การอาบน้ำอุ่นมันไม่ได้ช่วยเลย
ผมทำตามที่พี่ปรงบอกทุกอย่าง หลังจากที่กลับถึงห้องผมก็รีบอาบน้ำทันทีด้วยน้ำอุ่น แถมเมื่อเช้าผมก็ยังอาบน้ำอุ่นอีกรอบ ทั้ง ๆ ที่อากาศร้อนจนผมสามารถพ่นไฟได้ แต่ก็ไม่เห็นว่าผมจะหายปวดเมื่อยแบบที่เขาบอกเลย แขนทั้งสองข้างของผมห้อยร่องแร่งราวกับว่ามันพร้อมจะหลุดได้ทุกเมื่อ ส่วนบริเวณหัวไหล่นี่ไม่ต้องพูดถึงเลย ผมเหมือนแบกโลกเอาไว้ทั้งใบ
มันเป็เื่ธรรมดาที่ผมจะมีอาการปวดเมื่อยตามตัว เนื่องการยกกระสอบที่หนักเกินครึ่งหนึ่งของน้ำหนักตัว แล้วผมก็ดันยกไปหลายสิบใบเลยด้วย แต่สิ่งหนึ่งที่ผมแปลกใจก็คือขนุนมันไม่เป็อะไรเลย
วันนี้ผมมาเรียนพร้อมกับขนุนเช่นเคย แต่เรามาเช้ากันมากกว่าปกติ เพราะขนุนมันจะต้องมาวางกาวดักหนูในแปลงข้าวโพดของมัน ตอนแรกผมก็กะว่าจะไปช่วยอยู่หรอก แต่พอเห็นแดดเปรี้ยง ๆ แล้วก็เปลี่ยนใจ แต่ขนุนก็ยังทำงานได้ปกติมาก ๆ มันไม่บ่นปวดเมื่อยแบบผมเลยสักคำ สมกับเป็หญิงแกร่งจริง ๆ
“วางกาวดักหนูนี่มันบาปไหมวะ” ขนุนหันมาถามผมในระหว่างที่เราสองคนกำลังเดินเข้าไปในตึกคณะพร้อม ๆ กัน ผมนั่งรอขนุนจนกระทั่งมันทำงานเสร็จทุกอย่างแล้วจะไปเรียนพร้อมกัน
“บาปมาก”
“แต่หนูมันมากินข้าวโพดกูนะ”
“มึงก็แบ่งให้มันกินหน่อยไม่ได้หรือไง”
“กูแบ่งได้อยู่แล้ว แต่มันกินหมดแปลงเลย! งานกูทั้งนั้น” ขนุนพูดด้วยน้ำเสียงที่แสดงออกอย่างชัดเจนว่ามันหัวร้อนมาก ผมเข้าใจเลยนะว่ามันรู้สึกยังไง แล้วข้าวโพดรอบนี้มันก็ปลูกมาจนใกล้ถึง่เก็บเกี่ยวแล้วด้วย อยู่ดี ๆ ก็มีหนูมาแทะกินจนเละไปหมด ก็ไม่แปลกที่ขนุนมันจะโกรธจัดจนต้องมาวางกาวดักหนูรอบแปลงขนาดนี้
ผมกับขนุนมีเรียนวิชาเดียวกันวันนี้ พวกเราเดินเข้ามาในห้องเรียนห้องใหญ่ที่มีเพื่อนในคณะบางส่วนนั่งกันอยู่ในห้องก่อนแล้ว แต่โชคดีที่อาจารย์ยังไม่มา ที่นั่งที่ผมกับขนุนมักจะเลือกนั่งเป็ประจำก็คือที่มุมนั่งหลังสุด เพราะวิชาไหนที่อาจารย์ชอบเรียกถามบ่อย ๆ หวยมันจะมาออกที่ผมหรือไม่ก็ขนุนตลอด เราจึงต้องเลือกที่หลบที่มันสามารถหลบสายตาของอาจารย์ได้
“เพื่อน ๆ อันนี้เป็คะแนนสอบกลางภาคของวิชานี้นะ อาจารย์ฝากให้เอามาให้ แล้วอาจารย์ก็ฝากมาบอกว่าวันนี้ไม่มีเรียน” เพื่อนคนหนึ่งเดินเข้ามาในห้องพร้อมกับกระดาษสองแผ่น เขาวางมันลงบนโต๊ะตัวหน้าสุดเพื่อให้เพื่อนคนอื่น ๆ ได้มาดูคะแนนของตัวเอง เพื่อนหลาย ๆ คนดีใจที่วันนี้ไม่มีเรียน แต่บางคนก็บ่นที่อาจารย์เพิ่งมาบอกตอนนี้
“ไปดูคะแนนกันไหม” ผมหันไปถามขนุนในระหว่างที่เพื่อน ๆ บางส่วนทยอยเดินออกจากห้องไปแล้ว แต่ก็ยังเหลืออีกบางส่วนที่นั่งอยู่ในห้องเพราะไม่รู้จะไปไหนเหมือนผมกับขนุนตอนนี้
“มึงไปดูเลย กูไม่ได้อยากรู้อะ”
“ทำไมวะ”
“ยังไงกูก็ตก” ขนุนพูดด้วยสีหน้าที่เฉยชา ราวกับว่ามันเป็เื่ปกติจนมันไม่รู้สึกอะไรแล้ว ผมหัวเราะออกมานิดหน่อยให้กับท่าทางที่ดูไม่สะทกสะท้านของขนุน แต่ก็แอบสงสารอยู่เหมือนกันที่มันมักจะสอบตกในหลาย ๆ วิชา
ไม่ใช่ว่าขนุนไม่เก่งหรือตั้งใจเรียน แต่ทุกคนในคณะนี้ต่างรู้กันดีว่าภาคพืชสวนต้องปลูกพืชเยอะมากและมาก ทำให้เด็กภาคนั้นมักจะเรียนกันแค่พอผ่าน ไม่ได้สนใจคะแนนหรือเกรดอะไรมากมาย ถึงแม้ว่าบางครั้งผมจะลากขนุนไปอ่านหนังสือด้วยกันเวลาใกล้ถึง่สอบ แต่ขนุนมันก็ชอบแอบงีบตลอดเพราะมันทำงานมาหนักมาก ผมก็เลยไม่อยากไปบังคับ
“มีคนได้เต็มด้วยเหรอ”
“นี่ไง ได้เต็มร้อยคะแนนเลย”
“ลูกพีชปะ”
“ไม่ใช่ ลูกพีชได้แค่เก้าสิบเจ็ดเอง”
“แล้วใครที่ได้เต็ม”
“ทานตะวัน”
ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับเพื่อนกลุ่มหนึ่งที่กำลังยืนมุงกันอยู่ที่หน้าห้อง และเพื่อนกลุ่มนั้นก็กำลังมองมาทางผมอยู่ด้วยเหมือนกัน บทสนทนาที่พวกเขาคุยกันเสียงดังจนแม้แต่ผมที่นั่งอยู่หลังสุดยังได้ยินเป็เื่เกี่ยวกับคะแนนสอบ ผมไม่แน่ใจว่าพวกเขาคุยกันว่าอะไร แต่เพราะผมได้ยินชื่อตัวเองอยู่ในบทสนทนานั้นด้วย จึงเงยหน้าขึ้นแล้วหันไปมอง
“มึงสอบได้เต็มเลยเหรอทานตะวัน มึงเว่อร์มากอะ” ขนุนที่เหมือนจะได้ยินบทสนทนานั้นเหมือนกันก็หันมาพูดกับผม ในขณะที่เพื่อนคนอื่นก็มองมาทางผมและหันไปกระซิบกระซาบกัน
ไม่ชอบอะไรแบบนี้เลย
เพื่อน ๆ อาจจะกำลังพูดถึงผมในทางที่ดีอยู่ก็ได้ แต่ผมไม่ชอบเวลาที่ตัวเองกลายเป็จุดสนใจและคนรอบข้างต่างก็กำลังพูดถึงเื่ของผมกัน ถึงจะรู้ว่าเพื่อนไม่ได้พูดจาร้าย ๆ เกี่ยวกับตัวผมหรอก แต่ผมก็ไม่ชอบอะไรแบบนี้อยู่ดี
“แค่ได้คะแนนเต็มเอง ยังไม่ได้เกียรตินิยมสักหน่อย ตื่นเต้นทำไม” ผมหันไปตอบขนุนแบบปัด ๆ และพยายามหลีกเลี่ยงการสบตากับเพื่อนคนอื่น ๆ ในห้องที่ยังคงพูดถึงเื่คะแนนของผมที่มันสูงติดเพดานกันอยู่
อย่างที่ผมเคยบอกไปว่าผมค่อนข้างชอบการเรียนคณะนี้ ผมทำคะแนนได้ดีมากเกือบทุกวิชา แต่พอเป็ภาคปฏิบัติที่ต้องลงไปทำงานจริง ๆ ผมกลับทำไม่ได้เหมือนที่เรียนในห้อง ทั้งเื่ความอดทนต่อสภาพอากาศและแสงแดด รวมถึงเื่การปลูกผักง่าย ๆ ให้โตไม่ได้อีก เพราะงั้นผมถึงไม่ได้ดีใจเลยที่ตัวเองได้คะแนนดีแค่ในห้องเรียน
“ทานตะวัน” เสียงหนึ่งดังขึ้นหลังจากที่ผมก้มหน้าก้มตาเล่นเกมในโทรศัพท์มือถือ พอเงยหน้าขึ้นมองก็พบว่าเป็ลูกพีชที่ยืนอยู่ตรงหน้าผม ขนุนเองก็เงยหน้ามองลูกพีชด้วยความสงสัยเช่นกัน
“ว่าไง”
“แกเก่งมากเลย สอบได้เต็มด้วย” ลูกพีชพูดพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ ซึ่งผมก็ยิ้มตอบกลับไปเหมือนกัน ผมไม่ได้สนิทกับเขา แทบจะไม่เคยคุยกันเลยด้วยซ้ำถ้าไม่จำเป็ พอเขาเดินเข้ามาชมแบบนี้ก็เขิน ๆ เหมือนกัน
“แกก็เก่งเหมือนกัน”
“ไม่หรอก เรายังต้องพยายามอีกเยอะเลย”
“แกเก่งกว่าเราตั้งเยอะ แค่นี้ก็เก่งมากแล้ว” ผมตอบกลับพร้อมกับยื่นมือไปตบไหล่ของอีกฝ่ายเบา ๆ ไม่รู้ว่าลูกพีชจะคิดมากเพราะคำพูดของเพื่อนคนอื่นเกี่ยวกับเื่คะแนนหรือเปล่า ผมไม่อยากให้ลูกพีชคิดว่าตัวเองเก่งไม่เท่าผมหรืออะไรแบบนั้นเลย เพราะคนเราก็มีทั้งด้านที่เก่งและไม่เก่งกันทั้งนั้น
“ขอบใจมากนะ ถ้าทานตะวันมีอะไรให้เราช่วยบอกได้เลยนะ ให้ไปช่วยปลูกผักรอบที่หกก็ได้นะ” ลูกพีชพูดด้วยรอยยิ้มกว้าง หลังจากนั้นเขาก็เดินออกจากห้องไป โดยที่ตอนนี้ในห้องเรียนเหลือแค่ผมกับขนุนเท่านั้นที่ยังนั่งกันอยู่
ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมเพื่อนในภาคถึงชอบเข้าหาลูกพีชกัน เขาทั้งเรียนเก่ง ทำกิจกรรมก็เก่ง แถมยังปลูกผักสวยแล้วก็ปลูกเสร็จเป็คนแรก ๆ อีกต่างหาก หน้าตาก็น่ารัก แล้วก็มีน้ำใจช่วยเหลือคนอื่นด้วย ทำไมคนคนหนึ่งถึงได้มีข้อดีเยอะขนาดนี้
“มึงรู้จักเขาด้วยเหรอ” ขนุนเอ่ยถามหลังจากที่ลูกพีชเดินออกไปจากห้องนี้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งผมก็ลุกขึ้นและเก็บของใส่กระเป๋าเพื่อที่จะเตรียมตัวออกจากห้องตามไปเหมือนกัน
“ก็เรียนภาคเดียวกัน”
“ไม่ ๆ กูหมายถึงสนิทกันเหรอ?”
“ไม่นะ”
“แล้วเขามาแสดงความยินดีกับมึงทำไม” ขนุนพูดขึ้นด้วยความสงสัย ในขณะที่ผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก บางทีลูกพีชอาจจะแค่อยากแสดงความยินดีกับผมจริง ๆ ก็ได้ ขนุนมันก็บอกเองว่ามันน่าตื่นเต้นที่ผมสอบได้คะแนนเต็ม
ผมไม่ได้ตอบอะไรกลับไปหลังจากนั้น เราทั้งสองคนเดินออกจากห้องเรียนพร้อม ๆ กัน ผมมีเรียนต่อตอนบ่าย เลยตั้งใจว่าจะไปหาที่นั่งรอเวลา ส่วนขนุนก็ต้องเข้าไปทำงานที่ฟาร์มตอนบ่ายเหมือนกัน ผมจึงชวนมันไปนั่งที่ห้องภาคของผม เพราะห้องนั้นมันเงียบกว่าห้องภาคของขนุนมาก ๆ
ทันทีที่เปิดประตูเข้าไปในห้องภาค ผมก็ต้องใเมื่อเห็นว่าพี่อูนยืนอยู่หน้าประตูพอดี เขาก็ใเหมือนกันที่เห็นผมเปิดประตูมา หลังจากนั้นเขาก็ส่งยิ้มมาให้ผมและเอ่ยทักทายด้วยใบหน้าที่สดใสตามสไตล์ของเขา
“อ้าว น้องทานตะวัน น้องขนุน เพิ่งมากันเหรอเรา” พี่อูนเอ่ยทักพวกเราทั้งสองคน ก่อนจะขยับตัวหลบทางให้พวกเราเดินเข้าไปในห้องได้ ก่อนที่เขาจะเดินตามมาเพื่อคุยกับพวกเรา
“มาั้แ่เช้าแล้วค่ะพี่อูน แต่หนูไปวางกับดักหนูกับยาเบื่อหนูมา คราวที่แล้วมันกินข้าวโพดหนูหมดแปลงเลยค่ะ” ขนุนตอบกลับไปอย่างเป็ธรรมชาติ บางทีผมก็รู้สึกหมั่นไส้ที่มันเป็คนที่เข้าได้กับรุ่นพี่แทบจะทุกคนแบบนี้นะ
“มันมียาที่ฉีดไล่หนูอยู่นะ”
“หนูเคยใช้แล้วมันไม่ได้ผล”
“ของภาคพี่มีอยู่อันหนึ่งก็ใช้ได้ผลอยู่นะ แต่อาจจะต้องใช้เวลาพักใหญ่ ๆ เลย เพราะมันเป็ออร์แกนิค มายืมไปใช้ได้”
“โอ๊ย ไม่เป็ไรเลยค่ะพี่อูน ภาคหนูเขาไม่ซีเรียสเื่สารเคมีกัน ไม่จำเป็ต้องใช้อะไรที่มันออร์แกนิคหรอกค่ะ” ขนุนตอบกลับไปพร้อมกับหัวเราะออกมาเสียงดัง ซึ่งพี่อูนก็หัวเราะออกมาด้วยเหมือนกัน
มันคือความตลกร้ายของคณะเราจริง ๆ นะ อย่างภาคพืชผักของผมจะเน้นการเรียนเกษตรอินทรีย์ การปลูกผักโดยปลอดสารเคมีทั้งหมด แต่ภาคพืชสวนของขนุนจะเป็ภาคที่ใช้สารเคมีในการปลูกพืชเยอะที่สุด ก็อย่างว่าแหละนะ พืชสวนมันก็คือการปลูกพวกผลไม้ที่กินผลเป็ส่วนใหญ่ ไม่มีใครอยากกินผลไม้ที่ไม่หวานหรอก
ภาควิชาพืชผักของผมก็เคยเป็ส่วนหนึ่งในภาควิชาพืชสวนเหมือนกัน แต่แยกตัวออกมาได้หลายปีแล้ว เพราะทางคณะอยากให้ภาคของผมเน้นไปที่การเรียนแบบเกษตรอินทรีย์และเน้นไปที่การปลูกผักอย่างเดียวเลย
“แล้วนี่ไม่มีเรียนกันเหรอ” พี่อูนหันมาถามผมหลังจากที่เขาไม่ได้คุยอะไรกับขนุนต่อ พอผมเงยหน้าขึ้นก็พบว่าพี่อูนกำลังมองมาทางผมและรอคำตอบจากผมอยู่
“ที่จริงมีครับ แต่อาจารย์ยกคลาส”
“เออ พี่เพิ่งนึกอะไรขึ้นได้” พี่อูนเดินไปยังโต๊ะตัวหนึ่งที่มีกระเป๋าของเขาวางอยู่ เขาล้วงมือเข้าไปในกระเป๋าแล้วควักกล่องอะไรบางอย่างออกมา มันคือกล่องยาอะไรสักอย่าง หลังจากนั้นเขาก็ยื่นมันมาให้ผม
“ครับ?”
“พี่เห็นเราปวดเมื่อยตัว พี่เลยซื้อยามาให้” พี่อูนพูดพร้อมกับยื่นกล่องยานั้นมาให้ผมอีกรอบ ผมรับมันมาด้วยความงุนงงผสมกับความเขินอาย ผมทำตัวไม่ถูกจนขนุนต้องใช้แขนดันผมเบา ๆ
“พี่อูนรู้ได้ไงว่าผมปวดตัว”
“ไอ้ปรงมันบอกพี่ว่าเมื่อวานให้เรามาช่วยยกกระสอบปุ๋ย พี่ก็เลยคิดว่าวันนี้เราจะต้องปวดแน่ ๆ ก็เลยซื้อมาเผื่อไว้” พี่อูนตอบกลับพร้อมกับรอยยิ้ม ซึ่งนั่นทำให้ใจของผมเต้นไม่เป็จังหวะ
“หนูก็ทำเหมือนกันนะเมื่อวาน ทำไมพี่อูนถึงซื้อมาฝากแต่มันคนเดียวล่ะ” ขนุนพูดด้วยความน้อยใจ แต่ผมรู้ดีว่ามันกำลังแซวผมอยู่ ซึ่งนั่นก็ทำให้ผมหันไปมองหน้ามันทันที
“น้องขนุนอึดจะตาย”
“หนูก็แค่ผู้หญิงตัวเล็กๆ”
“ขอบคุณนะครับพี่อูน” ผมหันไปบอกพี่อูนหลังจากที่ตัวเองยืนเงียบอยู่นาน ไม่ใช่อะไรนะ แต่ผมกำลังพยายามห้ามตัวเองไม่ให้เผลอยิ้มจนหน้าบาน ผมตอบกลับเขาไปด้วยสีหน้านิ่ง ๆ แต่ความจริงแล้วในใจของผมมันกำลังจะะเิออกมา
ผมต้องไปขอบคุณพี่ปรงไหมที่เขาอุตส่าห์เอาเื่นี้ไปบอกพี่อูน ผมก็เลยได้ยาทาแก้ปวดจากพี่อูนแบบนี้ ผมจะยอมให้อภัยเขาเื่เมื่อวานที่เขาตั้งใจแกล้งผมก็ได้ แต่ผมก็ยังคงไม่ไว้ใจเขาเหมือนเดิมนั่นแหละ
“อย่าลืมทาล่ะ เดี๋ยวจะเป็หนัก”
“ได้เลยครับ”
“พี่อูนก็ทาให้มันเลยสิคะ” ขนุนพูดพร้อมกับหัวเราะออกมา ผมรีบยื่นมือไปตีแขนขนุนเบา ๆ เพราะมันเอาแต่แกล้งชงพี่อูนกับผมอยู่นั่น ผมรู้นะว่ามันอยากช่วยให้ผมได้ใกล้ชิดกับเขา แต่ทำแบบนี้เขาจะรู้ตัวน่ะสิ
“ได้นะ ไหนเอามาสิ” แล้วพี่อูนก็ดันตอบตกลงซะอย่างนั้น
“ไม่ต้องครับพี่ ขนุนมันพูดเล่น” ผมยกมือขึ้นห้ามในตอนที่พี่อูนทำท่าจะเดินเข้ามาหยิบยาแก้ปวดในมือผมไป พอผมหันไปมองขนุนก็พบว่ามันกำลังยิ้มล้อเลียนผมอยู่ด้วยความสะใจ
“อ้าวเหรอ”
“เออ พี่อูนครับ” ผมเรียกพี่อูนขึ้นอีกครั้งหลังจากที่เขาหมุนตัวเตรียมจะเดินไปจากบริเวณนี้ เพราะเื่เมื่อวานที่คุยกับขนุนทำให้ผมสงสัยเื่ข้าวกล่องที่ผมทำให้เขา ผมไม่แน่ใจว่าเขาได้เอาไปหรือเปล่า หรือมีคนเอาไปทิ้งแล้ว
“ว่าไง”
“พี่อูนได้กินของที่ผมซื้อมาให้ไหมครับ”
“เมื่อไรนะ”
“เมื่อวานก่อนครับ”
“อ้อ! ข้าวกล่องใช่ไหม”
“ใช่ครับ”
“วันนั้นพี่ไม่ได้เข้ามาที่ตึกคณะเลย แต่ไอ้ปรงมันก็บอกพี่แล้วล่ะว่ามีคนเอาข้าวกล่องมาให้พี่ เพิ่งรู้นะเนี่ยว่าเป็เรา” พี่อูนพูดด้วยใบหน้ายิ้มแย้มปกติแบบไม่ได้สงสัยอะไร แต่พอเขาพูดถึงชื่อของพี่ปรงขึ้นมา ผมก็เริ่มสังหรณ์ใจไม่ดีเท่าไร
“แล้วพี่อูนได้กินไหมครับ”
“พี่ไม่ได้กินหรอก พี่ให้ไอ้ปรงมันเอาไปกินเลยเพราะพี่กลัวว่าข้าวมันจะบูด พี่เสียดายของ ขอโทษด้วยนะที่พี่ไม่ได้กิน แล้วก็ขอบคุณเรามาก ๆ เลยที่ซื้อข้าวมาฝากพี่”
“ครับ” ผมตอบกลับไปเพียงเท่านั้น หลังจากนั้นพวกเราก็ไม่ได้คุยอะไรกันต่อ สักพักพี่อูนก็เดินหายออกจากห้องภาคไป ซึ่งผมคาดว่าเขาน่าจะไปเรียนหรือไปทำงาน ส่วนผมก็นั่งคอตกอยู่ในห้องกับขนุน
พี่อูนไม่ได้กินข้าวกล่องนั้น
แต่พี่ปรงกินแทน
ผมพยายามตั้งสติและคิดย้อนกลับไป่สองสามวันก่อนที่ผมได้เจอพี่ปรงอยู่บ่อย ๆ ผมจำได้ว่าวันที่ผมเอาข้าวไปให้พี่อูนก็คือวันเดียวกันกับวันที่ผมได้รู้ว่าผักที่ผมปลูกรอบที่ห้ามันไม่ขึ้น และในตอนที่อยู่ที่แปลงผักหลังจากที่อาจารย์บอกให้พี่ปรงมาช่วยผมปลูกผัก วันนั้นเขาเอาหมวกเขามาให้ผมใส่เพราะเห็นว่าผมหน้าแดงมาก ซึ่งผมก็แอบสงสัยอยู่ว่าเขาอาจจะกินยาแล้วลืมเขย่าขวดหรือเปล่า แต่วันนั้นก็คือวันที่เขาเริ่มทำดีกับผม
หลังจากวันนั้นเขาก็ยังคงแกล้งผมเป็ปกติ แต่เขาก็ซื้อข้าวกลางวันมาให้ผม แถมยังเสนอตัวจะไปส่งผมที่หออีกต่างหาก แล้วถ้าผมจำไม่ผิด เหมือนวันนั้นพี่ปรงเขาจะพูดว่าเขาเป็ห่วงผมด้วย
เื่เห็ดยามาบูฯมันเป็เื่ไร้สาระ แต่พี่ปรงที่ก่อนหน้านี้แทบจะไม่อยากคุยกับผมเลย อยู่ดี ๆ ก็เริ่มเข้ามาทำดีกับผมหลังจากเขากินเห็ดยามาบูฯของผมเข้าไป ผมเริ่มแอบคิดละว่ามันอาจจะเป็เื่จริง
“ขนุน” ผมเอ่ยเรียกเพื่อนรักหลังจากที่พยายามทบทวนเื่ราวต่าง ๆ ขนุนหันมามองหน้าผมแล้วก็ต้องใที่เห็นว่าตอนนี้ผมหน้าซีดมาก ๆ สิ่งที่ผมคิดอยู่ในหัวมันดูไร้สาระมาก ๆ แต่พอประติดประต่อเื่เข้าด้วยกันแล้ว มันก็ดูเป็เื่ที่น่าจะเป็ไปได้มาก ๆ ไม่มีเหตุผลอะไรที่คนอย่างที่ปรงจะมาทำดีกับผม ถ้าไม่ใช่เพราะเขากินเห็ดยามาบูฯของผมเข้าไป
“มึงเป็ไรเนี่ย”
“พี่ปรงเขากินข้าวที่กูซื้อมาให้พี่อูน”
“กูรู้แล้วไง”
“มันคือข้าวที่กูใส่เห็ดยามาบูฯ” ผมพยายามเรียบเรียงคำพูดของตัวเองและเอ่ยบอกขนุนไป ทันทีที่มันได้ยินดังนั้น ขนุนมันก็ตาโตด้วยความใขึ้นมา เหมือนมันลืมว่าผมตั้งใจจะเอาเห็ดยามาบูฯมาให้พี่อูนกิน พอเห็นว่าขนุนมันไม่ได้พูดอะไร ผมจึงพูดต่อ “หลังจากนั้นอยู่ดี ๆ เขาก็เข้ามาทำดีกับกู แล้วก็เื่ที่กูยังไม่ได้บอกมึง คือเมื่อวานพี่ปรงเขาไปส่งกูกลับหอ”
“เฮ้ย…มึง”
“…”
“หรือว่าพี่ปรงจะชอบมึงแล้ววะ”