“ทำคนเดียวเมื่อไรจะเสร็จ”
เสียงบ่นอุบอิบของผู้ชายร่างสูงที่กำลังยืนพรวนดินอยู่ในกระถางตรงหน้าผม ั้แ่ที่เขาเริ่มช่วยผมทำงาน พี่ปรงเขาก็บ่นผมแทบจะทุกห้านาทีถ้ามีโอกาส ไม่ว่าจะบ่นเื่ผมทำงานช้า ผมทำงานชุ่ย หรือแม้กระทั่งเื่ที่ผมยืนขวางทางเขา เรียกได้ว่าหาเื่มาบ่นได้ตลอดเวลาจริง ๆ ผมฟังเสียงเขาบ่นจนตอนนี้เริ่มจะชินชาไปแล้ว
หลังจากที่ผมได้ข้อสรุปกับตัวเองแล้วว่าพี่ปรงเขาไม่ได้ชอบผมจริง ๆ ผมก็ยอมให้เขามาช่วยงาน เพราะเขาบอกว่าถ้าผมทำคนเดียวอาจจะหน้ามืดเป็ลมตายตรงนี้ไปเลยก็ได้ เขาบอกว่าตัวเองทนเห็นภาพนั้นไม่ได้ ก็เลยมาช่วยผมทำงาน
เวลาล่วงเลยมานานกว่าสองชั่วโมงที่เราทั้งสองคนทำงานอยู่ตรงบริเวณนี้ ผมเดินมานั่งพักตรงบริเวณที่เป็ร่มเพื่อหลบแดด แต่พี่ปรงก็ยังคงทำงานสู้แดดต่อไปอย่างไม่ลดละ ทุกคนในคณะนี้ดูอึดและแกร่งกันมากจริง ๆ ยืนทำงานกลางแดดในสภาพอากาศร้อน ๆ กันได้เป็ชั่วโมงเลย ส่วนผมแค่เจอแดดแป๊ปเดียวก็เวียนหัวจะเป็ลมแล้ว
“พี่ปรง ตรงนั้นผมทำไปแล้วนะ” ผมลุกขึ้นแล้วเดินไปหาพี่ปรงที่กำลังเปลี่ยนมาพรวนดินในกระถางที่ผมพรวนไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่เหมือนว่าเขาจะไม่ฟังที่ผมพูดสักเท่าไร
“ดินข้างล่างยังเป็ก้อนอยู่เลย” เขาพูดพร้อมกับลงมือพรวนดินไปด้วย เขาขุดลงไปจนลึกสุดของกระถางแล้วงัดดินข้างใต้ขึ้นมาให้ผมดู ดินที่เขางัดขึ้นมามันเกาะกันเป็ก้อนใหญ่ ๆ หลังจากนั้นเขาจึงพูดต่อ “เพราะแบบนี้ไงถึงปลูกผักไม่ขึ้น”
“ทำไมพี่ขี้บ่นจัง” ผมพูดพร้อมกับหยิบช้อนพรวนดินของตัวเองขึ้นมาเพื่อที่จะลงมือทำใหม่ทั้งหมดเอง โดยที่มีพี่ปรงคอยยืนสั่งอยู่ข้าง ๆ ถ้าเขาเข้ามาสิงร่างผมแล้วทำแทนได้ก็คงทำไปแล้ว
“ออกแรงอีกสิ”
“ผมมีแรงเท่านี้อะ”
“ทำแบบนี้อะ จิ้มลงไปแบบนี้” พี่ปรงเลื่อนมือมาจับมือผมแล้วให้ผมขยับตามที่เขา้า ผมก็พยายามขยับข้อมือตามที่เขาบอก แต่ไม่ว่าผมจะออกแรงมากแค่ไหน ผลลัพธ์ของมันก็เหมือนเดิม จนสุดท้ายพี่ปรงก็ถอนหายใจออกมา
“ผมไม่เคยพรวนดินมาก่อน” ผมสารภาพไปตามตรง ผมไม่เคยทำอะไรเกี่ยวกับการเกษตรมาก่อนเลย พอมาเรียนคณะนี้มันก็เหมือนผมเริ่มใหม่ทุกอย่างจริง ๆ ตอนปีหนึ่งได้เรียนแต่วิชาทฤษฎี เริ่มได้ปฏิบัติจริงก็ตอนปีสองนี่แหละ การพรวนดินในวันนี้จึงถือเป็ครั้งแรกของผมเลย พี่ปรงที่ดูเหมือนจะหงุดหงิดในตอนแรกก็พยายามทำความเข้าใจผมมากขึ้น
“มา เดี๋ยวพี่สอน” พี่ปรงเขาขยับตัวไปยืนด้านหลังของผมแล้วเอื้อมมือทั้งสองข้างมา จนกลายเป็ว่าตอนนี้เหมือนพี่ปรงเขากำลังกอดผมอยู่จากด้านหลัง มือข้างหนึ่งของเขาเลื่อนมาจับมือผมไว้ ก่อนที่เขาจะเริ่มพูดต่อ “ค่อย ๆ ทำแต่ก็ต้องออกแรงมากกว่านี้ ดินข้างล่างมันจะได้ไม่จับตัวเป็ก้อน เพราะถ้าดินแข็งมาก ๆ รากมันจะแทงลงไปไม่ได้”
“ครับ” ผมตอบกลับไปเพียงเท่านั้น ผมไม่รู้ว่าตอนนี้ตัวเองควรจะโฟกัสอะไรก่อนดี ระหว่างมือของพี่ปรงที่จับข้อมือของผมเอาไว้หลวม ๆ หรือหลังของผมที่ชนเข้ากับแผงอกของเขา ผมไม่เคยอยู่ใกล้ชิดกับเขามากขนาดนี้มาก่อนเลย
“เวลาดินมันอยู่ในกระถางแล้วเรารดน้ำเนี่ย ดินมันจะจับตัวกันแน่น เราต้องค่อย ๆ สับดินให้มันแตกออกจากกัน”
เสียงพูดของพี่ปรงดังอยู่ใกล้หูผมมาก ๆ แต่ผมกลับไม่ได้โฟกัสที่ตรงนั้นเลยระยะห่างระหว่างเรามีน้อยมากจนตัวเราแทบจะชิดกัน แถมมืออีกข้างของเขาก็ยังจับมือของผมอยู่อีกต่างหาก พอเห็นว่าผมนิ่งไปนานและไม่ได้ตอบอะไรเขากลับมา พี่ปรงที่ยืนซ้อนหลังผมอยู่ก็ขยับถอยห่างออกไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะเดินกลับมายืนที่เดิมข้าง ๆ ผม
“ผมพอจะเข้าใจแล้วครับ”
หลังจากนั้นผมก็ลงมือทำงานต่อทันทีโดยมีพี่ปรงคอยยืนดูอยู่ข้าง ๆ พอเห็นว่าผมพอจะทำเองได้แล้ว เขาก็ช่วยผมทำที่เหลือ ในระหว่างนั้นเราไม่ได้คุยอะไรกันเลย มีเพียงความเงียบระหว่างเราทั้งนั้น บรรยากาศรอบ ๆ เริ่มที่จะเงียบแล้ว คนที่ทำงานอยู่ในฟาร์มตอนแรกก็ทยอยเดินออกกันไปทีละกลุ่ม จนในท้ายที่สุดก็เหลือแค่ผมและพี่ปรงสองคนเท่านั้น
ผมใช้เวลาค่อนข้างนานในการทำงาน จนพี่ปรงทำในส่วนของเขาเสร็จ แล้วก็ต้องมาช่วยทำงานในส่วนของผมด้วย พองานของผมเสร็จหมดทุกอย่างแล้ว ผมก็เดินกลับยังจุดที่ผมวางของเอาไว้ ก่อนที่พี่ปรงจะเดินตามหลังมา
“กลับยังไง” พี่ปรงเอ่ยถามในระหว่างที่เรากำลังถือของเดินออกจากฟาร์มเพื่อเอาของกลับไปเก็บที่ห้องภาคในตึกคณะ ผมไม่เคยรู้สึกว่าตึกคณะกับฟาร์มอยู่ไกลกันมากเท่าวันนี้มาก่อน
“น่าจะนั่งวินมอเตอร์ไซกลับครับ”
“แล้วน้องขนุนล่ะ”
“ขนุนมันต้องออกไปซื้อของทำงานกับเพื่อน น่าจะดึก ๆ เลยครับกว่าจะเสร็จ” ผมตอบกลับไปโดยที่ไม่หันไปมองหน้าพี่ปรงเลย ตอนนี้เป็เวลาประมาณห้าโมงเย็นแล้ว แต่ตึกคณะกลับเงียบมากจนเหมือนว่าเป็ตึกร้างไปเลย
ปกติแล้วตึกคณะผมจะไม่ได้เงียบไวแบบวันนี้หรอก บางที่สองสามทุ่มก็ยังมีคนเดินพลุกพล่านอยู่เลย แต่ว่าวันนี้คนอื่นเขาน่าจะไปเตรียมตัวสำหรับงานกีฬาสีของมหาวิทยาลัยที่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้ ส่วนผมก็ไม่ได้ลงชื่อทำกิจกรรมอะไรเลย เพราะงานผมก็ยังมีอีกหลายอย่างที่จะต้องทำให้เสร็จ คงไม่มีเวลาไปทำกิจกรรมนอกหรอก
ผมเดินเข้ามาในห้องภาคเป็คนแรก ก่อนจะพบว่าห้องทั้งห้องมืดไปหมด ผมเลยพยายามเดินหาที่เปิดไฟโดยการคลำผนังไปเรื่อย ๆ แต่เพราะผมไม่ใช้ห้องนี้บ่อย ๆ ผมเลยไม่ว่าสวิชต์ไฟมันอยู่ตรงไหน คนที่ใช้ห้องคนสุดท้ายคงจะคิดว่าไม่น่ามีใครมาแล้ว เขาเลยปิดไฟในห้องหมดทุกดวง แถมยังปิดหน้าต่างและปิดม่านซะจนมันมืดไปหมด
ในจังหวะที่ผมคลำไปเรื่อย ๆ จู่ ๆ ไฟในห้องมันก็สว่างขึ้นมาโดยที่ผมยังไม่ทันได้ทำอะไร พอหันไปมองที่ด้านข้างตัวเองก็พบว่าคนที่เปิดไฟคือพี่ปรงที่เดินตามผมมา แต่สิ่งที่ทำให้ผมต้องใจนเกือบหัวใจวายตายก็คือมือของผมที่วางอยู่บนหน้าอกของพี่ปรงอย่างพอดิบพอดี คาดว่าน่าจะเป็ตอนที่ผมพยายามจะหาสวิตช์ไฟนั่นแหละ
“เอาของมา เดี๋ยวพี่เอาไปเก็บให้” พี่ปรงไม่ได้พูดถึงเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้ เขาดึงข้าวของในมือผมไปถือไว้แล้วก็เดินเลี่ยงออกไปอีกทาง ผมยกมือขึ้นมาตบกบาลตัวเองเบา ๆ ก่อนจะเดินตามหลังเขาไป
“ขอบคุณนะครับที่มาช่วย” ผมเอ่ยบอกเขาหลังจากที่เก็บทุกอย่างเข้าที่หมดเรียบร้อย เราทั้งสองคนเดินกลับมายังบริเวณกลางห้อง ผมเก็บของใส่กระเป๋าแล้วยกกระเป๋าผ้าสีขาวมอม ๆ ของตัวเองขึ้นมาสะพายเพื่อเตรียมตัวที่จะกลับ
“ให้พี่ไปส่งไหม”
“ไม่เป็ไรหรอก พี่ปรงกลับไปเถอะ วันนี้ที่มาช่วยงานทั้งวันผมก็เกรงใจจะแย่แล้วเนี่ย” ผมตอบกลับไปพร้อมกับส่งยิ้มไปให้เขา แต่เขาก็ยังคงจ้องหน้าผมอย่างไม่ลดละ เหมือนว่าเขาจะไม่ยอมปล่อยผมไปง่าย ๆ
“มันมืดแล้ว ให้พี่ไปส่งดีกว่า”
“ผมกลับได้ครับ”
“ทานตะวัน”
“…”
“ให้พี่ไปส่ง”
พี่ปรงพูดด้วยน้ำเสียงที่ต่ำลงและสายตาที่ดูจริงจังมากขึ้นกว่าเดิม ผมเบือนหน้าหนีไปทางอื่นพลางคิดกับตัวเองว่าจะทำยังไงดี สุดท้ายผมก็ยอมตกลงไปเพราะพี่ปรงเขาก็ดูไม่มีทีท่าว่าจะยอมเหมือนกัน
“ก็ได้ครับ แต่ส่งผมตรง…”
“ส่งที่หอ” พี่ปรงพูดทิ้งท้ายไว้เท่านั้น เขาเดินไปหยิบกระเป๋าของตัวเองมาสะพายแล้วเดินนำออกจากห้องไปก่อนเป็คนแรก พอผมเดินออกมาจากห้อง พี่ปรงเขาก็จัดการปิดห้องและล็อคจนเรียบร้อยเสร็จสรรพ
“พี่ไม่ต้องสงสารผมขนาดนั้นก็ได้นะ”
“กลับคนเดียวมันอันตราย”
“ผมกลับจนชินแล้ว”
“วันหลังถ้าต้องกลับคนเดียว อย่าทำงานจนมืดค่ำ เข้าใจหรือเปล่า” พี่ปรงหันมาย้ำกับผม ซึ่งผมก็พยักหน้ากลับไปแทนคำตอบ เขาคงจะสงสารผมมากจนทนเห็นผมเดินกลับหอคนเดียวตอนกลางคืนไม่ได้เลยสินะ
ในตอนที่เราเดินมาถึงที่รถของพี่ปรงแล้ว ผมก็พบว่าในเวลานี้ไม่มีใครอยู่ในตึกคณะเลย มีแค่รถของพี่ปรงคันเดียวที่ยังคงจอดอยู่ บริเวณรอบ ๆ ก็มืดมากซะจนมองอะไรแทบไม่เห็น เสียงจิ้งหรีดเรไรร้องกันกระหน่ำราวกับว่าผมกำลังเดินอยู่ในป่า ถึงแม้ตรงทางเดินจะพอมีไฟอยู่บ้าง แต่มันก็ติด ๆ ดับ ๆ บางอันก็ดับสนิทไปเลย
“พี่จะทำอะไรน่ะ” ผมพูดขึ้นหลังจากที่เห็นพี่ปรงถอดเสื้อแขนยาวสีขาวของตัวเองออก เขาโยนมันเข้าไปในรถก่อนที่จะก้มลงไปและหยิบเสื้อยืดตัวใหม่ออกสวมแทน
“เปลี่ยนเสื้อ”
“ผมใหมด”
“เสื้อตัวนั้นมันเหม็นเหงื่อ”
พอพี่ปรงเขาพูดออกมาแบบนั้น ผมก็ก้มลงดมเสื้อของตัวเองอัตโนมัติ และแน่นอนว่ากลิ่นเหงื่อของผมแรงมาก พูดตามตรงว่าถ้าวันนี้ผมกลับบ้านพร้อมขนุน ผมก็คงไม่รู้สึกอะไรหรอก เื่กลิ่นเหงื่อติดเสื้อมันเป็เื่ปกติมาก ๆ สำหรับคนในคณะเรา เพราะเราทำงานกันกลางแดดหลายชั่วโมง เป็เื่ธรรมดาที่จะเหงื่อออกเยอะจนกลิ่นมันติดเสื้อ แต่พอต้องมานั่งในรถกับพี่ปรงด้วยสภาพที่เนื้อตัวมีแต่กลิ่นเหงื่อแล้วผมรู้สึกอาย ๆ ยังไงไม่รู้แหะ
“พี่ปรงครับ” ผมเอ่ยเรียกเขาหลังจากที่เราทั้งสองคนขึ้นมานั่งอยู่ในรถเรียบร้อยแล้ว พี่ปรงหันมามองหน้าผมแล้วเลิกคิ้วเป็เชิงถาม ผมจึงเริ่มพูดต่อทันที “คือผมอยากขอบคุณพี่น่ะครับ ให้ผมเลี้ยงข้าวพี่ได้ไหม”
“ไม่เป็ไรหรอก”
“ผมอยากตอบแทนพี่จริง ๆ นะ งานนี้มันเป็งานกลุ่มของผมด้วย แล้วพี่ก็มาช่วยผมทำเกือบหมดเลย ผมเกรงใจ” ผมตอบกลับไปและพยายามหว่านล้อมเขา พี่ปรงนิ่งไปพักหนึ่งก่อนที่เขาจะหันมาสบตากับผมแล้วพยักหน้ารับ
“โอเค งั้นไปวันนี้เลยไหม”
“วันนี้เลยเหรอครับ”
“ใช่ เพราะตอนนี้พี่ก็กำลังหิวอยู่ด้วย”
“เอางั้นก็ได้ครับ”
รถของพี่ปรงขับมุ่งหน้าไปตามถนนภายในบริเวณมหาวิทยาลัย ใน่เวลาเย็น ๆ แบบนี้ก็จะมีรถติดเป็เื่ปกติ แต่ก็ใช้เวลาไม่นานก็มาถึงยังจุดหมาย แถวนี้มีลักษณะเป็เหมือนตลาดขนาดใหญ่ที่มีร้านอาหารอยู่รวมกันเป็สิบ ๆ ร้าน
เนื่องจากมหาวิทยาลัยของผมตั้งอยู่ห่างไกลจากความเจริญ ก็เลยจะไม่มีห้างใหญ่ ๆ ที่อยู่ใกล้ ๆ แถวนี้ เด็กในมอนี้ก็เลยมักจะมารวมตัวกันที่ตรงนี้ซะมากกว่า ผมกับขนุนก็มาที่นี่กันเกือบทุกวัน เพราะมีร้านอาหารให้เลือกเยอะ แถมยังราคาไม่ได้แรงมาก แต่วันนี้ก็เป็ครั้งแรกเลยที่ผมมาที่นี่กับคนอื่น
“อยากกินอะไร” พี่ปรงเอ่ยถามผมหลังจากที่เราเดินลงจากรถมาพร้อม ๆ กัน เขาเดินอ้อมมายืนข้าง ๆ ผมก่อนจะยื่นมือดึงแขนผมให้ข้ามถนนเมื่อเห็นว่าเป็จังหวะที่ไม่มีรถวิ่งผ่านทางนั้นพอดี
“อะไรก็ได้ครับ ผมกินได้หมด”
“เคยกินสุกี้หน้าตึกแฝดหรือยัง”
“ไม่เคยเลยครับ”
“อยากลองไหม อร่อยนะ ร้านโปรดไอ้อูนมันเลย” พี่ปรงพูดพร้อมกับลากผมให้เดินตามเขาไปเรื่อย ๆ เขายังคงจับข้อมือของผมเอาไว้อยู่ อาจเป็เพราะตอนนี้มีคนเดินสวนไปสวนมาอย่างหนาแน่น เขาเลยจับมือผมไว้เพราะกลัวผมหลง
“ลองดูก็ได้ครับ”
พี่ปรงพาผมเดินลัดเลาะไปตามทางจนกระทั่งเรามาถึงบริเวณที่เด็กแถวนี้เขาเรียกกันว่าตึกแฝด เพราะแถวนั้นจะมีหอพักที่รูปร่างหน้าตาเหมือนกันสองตึกตั้งอยู่ ซึ่งตรงด้านหน้าของตึกก็จะมีโซนร้านอาหารที่ตั้งเรียงกันยาวเป็สิบ ๆ ร้าน ปกติผมไม่ค่อยจะได้มาตรงนี้เท่าไร เพราะหอของผมอยู่อีกทาง ก็เลยจะกินร้านอาหารที่อยู่อีกฝั่งซะมากกว่า แล้วเห็นพี่ปรงบอกว่ามันเป็ร้านโปรดของพี่อูนด้วย ผมก็เลยอยากมาลองดู
“ไอ้ปรง”
ทันทีที่ผมกับพี่ปรงเดินเข้ามาภายในร้าน สิ่งที่ทำให้ผมต้องใจนต้องหลบไปแอบอยู่หลังพี่ปรงก็คือบรรดาผู้คนที่นั่งอยู่ร้าน ประมาณ 90% คือเด็กคณะผมหมดเลย มีรุ่นพี่คนหนึ่งโบกมือทักทายพี่ปรงด้วย และที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือขนุนกับเพื่อนภาคพืชสวนของมันก็นั่งอยู่ในร้านนี้ด้วยเหมือนกัน ดูท่าแล้วร้านนี้คงไม่ใช่แค่ร้านโปรดของพี่อูนคนเดียวแล้วล่ะมั้ง น่าจะเป็ร้านโปรดของเด็กเกษตรทั้งคณะเลยล่ะ
พี่ปรงชี้ให้ผมนั่งลงบนโต๊ะที่ยังว่างอยู่ โดยที่เขาเดินไปหาเพื่อนเขาที่นั่งอยู่อีกโต๊ะหนึ่ง เพื่อนเขามองมาทางผมเล็กน้อย แต่ผมก็หลบสายตาของคนอื่นแล้วก้มลงอ่านเมนูชนิดที่ว่าอ่านทุกตัวอักษร หลังจากนั้นไม่นาน พี่ปรงก็เดินกลับมา แต่ก็ยังมีรุ่นน้องอีกโต๊ะร้องทักเขาขึ้นมาอีก แต่เขาก็ไม่ได้เดินเข้าไปคุยด้วยแต่อย่างใด
“พี่ไปนั่งกับเพื่อนก็ได้นะครับ เดี๋ยวผมไปจ่ายให้” ผมพูดในตอนที่พี่ปรงเขาทิ้งตัวลงนั่งตรงข้ามกับผม เขาเงยหน้ามองผมเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะดึงกระดาษเมนูออกไปจากมือผม
“พี่มากับน้อง ก็ต้องนั่งกับน้องดิ”
“ไม่เป็ไรครับ ผมนั่งคนเดียว…”
“เอาอะไร” พี่ปรงพูดขึ้นแทรกในตอนที่ผมยังพูดไม่จบ เขาก้มหน้าก้มตาเขียนเมนูของตัวเองลงไปในกระดาษโดยที่เขายังไม่ทันได้หยิบเมนูมาเปิดดูเลยด้วยซ้ำ แสดงว่าเขาก็คงมาที่นี่บ่อยเหมือนกัน แต่ก็อย่างที่ผมบอก ทุกคนในคณะน่าจะมาที่นี่กันบ่อย ๆ ดูจากการที่เดินเข้ามาในร้านแล้วเป็เด็กเกษตรนั่งกันจนแทบจะเป็เ้าของร้านไปแล้ว มีแต่ผมนี่แหละที่ไม่เคยมา
“ผมยังเลือกไม่ได้เลยครับ”
“ไม่เคยมากินร้านนี้ใช่ไหม”
“ไม่เคยเลยครับ พี่มีเมนูแนะนำไหม”
“งั้นลองกินเมนูเดียวกับพี่แล้วกันนะ” พี่ปรงพูดพร้อมกับจดลงไปในกระดาษ ก่อนที่เขาจะลุกและเดินเอากระดาษแผ่นนั้นไปให้แม่ค้าที่หน้าร้าน ในระหว่างนั้นก็มีรุ่นน้องกลุ่มหนึ่งเดินเข้ามาคุยกับเขา ซึ่งเขาก็ยืนคุยกับรุ่นน้องกลุ่มนั้นด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มปกติ ช่างต่างจากเวลาที่คุยกับผมจริง ๆ
พอได้มาเห็นพี่ปรงแบบนี้ ผมก็เริ่มเชื่อคำพูดของขนุนที่บอกว่าพี่เขาเป็ที่ชื่นชอบของรุ่นน้องยิ่งกว่าพี่อูนซะอีก เพราะั้แ่ที่เราสองคนเดินเข้ามาในร้านก็มีคนทักพี่ปรงจนเกือบครบทั้งร้านแล้ว แถมเวลาที่เขาพูดคุยกับคนอื่นก็ดูเป็รุ่นพี่ที่นิสัยดี อัธยาศัยดีอย่างบอกไม่ถูก หรือบางทีพี่ปรงเขาอาจจะเกลียดผมจริง ๆ นั่นแหละ ถึงได้ทำหน้าหงุดหงิดตลอดเวลาที่คุยกับผม
ผมมั่นใจแล้วอย่างหนึ่งคือเขาไม่ได้ชอบผมแน่ ๆ แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงได้หน้าบูดใส่ผมตลอด ถ้าจะบอกว่าเป็เพราะเื่เห็ดที่ผมไปขโมยก็ไม่น่าใช่ เพราะเขาเป็แบบนี้มาตั้งนานแล้ว
“พี่มาที่นี่บ่อยเหรอครับ” หลังจากที่พี่ปรงเดินกลับมานั่งที่เดิมของเขา ผมก็เอ่ยถามคำถามที่ผมก็น่าจะรู้คำตอบอยู่แล้ว แต่เพราะไม่อยากให้บรรยากาศมันเงียบมากเกินไป ผมก็เลยพยายามหาเื่มาชวนเขาคุย
“บ่อย ไอ้อูนมันชอบพาพี่มา”
“แสดงว่าร้านนี้ต้องอร่อยมากแน่เลย”
“อร่อยนะ แต่อีกเหตุผลหนึ่งก็เพราะเด็กภาคเราสนิทกับป้าเ้าของร้านกันเยอะ เพราะป้าเขาชอบรับซื้อผักจากภาคเรามาขาย เด็กในภาคก็เลยพากันมาอุดหนุนจนกลายเป็ร้านประจำไปแล้ว”
“ผมเพิ่งเคยมาร้านนี้ครั้งแรกเลย”
“ไว้วันหลังมาด้วยกันอีกสิ” พี่ปรงพูดพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ผมนิดหน่อย หลังจากนั้นเขาก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่น ผมยกมือขึ้นเกาท้ายทอยแก้เก้อก่อนจะพยายามทบทวนคำพูดของพี่ปรงอีกครั้ง แต่เพราะปากมันไวกว่าความคิด ผมเลยถามเขากลับไปโดยปราศจากการไตร่ตรองให้ดี
“พี่อยากมากับผมอีกเหรอ”
พี่ปรงเขาแค่นหัวเราะออกมานิดหน่อยตอนที่ผมถามคำถามนั้นออกไป เขาขยับตัวเปลี่ยนท่านั่งโดยเอาแขนทั้งสองข้างขึ้นมาวางบนโต๊ะแล้วยื่นใบหน้าเข้ามาหาผม เขาจ้องตาผมอยู่นานจนกระทั่งผมเป็ฝ่ายหลบสายตาไปก่อน
“น้องไม่อยากมากับพี่หรอก” พี่ปรงตอบกลับมา
“…”
“น้องคงอยากมากับไอ้อูนมากกว่า”
ทำไมผมรู้สึกเหมือนพี่ปรงเขาตัดพ้อเลยแหะ