่เหรอว่าเขาเป็คนดี”
“ก็ใช่”
“เขาไม่ได้ชอบกูหรอก เขาทำดีกับกูเพราะเขาเป็คนดีแบบที่มึงบอกไง เื่เห็ดน่ะมันเื่ไร้สาระ มึงเลิกพูดได้แล้ว” ผมตอบกลับไปอย่างยืดยาว แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็คือรอยยิ้มล้อเลียนของขนุน
“มึงยอมรับมาว่าจริง ๆ มึงก็แอบเชื่อเหมือนกัน”
“กูไม่เชื่อเลยเถอะ”
“ถ้ามึงไม่เชื่อแล้วมึงจะเอาเห็ดไปให้พี่อูนกินทำไม” ขนุนเท้าเอวยืนมองหน้าผมอย่างคาดคั้น มันยืนขวางหน้าผมไว้ไม่ให้ผมสามารถเดินหนีไปไหนได้อีก ผมจึงต้องจำใจตอบคำถามของมันไป
“กูแค่อยากพิสูจน์ให้มึงดูไงว่ามันเป็เื่ไม่จริง” ผมตอบกลับไปด้วยสีหน้าที่จริงจังเช่นกัน และผมก็เดาได้เลยว่าประโยคต่อไปที่ขนุนมันจะพูดออกมาคืออะไร ที่มันเอาแต่วอแวผมแบบนี้เพราะมันอยากให้ผมยอมรับว่าจริง ๆ แล้วผมก็เชื่อ
“แต่พอมึงพิสูจน์แล้วมันดันเป็เื่จริง”
“…”
“เพราะพี่ปรงเขาชอบมึง!”
ผมยกมือขึ้นนวดขมับตัวเองเพราะเริ่มจะปวดประสาทกับขนุน ส่วนตัวปัญหาก็ยืนหัวเราะชอบใจที่แกล้งผมได้ พอมันเห็นว่าผมเอาแต่ปฏิเสธ ขนุนมันก็ยิ่งอยากแกล้งให้ผมยอมรับให้ได้ ดู ๆ แล้วผมน่าจะโดนมันล้อไปอีกนานเลย
“มึงอย่าเอาเื่นี้ไปพูดให้ใครได้ยินนะเว้ย ถ้ามันเข้าหูพี่ปรงขึ้นมาแล้วเขาจะโกรธเอา” ผมพูดย้ำกับขนุนหลังจากที่มันเอาแต่พูดอย่างสนุกปาก ผมไม่ว่าถ้ามันจะแกล้งผม แต่ผมไม่อยากให้คนอื่นเอาเื่นี้ไปพูดจนมันไปเข้าหูของพี่ปรง เดี๋ยวเขาจะหาว่าผมเพ้อเจ้อ ไปกล่าวหาว่าเขาชอบผมเพราะแค่ไปส่งครั้งเดียว
“เออน่า กูไม่บอกใครหรอก”
“ดี”
“แต่พอมาคิด ๆ ดูแล้วกูก็เขินขึ้นมาเลยอะมึง นี่มันคือพลอตหนังชัด ๆ อยากทำเสน่ห์ใส่อีกคน…แต่ไปโดนอีกคน แล้วก็เป็คนที่ไม่ชอบหน้ากันด้วย มึงรู้ไหมว่าหนังแบบนี้สุดท้ายแล้วมึงจะลงเอยกับพี่ปรงนะ” ขนุนขยับเข้ามาพูดกับผมด้วยน้ำเสียงที่เบาลงในขณะที่เรากำลังเดินไปตามโถงทางเดินของตึกคณะ ขนุนยกมือขึ้นมาปิดปากด้วยท่าทางที่เขินอาย พร้อมกับบิดตัวไปมาราวกับว่ามันเป็คนที่อยู่ในเื่นี้ซะเอง
“ถ้ามันเป็หนังจริง ๆ มันจะจบลงตรงที่กูกับพี่ปรงพร้อมใจกันตบมึง” ผมพูดด้วยสีหน้าที่รำคาญมันเต็มทน แต่ดูเหมือนว่าผมจะพูดอะไรผิดไป เพราะมันทำให้ขนุนยิ่งบ้าคลั่งเข้าไปใหญ่
“มึงกับพี่ปรง? โอ๊ย! เขินอ่า”
“เขินอะไรขนุน” เสียงหนึ่งดังขึ้นขัดบทสนทนาของเราสองคนพร้อมกับการปรากฏตัวของผู้หญิงคนหนึ่งที่มีใบหน้าสละสวย ผมสีชมพูที่ผ่านการทำสีมาโดดเด่นเป็เอกลักษณ์ ไม่ต้องมองหน้าก็รู้ทันทีว่าผู้หญิงคนนี้เป็ใคร
น้อยหน่า
เพื่อนในกลุ่มที่ผมจะต้องทำงานด้วย ผมเห็นหน้าน้อยหน่ากับเพื่อนอีกสองคนของมันแค่ตอนเข้าเรียนเท่านั้น เวลาจะนัดไปทำงานทีไรก็จะติดซ้อมหลีดตลอด แต่พอเห็นว่าวันนี้มันโผล่หน้ามาผมเห็นผมก็สบายใจ
“โถ่ อีน้อยหน่า สีผมมึงเนี่ยนะ มองเห็นั้แ่ปากซอย” ขนุนหันไปทักทายคนมาใหม่อย่างคุ้นเคย ซึ่งน้อยหน่าก็เบ้ปากใส่ขนุนเป็การตอบกลับ ผมบอกแล้วว่าขนุนมันรู้จักคนทั้งคณะนั่นแหละ ขนุนควรได้รับรางวัลนางงามมิตรภาพจริง ๆ
“แน่นอน ก็คณะเราอยู่สีชมพู อย่าลืมไปเชียร์”
“ค่า แล้วมึงก็เสนอหน้ามาทำงานบ้างนะ”
“เออเนี่ย จะมาบอกทานตะวันว่าวันนี้คงไม่ได้ไปทำงานนะ เพราะวันนี้ซ้อมใหญ่ ต้องซ้อมทั้งวันเลย” คราวนี้น้อยหน่าหันมาพูดกับผม ซึ่งสีหน้าที่รู้สึกผิดของน้อยหน่าก็ทำให้ผมพยักหน้าตอบกลับไป
“อีกแล้วนะมึง” ผมยังไม่ทันได้ตอบอะไรกลับไป ขนุนที่ยืนข้าง ๆ ก็พูดขึ้นทันที ขนุนเท้าเอวมองหน้าน้อยหน่าเหมือนพร้อมจะเอาเื่ แต่ผมก็ดึงแขนของมันไว้เพราะผมไม่อยากให้มันมีปัญหากับคนอื่น
“ขอโทษจริง ๆ พอดีติดซ้อมว่ะ”
“แล้วเพื่อนมึงอีกสองคนล่ะ”
“ส้มโอก็ซ้อมหลีดกับกูนี่แหละ ส่วนมะนาวมันเป็คฑากร ต้องไปซ้อมเหมือนกัน”
“ยังไงถ้าเสร็จกิจกรรมตรงนั้นแล้วก็มาช่วยด้วยนะ” ผมหันไปพูดกับน้อยหน่าเพื่อตัดปัญหา ไหน ๆ วันพรุ่งนี้ก็วันงานจริงแล้ว ผมก็ทนทำคนเดียวไปก่อนแค่ครั้งนี้ครั้งสุดท้าย ครั้งต่อไปผมก็คงปล่อยให้เพื่อนคนอื่นได้ทำงานบ้าง
“ขอบใจมากนะทานตะวัน” น้อยหน่าหันมาพูดทิ้งท้ายกับผมไว้เพียงเท่านั้น ก่อนที่จะเดินเลี่ยงออกไปอีกทาง เพราะขนุนเอาแต่จ้องไม่วางตา น้อยหน่าเองก็คงไม่อยากมีปัญหากับขนุนเหมือนกัน
“มึงยอมอีกแล้วนะ” หลังจากนั้นขนุนรีบหันมาเล่นงานผมทันที
“ก็มันมีงานอะ”
“มันเป็ข้ออ้าง มึงไม่รู้หรือไง”
“รู้ แต่เดี๋ยววันพรุ่งนี้ก็วันสุดท้าย หลังจากนั้นมันคงไม่มีข้ออ้างแล้วแหละ” ผมตอบกลับไปด้วยความใจเย็น เพราะตอนนี้ขนุนทั้งใจร้อนและหัวร้อนแทนผมไปหมดแล้ว
“คนมันจะไม่ทำ เดี๋ยวมันก็หาข้ออ้างมาได้เรื่อย ๆ”
“เดี๋ยวครั้งหน้ากูให้พวกมันทำกันเองแล้ว”
“ให้จริงเถอะ คนใจดีแบบมึงน่ะ”
ถึงแม้ว่าจะพยายามบอกตัวเองว่าอย่าเป็คนที่ยอมคน แต่สุดท้ายแล้วผมก็ยอมให้คนอื่นเอาเปรียบอยู่ดี เพราะผมเป็คนที่ไม่อยากมีปัญหากับใคร อะไรที่ผมพอจะทำเองได้ ผมก็ยอมทำได้ แล้วงานกลุ่มนี้ใช่ว่าผมทำงานแทนเพื่อนทั้งหมดซะที่ไหน งานนี้มันก็คือคะแนนของผมเหมือนกัน ผมก็คิดซะว่ามันคือการทำเพื่อคะแนนตัวเองด้วย
ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปต่อจากนั้น ผมปล่อยให้ขนุนไปทำงานของมัน ส่วนผมก็แยกตัวลงมาที่ฟาร์มด้านล่างเพื่อไปทำงานกลุ่มให้เสร็จ งานที่ผมจะต้องทำก็คือการใส่ปุ๋ยหมักในกระถางและพรวนดินให้ดินร่วนซุย ทั้งหมดหนึ่งร้อยยี่สิบกระถาง ใช้เวลาทำประมาณสองถึงสามชั่วโมงก็คงเสร็จแล้วแหละ
วันนี้เป็วันที่อากาศค่อนข้างดี มีลมพัดเบา ๆ ไม่ร้อนมาก แดดตอนบ่ายก็แทบจะไม่มีเลย ทำให้คนในคณะพากันลงมาทำงานที่ฟาร์มกันซะส่วนใหญ่ รวมถึงคนที่ผมไม่อยากเจอหน้ามากที่สุดด้วย เขาใส่เสื้อแขนยาวกับหมวกใบเดิมที่เขาเคยให้ผมใส่ แค่มองไกล ๆ จากข้างหลังผมก็รู้ได้ทันทีเลยว่าเขาคือใคร สูง ๆ ไหล่กว้าง ๆ แบบนั้นมีแค่คนเดียวเท่านั้นแหละ
พี่ปรง
ภายในฟาร์มจะมีการแบ่งพื้นที่ออกเป็โซน ๆ ภาคอื่นสามารถใช้พื้นที่ร่วมกัน แต่ภาคผมจะแยกตัวออกมาอยู่ห่างจากโซนอื่น ๆ เพราะภาคอื่นจะมีการใช้สารเคมีในการปลูกพืช ภาคผมเลยต้องแยกออกมาเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของสารเคมี ทำให้ภาคผมได้พื้นที่เยอะกว่าคนอื่น ๆ แต่เหมือนว่าวันนี้จะเป็วันซวยของผม เพราะขนาดพื้นที่ฟาร์มใหญ่แค่ไหน พี่ปรงเขาก็ยังมาทำงานอยู่บริเวณเดียวกันกับตรงที่ผมใช้ทำงานกลุ่มเลย
ผมเดินเข้าไปยังจุดที่มีกระถางของกลุ่มผมวางเรียงกันอยู่ กลุ่มผมเป็กลุ่มลำดับสุดท้ายในห้อง ทำให้แปลงผักที่ผมจะต้องใช้วางกระถางอยู่ติดกับแปลงผักของคนอื่น ซึ่งคนอื่นที่ว่านั่นก็คือพี่ปรงนั่นแหละ
ผมหันหลังให้เขาแล้วแกล้งทำเป็มองไม่เห็น พยายามจัดการงานของตัวเองโดยไม่สนใจพี่ปรงที่อยู่ห่างจากผมไปไม่ถึงสิบเมตร บอกตัวเองว่าไม่ต้องไปสนใจพี่ปรง เขาจะทำอะไรก็ปล่อยให้เขาทำไป แต่พอเห็นหน้าเขาแล้วก็ทำให้คำพูดของขนุนวนกลับเข้ามาในหัวของผมอีกรอบ
“ทำไมไม่หัดใส่เสื้อแขนยาวเวลาลงฟาร์ม” พี่ปรงที่เหมือนจะสังเกตเห็นผมแล้ว เขาเดินเข้ามาสะกิดไหล่ผมเบา ๆ พร้อมกับเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงปกติ แต่เพราะผมกำลังคิดเื่เขาอยู่ในหัวพอดี ทำให้ผมใจนเผลอสะดุ้งตัวโยน
“พะ…พี่ปรง” ผมพยายามจะทำตัวให้เป็ปกติที่สุด แต่เหมือนสมองสั่งว่าให้ผมทำตัวยังไงก็ได้ให้มีพิรุธที่สุด ผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงสั่น ๆ และพยายามจะขยับตัวหนีเขาเล็กน้อย
“ใอะไรขนาดนั้น”
“ก็พี่เข้ามาทักตอนเผลอไง”
“แล้วทำไมต้องทำหน้าเหมือนเห็นผีด้วย” พี่ปรงพูดพร้อมกับจ้องหน้าผมอย่างไม่ลดละ เขายืนกอดอกแบบที่เขาชอบทำ สายตาดุ ๆ ที่เขาส่งมาทำให้ผมเริ่มเหงื่อตก
“พี่ปรงมีอะไรหรือเปล่าครับ”
“พี่ถามว่าทำไมไม่ใส่เสื้อแขนยาวเวลามาลงฟาร์ม”
“วันนี้แดดมันไม่ร้อนเท่าไรนะครับ ผมกะว่าจะมาทำแค่แป๊ปเดียวแล้วเดี๋ยวก็ไปแล้วครับ” ผมตอบกลับอย่างรวดเร็วก่อนจะหมุนตัวกลับมาเพื่อทำงานของตัวเองต่อ แต่ผมก็ยังรู้สึกได้ว่าพี่ปรงเขายังคงจ้องมาทางผมอยู่
พี่ปรงเงียบไปจนผมคิดว่าเขาคงกลับไปทำงานของตัวเองแล้ว แต่พอผมหันกลับไปมองก็พบว่าเขายังคงยืนกอดอกมองผมอยู่ที่เดิม ผมจึงแสร้งทำเป็มองไปทางอื่นเหมือนว่าไม่ได้ตั้งใจมองเขา ผมหันกลับมาแล้วก้มหน้าก้มตาพรวนดินตรงหน้า ในใจก็คิดว่าเมื่อไรพี่ปรงจะทำงานของเขาเสร็จสักที
“จะพรวนอีกนานไหม กระถางนั้น” พี่ปรงพูดขึ้นพร้อมกับเดินมาหยุดยืนข้าง ๆ ผม เขายื่นมือมาจับมือผมให้หยุดพรวนดินในกระถาง แต่ด้วยความใทำให้ผมเผลอชักมือกลับมาอย่างรวดเร็ว
“เอ่อ พอดีผมต้องพรวนให้มันร่วน ๆ น่ะครับ” ผมรีบตอบกลับไปโดยที่ไม่มีใครถาม พี่ปรงก็คงเห็นท่าทางแปลก ๆ ของผมแล้วล่ะ เขานิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันมาสบตากับผมและพูดขึ้น
“ไม่สบายหรือเปล่า”
“เปล่านะครับ”
“ทำไมวันนี้ดูขี้ใจัง”
“ก็พี่ปรงโผล่มาข้างหลังผมเงียบ ๆ ผมก็ต้องใเป็ธรรมดา” ผมตอบกลับไปก่อนจะหยิบช้อนพรวนดินขึ้นมาถือไว้ และเริ่มลงมือพรวนดินที่กระถางถัดไป โดยที่พี่ปรงก็ยังคงยืนอยู่ที่เดิม
“แน่ใจนะว่าไม่ได้เป็ไร ทำไมดูเหมือนน้องกลัวอะไรสักอย่าง”
ก็กลัวพี่นั่นแหละ!
ผมส่ายหน้าแทนคำตอบพร้อมกับส่งยิ้มไปให้เขานิดหน่อย หลังจากนั้นไม่นานผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของเขาเดินห่างออกไป ผมถอนหายใจออกมาในตอนที่พี่ปรงเดินกลับไปยังแปลงผักของตัวเองแล้ว แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้สูดหายใจเข้า เขาก็เดินกลับมาพร้อมกับช้อนพรวนอีกอันในมือ และเริ่มพรวนดินในกระถางต่อจากกระถางที่ผมกำลังพรวนอยู่
“พี่ปรงทำอะไรครับ” ผมเอ่ยถามเขาหลังจากที่เห็นว่าเขากำลังช่วยผมพรวนดินในกระถางอยู่ ซึ่งอยู่ดี ๆ เขาก็ไปหยิบช้อนพรวนมาช่วยผมทำงานซะอย่างนั้น ไม่ถามกันสักคำว่าอยากให้ช่วยหรือเปล่า
“พรวนแบบนั้น ชาติไหนจะเสร็จ”
“พี่ไม่ต้องช่วยผมหรอก”
“ถ้างั้นทำไมไม่ให้เพื่อนในกลุ่มมาทำกันเองบ้างล่ะ” พี่ปรงพูดพร้อมกับเงยหน้าขึ้นมองหน้าผม เขารู้ได้ยังไงว่างานนี้เป็งานกลุ่ม แล้วเขารู้ได้ยังไงว่าเพื่อนในกลุ่มผมไม่ค่อยมาทำงาน
“เพื่อนเขาติดงานน่ะครับ”
“แล้วน้องไม่มีงานต้องทำหรือไง”
“ก็…”
“ทุกคนก็มีงานต้องทำเหมือนกันนั่นแหละ น้องจะมาทำงานแทนคนอื่นในกลุ่มทำไม ในเมื่อสุดท้ายแล้วก็ได้คะแนนเท่ากันทั้งกลุ่มอะ” พี่ปรงพูดด้วยน้ำเสียงเชิงติเตียน สีหน้าของเขาจริงจังมากซะจนผมยังเผลอหลบตา
“งานมันไม่ได้หนักขนาดนั้นหรอกครับ”
“ทานตะวัน”
“…”
“ที่ปวดแขนน่ะ หายแล้วหรือไง”
“ก็ดีขึ้นแล้วนะครับ” ผมตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงที่เบาลง ใจผมเริ่มเต้นแรงหลังจากที่พี่ปรงเขาแสดงออกเหมือนกับว่าเขาเป็ห่วงผม ทั้งคำพูดคำจาและท่าทางของเขาในตอนนี้มันยิ่งย้ำเตือนให้ผมนึกถึงคำพูดของขนุน
ผมไม่ได้อยากคิดไปเองว่าที่่นี้พี่ปรงเขาเข้ามาวนเวียนใกล้ ๆ ผมเป็เพราะเขากินเห็ดของผมเข้าไป แต่การกระทำของเขาก็ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ ยิ่งตอนนี้ที่เขากำลังมองผมด้วยแววตาแบบที่ผมไม่เคยเห็นจากเขามาก่อน มันยิ่งทำให้ผมมั่นใจว่าตอนนี้พี่ปรงเขากำลังเป็ห่วงผมอยู่จากใจจริงของเขา
“แรงมันเหลือมากใช่ไหมถึงมาทำงานแทนคนอื่นเนี่ย” พี่ปรงพูดในขณะที่มือของเขาก็จัดการพรวนดินไปด้วย ถึงปากของเขาจะเอาแต่บ่นผมอยู่ตลอด แต่เขาก็ยังช่วยผมทำงานต่อไป
“พี่ปรงจะบ่นทำไม”
“แล้วมันน่าบ่นไหม”
“ทำไม พี่เป็ห่วงผมหรือไง!” ผมตอบกลับไปเสียงดังก่อนจะเชิดหน้าใส่เขา ผมต้องรวบรวมความกล้าอย่างมากในการพูดคำนั้นออกไปเพื่อดูปฏิกิริยาของพี่ปรงว่าเขาจะตอบกลับมาอย่างไร
“ใช่ พี่เป็ห่วง”
คำตอบที่ตรงไปตรงมาของพี่ปรงมีผลกับผมเสมอ เวลาที่ผมแกล้งถามอะไรไป แล้วเขาก็มักจะตอบกลับมาด้วยความจริงใจในทุก ๆ ครั้ง แต่ในครั้งนี้ต่างออกไปจากครั้งอื่น เพราะคำตอบของเขามันทำให้ผมใจเต้นเร็วขึ้น ผมไม่สามารถสบตากับเขาได้อีกต่อไปแล้ว ผมเบือนหน้าหนีเขาไปทางอื่น แต่ก็ยังคงถามคำถามออกไปเพราะสิ่งที่คาอยู่ในใจยังไม่กระจ่าง
“แล้วพี่จะมาเป็ห่วงผมทำไม”
พี่ปรงคนที่แค่ปรายตามองผมก็รู้สึกไม่ชอบหน้าผมแล้ว คนที่จับได้ว่าผมไปขโมยของของเขาและยืนยันว่าจะเอาเื่ผมให้ถึงที่สุด คนที่แกล้งให้ผมทำงานหนัก ๆ แทนตัวเอง ผมอยากรู้ว่าพี่ปรงคนนั้นหายไปไหนแล้ว และพี่ปรงคนที่คอยทำดีกับผมอยู่ตอนนี้ คนที่พูดออกมาว่าเป็ห่วงผม เขาทำแบบนั้นไปทำไม
“พี่พูดตรง ๆ นะ”
“…”
“พี่เห็นน้องแล้วอดสมเพชไม่ได้”
โอเค ผมอาจจะเข้าใจผิดไปเอง
เขาคงไม่ได้ชอบผมจริง ๆ นั่นแหละ