วันนี้ได้เล่นอย่างมีความสุขตลอดทั้งวัน หลังจากส่งอวี๋ฉิงกลับไป ชีวิตของซูอินที่อยู่ในหมู่บ้านตงผิงก็กลับมาสู่ความสงบอีกครั้ง
ออกกำลังกายยามเช้า อ่านหนังสือยามเช้า ทบทวนวิชาเรียนของชั้นมัธยมต้น ในชนบทไม่มีสถานที่พักผ่อนหย่อนใจ วิธีพักผ่อนของซูอินคือการเล่นกับน้องชายตัวน้อยของเธอ
หรือจะพูดให้ถูกคือ เล่นเ้าตัวน้อยต่างหาก
เด็กชายตัวน้อยร่างกายไม่แข็งแรง ไม่เหมาะที่จะทำกิจกรรมที่ใช้แรงเยอะ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการวิ่งเล่นอย่างสนุกสนานเหมือนกับเด็กคนอื่นๆ ในหมู่บ้าน ความบันเทิงหลักของสองพี่น้องคือเรียนหนังสือ ซูอินเข้าเมืองในครั้งนี้ได้ซื้อของให้น้องชายมากมาย นอกจากเสื้อผ้าเด็กที่สวยงามแล้ว ก็ยังมีอุปกรณ์การเรียนอีกเพียบ
หนังสือสี่สุดยอดวรรณกรรมจีนที่มีพินอินกำกับ สมุดคัดคำศัพท์แบบมีเส้นประ นอกจากนี้ยังมีหนังสือสมุดภาพระบายสี สีเทียน และดินสอสีเข้าชุดกัน
ในห้างสรรพสินค้ามีอะไรซูอินซื้อมาหมด
เด็กชายตัวน้อยเป็เด็กที่รักเรียนมาก หากเทียบกันแล้วเขาสนใจอ่านหนังสือเพื่อเรียนรู้ตัวอักษรมากกว่า ซูอินนั่งอยู่บนโต๊ะทำการบ้านทบทวนเนื้อหาที่เรียนมาของชั้นมัธยมต้น น้องชายของเธอนั่งอยู่บนเก้าอี้ที่เสริมให้สูงขึ้น โดยเฉพาะมือเล็กๆ ที่จับดินสอไม่ถนัด ดวงตาของเขาจ้องเขม็งภายใต้ขนตายาว ค่อยๆ ลากตามเส้นสีแดงทีละขีดบนสมุดคัดลอกคำ
ท่าทีจริงจังของเ้าตัวเล็ก คงไม่ต้องบอกว่าจะน่ารักขนาดไหน
แต่ก็สร้างเื่น่าขันไม่น้อยเช่นกัน
“พี่ครับ คำนี้อ่านว่า “อา” ใช่ไหม แล้วทำไมคำนี้อ่าน “เอ” แล้วตกลงว่าจะต้องอ่าน อา หรือ เอ กันแน่”
มือเล็กๆ ชี้ไปที่ตัวอักษร “a” ดวงตาสีเข้มราวกับผลองุ่นเต็มไปด้วยความสงสัย
“คนใจกว้างมักจะตัวอ้วน คนที่มีจิตใจกว้างขวางมักมีความอ้วนถ้วนสมบูรณ์ ไม่แปลกใจเลยที่พี่เมิ่งเมิ่งตัวผอมขนาดนั้น แล้วพี่ล่ะครับ ทำไมพี่ถึงไม่อ้วน”
ซูอิน : …
“คำนี้ไม่ได้อ่าน พั่ง (อ้วน) อ่านว่า “พาน” มีความหมายว่าคนใจกว้าง มองแล้วสบายตา”
ดวงตาเหมือนผลองุ่นมองเธอด้วยความระมัดระวัง หลังจากนั้นไม่นานเด็กชายตัวน้อยก็พยักหน้า “มิน่าล่ะพี่ถึงได้สวยขนาดนี้ พี่เมิ่งเมิ่งถึงได้ขี้เหร่ขนาดนั้น”
ซูอิน : …
เ้าเด็กประจบสอพลอ
ทำไมน้องชายของเธอถึงได้น่ารักขนาดนี้ พูดไปเรื่อยเปื่อย แต่ก็เอาใจเธอได้
คนที่ชื่นชมซูอินไม่ได้มีเพียงเด็กชายตัวน้อย
คนชนบทเคยชินกับการไปนั่งคุยที่บ้านของเพื่อนบ้านจนเป็เื่ปกติ ถึงแม้่นี้จะเป็ฤดูที่ชาวนายุ่งมากที่สุด แต่หลังจากทำงานเสร็จ ตกเย็นพวกเขาก็มักจะชอบไปนั่งคุยเล่นที่บ้านของเพื่อนบ้าน รวมตัวกันเล่นไพ่ พูดคุยกันถึงเื่ต่างๆ
บ้านของตระกูลซูอยู่ท้ายหมู่บ้านตงผิง ค่อนข้างลึก ทำให้เมื่อก่อนไม่ค่อยมีคนแวะเวียนมาเท่าไร แต่หลังจากที่รู้ว่าซูอินสอบได้อันดับหนึ่ง มีขบวนรถเข้ามาแสดงความยินดี สถานการณ์ที่นี่ก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
หลายวันมานี้ที่ซูอินไม่อยู่ เวลากลางคืนของตระกูลซูไม่ถูกใครมารบกวน
สองสามีภรรยาตระกูลซูไม่สูบบุหรี่และดื่มสุรา อีกทั้งยังไม่ชอบเล่นไพ่ เพื่อนบ้านส่วนใหญ่ที่มาหาจึงเป็การเข้ามาพูดคุยถามไถ่เื่ต่างๆ และแน่นอนว่าประเด็นสำคัญที่พวกเขามาคุยด้วยคือ ซูอิน
ซูอินเป็คนผิวขาวผุดผ่อง นิสัยดีมีมารยาท อีกทั้งยังเป็นักเรียนที่สอบได้คะแนนสูงเป็อันดับหนึ่ง แน่นอนว่าย่อมได้รับคำชมเป็หลัก
คนชนบทพูดจาตรงไปตรงมา มีอะไรก็พูดออกไปอย่างนั้น คำชมที่เอ่ยออกมาตรงๆ เ่าั้ทำให้ซูอินที่ได้ยินถึงกับหน้าแดง
อย่างไรก็ตามแน่นอนว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่พูดจาไม่น่าฟัง ยกตัวอย่าง มีคนหนึ่งที่เป็เครือญาติของเธอซึ่งซูอินเรียกว่า “ป้า”
“ฉันได้ยินมาว่าอินอินอาบน้ำสองรอบหรือ”
ซูอินพยักหน้า พร้อมตอบด้วยรอยยิ้ม “ใช่ค่ะ อ่านหนังสือเสร็จตอนเช้าก็ออกไปวิ่ง เหงื่อท่วมจึงต้องทำความสะอาดสักหน่อย”
“อ่านหนังสือตอนเช้า แล้ววิ่งออกกำลังกายด้วย ถ้าแรงเหลือขนาดนั้น ทำไมไม่ช่วยแม่ทำงานล่ะ คนในเมืองนี่มันน่าอิจฉาจริงๆ”
ซูอิน : …
เธอก็แค่วิ่ง มันไปเดือดร้อนใครหรือ
หลังจากที่ถูกไล่ออกจากตระกูลหลิงด้วยความเดือดดาล ออกมาจากสภาพแวดล้อมที่กดดัน ต้องพึ่งพาตนเอง เธอจึงมีความมั่นใจมากขึ้น โดยเฉพาะั้แ่กลับมาอยู่ที่ชนบท มีคนในครอบครัวที่รักเธอ น้องชายตัวน้อยที่คอยทำให้เธอหัวเราะขบขัน ทำให้ความกดดันจากในชาติก่อนของซูอินค่อยๆ เข้าสู่ความปกติขึ้นเรื่อยๆ
พ่อกับแม่ไม่เคยว่าอะไรเธอ แล้วป้าที่ไม่ได้สนิทสนมกันสักนิดคนนี้มายุ่งอะไรด้วย
ในตอนที่เธอตั้งใจจะเอ่ยปาก เมิ่งเถียนเฟินที่นั่งยิ้มและพูดคุยกับคนอื่นๆ อยู่ข้างๆ ก็ได้ชิงพูดขึ้นก่อน “ที่บ้านมีที่นาแค่นั้น พวกเราสองคนก็พอแล้ว อินอินเป็เด็กขยัน ปิดเทอมก็ไม่เคยนอนตื่นสาย ตอนนี้ที่ลานนวดข้าวก็ไม่ได้ใช้งานอะไร เธอชอบวิ่งก็ให้เธอวิ่งไปเถอะ วิ่งเยอะๆ ร่างกายจะได้แข็งแรง”
ให้กำเนิดบุตรสาวมาสิบหกปี แต่ไม่เคยเลี้ยงดู ไม่ง่ายเลยที่ซูอินจะได้กลับมาอยู่ที่นี่ เมิ่งเถียนเฟินเองยังไม่เคยพูดถึงเื่นั้น เธอจะยอมให้คนนอกมาพูดแบบนี้ได้อย่างไร
ถึงแม้เธอจะเป็คนอารมณ์ดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเธอจะไม่มีอารมณ์โกรธเคืองใคร
ผู้มาเยือนถูกเธอพูดแบบนั้นก็มีสีหน้าประหม่า คำพูดนั้นสมเหตุสมผล จนผู้มาเยือนทำได้เพียงก้มหน้าเอามือถูจมูก
คำพูดหาเื่ ถึงแม้จะมีน้อยคนที่พูดจาแบบนี้ แต่ก็มีอยู่สองสามคน ทว่าทุกครั้งยังไม่ทันที่ซูอินจะเอ่ยปาก เมิ่งเถียนเฟินก็จะเป็คนโต้กลับไปก่อนทุกครั้ง เมื่อโดนหลายครั้งเข้า คนส่วนน้อยเ่าั้ก็ไม่กล้ามานั่งคุยที่บ้านของเธออีก ดังนั้นการจะไปพูดคุยอะไรที่บ้านคนอื่น จะต้องระวังคำพูดของตนเองให้มากๆ
ทุกๆ ครั้งที่มีคนมาพูดคุยที่บ้านทำให้ซูอินคุ้นเคยกับคนในหมู่บ้านมากขึ้น สิบปีต่อมาเศรษฐกิจของจีนยังไม่เจริญก้าวหน้ามาก ไม่ถึงขั้น “หัวเราะเยาะคนจน ไม่หัวเราะเยาะหญิงขายบริการ[1]” คนชนบทส่วนมากมักมีชีวิตเรียบง่าย สำหรับผู้ที่มานั่งพูดคุยที่บ้านเหล่านี้ ซูอินไม่ได้แสดงท่าทีนอบน้อม และไม่ได้แสดงท่าทีเย่อหยิ่งใส่พวกเขา ประกอบกับความรู้สึกที่พวกเขาชื่นชอบ “ผู้ที่สอบได้คะแนนอันดับหนึ่ง” อยู่แล้ว ทำให้เธอเข้ากันได้ดีกับคนในหมู่บ้าน
มีน้องชายที่น่ารักคอยอยู่เป็เพื่อน มีเมิ่งเถียนเฟินคอยให้ท้าย บางครั้งก็ต่อปากต่อคำกับลูกพี่ลูกน้องข้างบ้านบ้าง ทำให้ชีวิตในหมู่บ้านตงผิงของซูอินมีความสุขมาก
ห่างไปหลายสิบกิโลเมตรในตัวเมือง ครอบครัวตระกูลหลิงกำลังตกอยู่ในห้วงความทุกข์ระทมอีกครั้ง
เหตุการณ์ในงานเลี้ยงฉลองวันเกิดทำให้ตระกูลหลิงขายหน้ามาก ทั้งคำพูดของซูอิน ไหนจะสิ่งที่เป็กุญแจสำคัญคือคำพูดที่แสดงถึงความไม่พอใจและดูถูกซูอินต่างๆ และเมื่อกลับขึ้นไปบนเวที เธอยังแสดงพฤติกรรมหยาบคาย หาว่าซูอินเขียนเช็คปลอม
ค่านิยมของสังคมชั้นสูงให้ความสำคัญมากกับเื่ศักดิ์ศรี คนเป็ลูกยังมีนิสัยเช่นนี้ บิดามารดาที่สอนเด็กคนนี้ก็คงไม่ดีไปกว่านี้หรอก
ต่อให้พวกคุณไม่ใช่ผู้ที่เลี้ยงดู แต่เด็กแบบนี้ทำไมไม่เก็บตัวอยู่ในบ้านแล้วอบรมสั่งสอนให้ดี จะมาฉลองงานวันเกิดให้ใหญ่โตไปทำไม
ชื่อเสียงของหลิงเมิ่งแพร่กระจายไปทั่ว เมื่อถึงตอนที่หลิงจื้อเฉิงทำเื่ยื่นขอจดทะเบียนเป็โรงแรมห้าดาวอีกครั้ง เมื่อเขาไปขอความช่วยเหลือ คนเ่าั้กลับหลบหน้า ส่งผลให้ความคืบหน้าชะงักอีกครั้ง
ทางด้านอู๋อู๋ก็ผ่าน่เวลานี้ไปอย่างยากลำบากเช่นกัน
เพื่อที่จะให้บุตรสาวได้เข้าเรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุด หลายวันมานี้เธอหอบหิ้วของขวัญราคาแพงไปขอความช่วยเหลือจากผู้คนมากมาย ราคาที่เสนอสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่กลับไม่มีใครยอมช่วย
มืดแปดด้านอยู่หลายวัน เธอก็รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ หลังจากที่พยายามถาม จึงได้รู้ความจริงจากเพื่อนคนหนึ่งของเธอที่มักจะมาดื่มชาด้วยกัน่วันหยุด
“พวกนักเรียนที่เรียนดีไม่พอใจ บอกว่าหากทางโรงเรียนรับเด็กนักเรียนที่มีผลการเรียนแย่เกินไป ควรบอกให้เด็กพวกนั้นไปเรียนต่อในมณฑล ชื่อเสียงของโรงเรียนมัธยมลำดับที่หนึ่งถูกดึงขึ้นมาได้เพราะเหล่านักเรียนที่เรียนดี ขนาดครูใหญ่ยังออกคำสั่งด้วยตนเองว่าให้หยุดรับนักเรียนเอาไว้ก่อน”
แม้จะไม่ได้เอ่ยถึงชื่อซูอิน แต่วินาทีแรกอู๋อู๋นึกถึงเธอขึ้นมาทันที
นอกจากเธอจะมีคะแนนที่สูงแล้ว ยังจะมีใครที่ทำให้ครูใหญ่ออกคำสั่งด้วยตนเองแบบนี้ได้ หากลองมองในมุมอื่น นอกจากเธอแล้ว ยังจะมีใครที่จะได้ผลประโยชน์จากเื่ของเมิ่งเมิ่ง
ซู อิน!
อู๋อู๋กัดฟันด้วยความโกรธ
เธอกลับบ้านมาด้วยท่าทีโกรธเกรี้ยว หลังจากเธอเล่าเื่นี้ คนที่โกรธจนต้องกัดฟันก็มีเพิ่มมาอีกหนึ่งคน
แต่หลิงจื้อเฉิงกลับไม่เชื่อเท่าไร “อินอินเป็แค่เด็กชนบทคนหนึ่ง จะมีความสามารถทำได้ขนาดนั้นหรือ เข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมลำดับที่หนึ่งไม่ได้ ก็ไปเรียนที่อื่นสิ เมื่อก่อนพวกเราก็เรียนที่โรงเรียนในชนบทมาก่อน ยังสามารถสอบติดมหาวิทยาลัยและประสบความสำเร็จ ตั้งใจเรียน ขยันทำงานส่ง จะเรียนที่ไหนก็เหมือนกัน”
น่าเสียดายที่สองแม่ลูกถูกความโกรธครอบงำจิตใจจนไม่รับฟังอะไรอีกต่อไป บ่ายวันนั้นเธอเรียกคนขับรถมา และบุกไปยังหมู่บ้านตงผิงที่ซูอินอาศัยอยู่
--------------------------------------------------------------------------
[1] หัวเราะเยาะคนจน ไม่หัวเราะเยาะหญิงขายบริการ หมายถึง ผู้คนจะพากันแยกแยะว่าใครสูงส่งและควรดูถูก โดยพิจารณาจากคุณภาพของสภาพแวดล้อมมาเป็ตัวบ่งชี้