ตอนที่ 15
ในเดือนพฤศจิกายนนี้ไม่เพียงแต่ละครที่ศิลาเล่นคู่กับนับดาวออนแอร์ แต่ยังเป็การเริ่มถ่ายทำละครเื่ใหม่ของปัณณวีร์อีกด้วย เรียกได้ว่าทำงานยาวกันั้แ่ต้นปียันจะท้ายปีเลยก็ว่าได้ แต่การถ่ายทำละครเื่นี้ดูเหมือนจะเป็ไปได้อย่างทุลักทุเลเหลือเกิน ไม่รู้ทำไมปัณณวีร์ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันทั้งๆ ที่วางแผนทุกอย่างเอาไว้ดีแล้วอย่างเช่นที่ผ่านๆ มา
อย่างเช่นวันก่อนจะบวงสรวงละครเื่ใหม่ พราหมณ์ที่นัดไว้เป็ผู้นำพาทำพิธีก็เกิดท้องเสียกะทันหันจนต้องเข้าโรงพยาบาล ต้องเร่งหาพราหมณ์คนอื่นมาทำพิธีกว่าจะได้ก็เกือบสี่ทุ่ม ไหนจะวันเปิดกล้องอีกที่วิทยุสื่อสารสำหรับใช้ติดต่อกันในกองถ่ายใช้การไม่ได้ เนื่องจากคนที่รับผิดชอบตรงนี้ไม่ได้เช็กให้ดีก่อนว่ามันชาร์จไม่เข้าทั้งหมด วันนั้นจึงต้องใช้เสียงตนเองะโจนเจ็บคอไปหมด
นี่ก็เข้าวันที่ห้าของการถ่ายแล้ว และเป็วันสุดท้ายก่อนจะพักกอง ั้แ่วันนั้นปัณณวีร์ก็มาดูการจัดเตรียมทุกอย่าง กำชับด้วยตัวเองเพื่อไม่ให้มีเหตุการณ์แบบนั้นเกิดขึ้นอีกและวันนี้ก็เป็ไปได้ด้วยดีก็ทำให้ปัณณวีร์โล่งใจไป ได้แต่ภาวนาให้ต่อจากนี้ราบรื่นไปด้วยดี
ร่างโปร่งนั่งหน้าเครียดอยู่หลังจากเลิกกองเขาก็มาที่ออฟฟิศต่อ จะไม่ให้เครียดก็ไม่ได้ วันนี้เพิ่งจะภาวนาให้ทุกอย่างราบรื่นแต่ดูเหมือนว่าปัณณวีร์จะถูกกลั่นแกล้ง เมื่อบ้านที่ยอมให้เช่าในการถ่ายทำนั้นดันบอกมาไม่ให้เช่าแล้วยอมเสียค่าปรับที่ผิดสัญญา แต่ก็ไม่บอกเหตุผลอื่นมาอีกนอกจากบอกว่าเป็เหตุผลส่วนตัว ตกเย็นมาก็ทำเอาปัณณวีร์รู้สึกปวดหัวขึ้นมาอีกครั้ง
“แล้วจะทำยังไงดีล่ะคะพี่วีร์ เรามีพักแค่ 3 วันเองนะคะ จะไปหาที่ไหนทันอ่ะ” ชาเองก็รู้สึกหนักใจไม่แพ้กัน ไม่ใช่ว่าไม่เคยเจอปัญหาระหว่างถ่ายทำ แต่ถูกยกเลิกแบบนี้ทั้งเธอและปัณณวีร์เองก็เพิ่งเคยเจอ แถมยังกระชั้นชิดอีกต่างหาก
“พี่ว่าต้องเปลี่ยนคิวถ่ายหน่อย เอาฉากอื่นมาถ่ายก่อน ฉากที่เซทในสตูเราได้น่ะ เดี๋ยวพี่จะหาบ้านอีกที” ตอนนี้การแก้ปัญหาแบบนี้เท่านั้นที่ยังช่วยได้ อย่างน้อยก็ยังมีฉากที่พอถ่ายในสตูได้บ้าง
“แบบนี้ต้องเปลี่ยนตารางคิวถ่ายใหม่ใช่ไหมคะ” ชาเอ่ยถาม
“คงต้องเป็แบบนั้น ติดต่อทางผู้จัดการนักแสดงไปนะ” ผู้ช่วยสาวพยักหน้าก่อนจะจดบันทึกงานที่ต้องทำลงในไอแพดและเริ่มติดต่อผู้จัดการส่วนตัวของนักแสดงแต่ละคนเพื่อเอาตารางงานมาจัดคิวถ่ายใหม่เพราะตารางถ่ายนี้ถูกจัดไว้ั้แ่เดือนที่แล้ว และนักแสดงบางคนก็อาจจะรับงานอื่นเข้ามาใน่วันที่ไม่มีถ่าย จึงต้องเอาตารางของแต่ละคนมาดูอีกที ซึ่งก็สร้างความยุ่งยากไม่น้อย
เข็มนาฬิกาเดินมาจนล่วงเลยเข้าสู่เลขแปด ด้านนอกที่ตอนแรกยังคงสว่างเพราะแสงอาทิตย์ ตอนนี้กลับมืดสนิท มีเพียงแสงสว่างจากไฟตามตึกสูงต่างๆ ที่อยู่รายรอบเท่านั้น ปัณณวีร์เงยหน้าขึ้นพร้อมกับถอนหายใจยาว เอนหลังไปกับเก้าอี้เพื่อคลายอาการปวดคอหลังจากก้มนาน วันนี้เขาเหนื่อยจริงๆ
นี่สินะที่บอกยิ่งโตยิ่งยาก การทำงานไม่ได้จะราบรื่นเสมอไปดั่งใจคิด ปัณณวีร์หลับตาลงช้าๆ เพื่อจะพักสายตา แต่คงจะเหนื่อยเกินไปจึงได้เผลอหลับจริงๆ เข็มสั้นของนาฬิกาเลื่อนมาชี้ที่เลขเก้า เข็มยาวชี้เลขสาม จนใครคนหนึ่งเปิดประตูเข้ามาในห้องด้วยความกังวล แสดงออกถึงความร้อนรนบนใบหน้าอย่างเห็นได้ชัด
เป็ศิลาที่ใส่หมวกใส่แมสเปิดประตูเข้ามา พอเห็นว่าคนพี่หลับอยู่บนเก้าอี้ก็ได้โล่งใจ เพราะโทรหาเ้าตัวแล้วแต่ไม่รับสายเลยั้แ่สองทุ่มครึ่ง ให้ใครโทรหาก็ไม่รับจึงทำให้ศิลาเป็ห่วง จากที่อยู่บ้านก็รีบไปยังคอนโดทันทีเพื่อจะไปดูว่าอีกคนเป็อะไรรึเปล่า กลัวจะหน้ามืดหรือวูบเป็ลมไป แต่ก็ต้องร้อนใจกว่าเดิมเมื่อไปถึงไม่เจอเ้าของห้องเลย ไฟในห้องทุกดวงก็ยังปิดอยู่บ่งบอกว่าไม่มีใครอยู่ จึงได้ตัดสินใจมาที่นี่เพราะคิดว่าเป็ที่เดียวที่คิดได้ในตอนนั้น ตอนขึ้นมาที่ชั้นนี้เห็นห้องของปัณณวีร์ยังคงเปิดไฟอยู่พอดีจึงได้รีบมาดู
ศิลาเดินเข้าไปใกล้กับคนที่ดูเหมือนว่าจะหลับสนิทไปแล้ว โทรศัพท์ที่วางอยู่บนโต๊ะถูกปิดเสียงปิดสั่นเอาไว้เลยทำให้ปัณณวีณ์ไม่รู้สึกตัวตอนที่มีทั้งศิลา ศรุตและน้ำหนึ่งที่โทรหา พอได้เห็นหวานใจที่กำลังหลับใหลอยู่จึงหายใจหายคอได้สะดวกขึ้น ศิลาออกจากบ้านมาโดยไม่ได้บอกพ่อหรือแม่เลยเพราะความเป็ห่วงคนพี่
มือใหญ่จับเก้าอี้ของปัณณวีร์หมุนมาทางตัวเอง ใช้สองมือจับเข้าที่วางแขนของเก้าอี้ทำเหมือนล็อกตัวของปัณณวีร์ไว้ คนหลับอยู่พลันรู้สึกตัวจึงรีบลืมตาตื่นด้วยความใ แต่ก็ต้องถอนหายใจออกมาเมื่อเจอว่าคนตรงหน้าเป็ใคร
“ศิ ใหมดเลย แล้วนี่มาได้ไง” ปัณณวีร์ไม่รู้ว่าตัวเองเผลอหลับไปนานเท่าใดแล้วจึงเอ่ยถามขึ้น
“มาได้ไง ก็พี่เล่นไม่รับสายผม ไม่รับสายใครเลยผมก็เป็ห่วงสิ” ศิลาใช้นิ้วเรียวเคาะที่จมูกรั้นของคนพี่เบาๆ “ไปหาที่คอนโดก็ไม่เจอ พี่รู้ไหมว่าผมเป็ห่วงแค่ไหน”
ปัณณวีร์เอื้อมมือไปหยิบมือถือมาดูก็เห็นสายที่ไม่ได้รับจากศิลาเป็สิบๆ สาย และข้อความจากน้ำหนึ่งบ้าง ศรุตอีก ปัณณวีร์ยิ้มแห้งๆ เพราะว่าตัวเองได้ทำให้คนอื่นเป็ห่วงโดยไม่รู้ตัว มือเรียวเล็กจึงยกขึ้นไปลูบแก้มของอีกฝ่าย
“พี่ขอโทษน้าาา สัญญาว่าต่อไปจะเปิดเสียงโทรศัพท์ไว้” นิ้วก้อยเรียวสวยชูขึ้นตรงหน้าของปัณณวีร์พร้อมกระดิกไปมาเล็กน้อย ยิ้มกว้างจนตาหยีง้อคนหน้าบึ้ง คนพี่อ้อนขนาดนี้แล้วมีหรือที่ศิลาจะปั้นหน้านิ่งต่อไปได้ ใช้นิ้วก้อยของตนเองเกี่ยวนิ้วของอีกฝ่ายไว้ครู่หนึ่งก่อนจะรวบทั้งมือมาแล้วจูบลงที่หลังมือแ่เบา
“ผมต้องลงโทษพี่หน่อย ผมขับรถจากบ้านมาคอนโด จากคอนโดมาออฟฟิศพี่ ผมเหนื่อยแล้ว”
คิ้วสวยขมวดเข้าหากันอย่างงงๆ ยังไม่ได้ถามอะไรก็ถูกอีกฝ่ายเชยคางขึ้นเล็กน้อยแล้วโน้มหน้าลงมาประกบบางทันใด ปัณณวีร์ค่อยๆ หลับตาลงรับััปล่อยคนน้องขยับปากขบเม้มริมฝีปากตนเองเบาๆ ศิลาไม่ได้สอดแทรกลิ้นร้อนเข้าไป ทำเพียงหยอกล้อปัณณวีร์ ฟันคมกัดเข้าที่ริมฝีปากล่างแล้วดึงเบาๆ ก่อนจะผละออก
“กัดปากพี่” ปัณณวีร์แตะริมฝีปากตัวเองมองคนทำด้วยสายตาดุๆ แต่ไม่ได้ดุเลยสักนิดในสายตาของศิลา
“ก็ลงโทษ” ศิลาพูดอย่างไม่สะทกสะท้านแล้วทำท่าจะยื่นหน้าเข้ามาจูบอีกครั้งแต่ถูกปัณณวีร์แกล้งเอียงหน้าหลบและหัวเราะออกมาอย่างชอบใจ “พอเลยๆ”
“กลับกันเถอะครับ ดึกมากแล้วกลับไปนอนพักที่ห้องดีๆ นอนแบบนี้พี่จะปวดคอเอา” มือหนาเลื่อนไปบีบนวดเบาๆ ที่ไหล่บาง
“อื้ม เราก็กลับบ้านไปได้แล้ว” ปัณณวีร์ลุกขึ้นเก็บของทุกอย่างบนโต๊ะไว้อย่างเป็ระเบียบเรียบร้อย มีเพียงเอาไอแพดเท่านั้นที่กลับ
“กลับคอนโดกับพี่”
“ได้ไง แม่ไม่ว่าหรอ” ปัณณวีร์จงใจเอ่ยแซว เพราะเดี๋ยวนี้ดูเหมือนว่าอีกคนจะทำตามแม่ดีเหลือเกินแต่ตัวเขาก็ไม่ได้อะไรอยู่แล้ว
“วันนี้จะนอนกับพี่ ไม่ได้นอนด้วยกันมาจะอาทิตย์หนึ่งแล้วนะ” ั้แ่ที่เปิดกองมาปัณณวีร์ก็ยุ่งอยู่กับงานที่มีปัญหาเกิดขึ้นอยู่ได้เกือบทุกวัน ส่วนศิลาก็ทำงานและกลับบ้านตามที่ผู้เป็แม่บอกเพราะทำมื้อเย็นไว้รอจนศิลาก็นึกแปลกใจว่าอะไรเข้าสิงแม่ของเขาที่ลุกมาเข้าครัวแบบนี้
“แน่นะ ถ้าแม่โทรตามอ่ะ” ปัณณวีร์เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ปิดมือถือ” ไม่ได้พูดเปล่า ศิลาเอาโทรศัพท์ขึ้นมาปิดเครื่องทันใดก่อนจะเก็บเข้ากระเป๋า
“ได้ งั้นก็เจอกันที่คอนโด อย่าขับเร็วล่ะ”
“เจอกันครับ” เนื่องจากทั้งสองมีรถมาทั้งคู่จึงต้องแยกกันกลับและไปเจอกันที่คอนโด โดยใช้ห้องของศิลาในการพักผ่อนสำหรับคืนนี้
“ศิลาไปไหน” อาธิปเอ่ยถามลูกชายคนโต เพราะไม่เห็นรถคันโปรดของศิลาจอดอยู่ น้อยนักที่ศิลาจะขับรถออกไปเองเพราะส่วนใหญ่เวลาไปทำงานเขาก็มักเดินทางด้วยรถตู้ของบริษัทที่รับส่งเฉพาะเขา วันนี้อาธิปลงมารดน้ำต้นไม้แต่เช้าจึงได้เห็นว่ารถไม่อยู่ ศรุตอยู่นี่แสดงว่าคนที่ขับไปก็ต้องเป็ศิลา แต่เพราะเป็วันเสาร์กนกจึงยังไม่ตื่นเนื่องจากเป็วันหยุดของเธอ
“ออกไปั้แ่เมื่อคืนแล้วครับ โทรหาวีร์แล้วเขาไม่รับเลยไปหาที่คอนโด ผมช่วยโทรก็ไม่รับกลัวว่าจะวูบหรือเป็อะไรเลยรีบไปหา”
“แล้วเป็อะไรรึเปล่า” สีหน้าของอาธิปแสดงออกว่าเป็ห่วงอย่างชัดเจน เพราะเขาเองก็รักและเอ็นดูปัณณวีร์ก่อนหน้าอยู่ไม่น้อย
“ไม่เป็อะไรครับ วีร์มันเผลอหลับที่ออฟฟิศแล้วปิดเสียงไว้ ก็เลยไม่ได้ยินที่พวกเราโทรไป”
“นึกว่าเกิดอุบัติเหตุอะไร ทำงานอยู่ดึกเลยหรอ”
“คงงั้นมั้งครับ ่นี้เริ่มถ่ายละครอีกแล้วคงจะเหนื่อยแหละ อีกอย่างศิก็ไม่ได้ไปค้างคอนโดจะอาทิตย์หนึ่งแล้ว” ศรุตเองก็แปลกใจ ปกติแม่เขาเข้าครัวทำอาหารเองที่ไหนกัน แต่่นี้กลับบ้านเร็วกว่าปกติตลอด
“พ่อครับ พ่อว่าแม่แปลกๆ ไปไหมครับ อย่างเช่นทำอาหารเย็นเนี่ย ปกติกลับบ้านก็เย็นมากๆ แล้ว แต่นี่รีบกลับมาเพื่อทำอาหาร”
“อยากจะเอาใจศิลาแหละมั้ง แม้ศิลาจะไม่ได้โกรธเื่ในครั้งนั้นแล้ว แม่เขาก็คงอยากชดเชย อยากขอโทษนั่นแหละ”
“แต่ก็นานมาแล้วนะครับ ทำไมแม่เพิ่งมาทำ คือผมไม่ได้สงสัยในความรักของแม่นะ ผมแค่คิดว่าแปลก” อาธิปมองหน้าลูกชายครู่หนึ่งแล้วหันไปรดน้ำต้นไม้พลางพูดขึ้น
“พ่อก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่แน่ๆ คือทำเพราะศิลา”
ภายในห้องนอนหรูสีขาวสะอาดตา ผ้าม่านถูกเปิดออกให้แสงสาดส่องเข้ามาในห้อง คนที่เพิ่งตื่นมาเดินออกไปสูดเอาอากาศนอกห้องพลางมองไปรอบๆ ที่เป็หมู่บ้านหลังใหญ่ทั้งนั้น ครันเมื่อมองไปชั้นล่างของบ้านก็เห็นสามีและลูกชายคนโตอยู่ที่สนามหน้าบ้าน คนหนึ่งรดน้ำต้นไม้ อีกคนนั่งอยู่ที่โต๊ะ แต่พอมองไปยังโรงจอดรถที่ดูโล่งๆ ก็ทำให้กนกขมวดคิ้ว เพราะรถคันที่ไม่อยู่นั้นเป็รถของศิลา
เช้าขนาดนี้จะออกไปไหน??
นั่นเป็คำถามในหัวของเธอตอนนี้ กนกรีบกลับเข้ามาในห้องแล้วเอาไอแพดขึ้นมาเปิดดูวิดีโอที่ถูกถ่ายทอดสดจากคอนโดของศิลา ทุกอย่างตอนนี้ดูนิ่ง แต่ก็บอกไม่ได้ว่าเ้าของห้องอยู่ที่นั่นไหมเพราะอาจจะอยู่ในห้องนอน กนกจึงเปิดดูวิดีโอย้อนหลังที่ถูกบันทึกไว้อัตโนมัติ พอย้อนดูก็ทำให้เห็นว่าศิลาไปที่คอนโดจริง และไปกับปัณณวีร์อีกต่างหาก ลูกออกจากบ้านไปตอนไหนเขาไม่รู้เลยเพราะเข้าห้องนอนเร็ว
"แอบไปหากันจนได้!" กนกกัดฟันพูดพร้อมกับมองภาพเคลื่อนไหวตรงหน้า เห็นลูกชายและปัณณวีร์ ออดอ้อนออเซาะกันก็ทำให้เธอไม่ชอบใจ กับเขาเอาใจแค่ไหนศิลาก็ดูห่างเหินอยู่ดี นึกไม่ออกแล้วว่าจะทำยังไงให้ทั้งสองเลิกกัน หรือจะต้องใช้ไม้แข็งบังคับเลยดี...
แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาในห้องนอนทำให้สองร่างที่นอนกอดก่ายกันอยู่รู้ตัวว่าตอนนี้เช้าแล้ว แต่ก็ยังไม่มีใครคิดจะลุกเพราะเมื่อคืนกว่าจะได้นอนก็เล่นซะหมดแรง และอีกอย่างคือวันนี้วันหยุด ศิลาไม่มีงานอีก 2-3 วันถือเป็วันพัก ส่วนปัณณวีร์เองก็เช่นเดียวกัน แต่ถึงจะเป็วันพักเขาก็ยังมีเื่ที่ต้องทำอยู่
แขนแกร่งกระชับกอดร่างเปลือยเปล่าที่หลับสนิทอยู่เข้าหาอ้อมกอด ศิลารู้สึกตัวตื่นขึ้นมาก่อนแต่ก็หลับตาลงไปอีก นานๆ ทีจะได้นอนตื่นสายแบบนี้แถมยังได้นอนกอดร่างบางที่กลิ่นตัวหอมเป็เอกลักษณ์เฉพาะตัวอีกต่างหากซึ่งเขาชอบกลิ่นของอีกฝ่ายมาก ปัณณวีร์เป็ผู้ชายที่ไม่มีกลิ่นตัว แต่จะว่าไม่มีเลยก็ไม่ได้ เรียกว่ามีแต่หอมจะดีกว่า
"กี่โมงแล้ว" ปัณณวีร์เอ่ยถามเสียงยานคาง เมื่อคืนหลังกลับมาก็ถูกรังแกเกือบครึ่งค่อนคืน โดยอีกฝ่ายอ้างว่าจะช่วยให้ผ่อนคลายความเครียด แน่นอนว่ามันช่วยได้เพราะเขาไม่คิดอะไรเลยในตอนนั้น เื่ที่คิดมากเหมือนกับถูกทิ้งเอาไว้ ในสมองขาวโพลนไปหมดมีแต่อารมณ์ราคะเข้ามาแทน
"8 โมงแล้วครับ วันนี้ไม่ได้ทำงานนอนต่อเถอะ" มือหนาลูบหัวไหล่เนียนเบาๆ เหมือนกับกำลังกล่อมให้อีกฝ่ายหลับ พอได้ฟังปัญหาที่คนพี่เล่าศิลาก็อยากจะช่วยแต่ไม่รู้จะช่วยยังไง อีกอย่างปัณณวีร์ก็บอกว่ามันเป็เื่ปกติอยู่แล้วที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ถ่ายละครเื่ที่แล้วนั้นดูราบรื่นดีแต่พอเื่นี้กลับมีนู้นมีนี้ให้ติดขัดอยู่เรื่อย สงสัย์คงอยากจะแกล้งเพราะเห็นว่าทำงานกันสบายเกินไป ปัณณวีร์คิดอย่างนั้นเพื่อทำให้ตัวเองไม่เครียดนัก
ศิลาก้มมองคนที่นอนเกยอยู่บนอกของตัวเองก็เห็นว่าหลับไปอีกครั้งจึงไม่ปลุก ปล่อยให้นอนพักผ่อนให้เต็มอิ่ม ตัวเขาก็จะนอนกอดเอาไว้เช่นนี้ โดยไม่สนใจที่จะเปิดเครื่องมือถือเลยด้วยซ้ำ ทำเอากนกที่โทรตามอารมณ์เสียั้แ่เช้าเพราะรู้ว่าลูกชายอยู่ไหนและอยู่กับใคร เวลาเกือบจะ 10 โมงปัณณวีร์ถึงได้ตื่นมาอีกครั้งราวกับว่าได้นอนอย่างเต็มอิ่ม พลันมองดูที่ว่างข้างๆ ไม่เห็นศิลาอยู่แล้วจึงได้ลุกขึ้นนั่งบิดี้เีเล็กน้อย คว้าเสื้อคลุมที่วางอยู่เหมือนกับว่าถูกเอามาวางไว้ให้มาใส่
"ศิ" เมื่อเดินออกมานอกห้องกวาดสายตาไปทั่วก็ไม่เห็นศิลาที่คิดว่าจะอยู่ข้างนอก ปัณณวีร์ยืนมึนงงเล็กน้อยจากอาการที่เพิ่งตื่น
"ตื่นแล้วหรอครับ" เสียงเปิดประตูเข้ามาพร้อมกับเ้าของห้องที่มีของกินเต็มไม้เต็มมือ เพราะสั่งอาหารมาจึงต้องลงไปเอาที่ล็อบบี้
"สั่งอะไรมาน่ะ" ปัณณวีร์เดินไปนั่งรอที่โต๊ะอาหารเพราะตื่นมาเ้ากระเพาะตัวดีก็ร้องท้วงซะอย่างนั้น
"โจ๊กกุ้งร้านที่พี่ชอบ แล้วก็ข้าวซอย"
"หิวแล้ว" ใบหน้าหวานของคนอายุสามสิบกว่าเงยมองศิลาอย่างอ้อนๆ ด้วยความเอ็นดูศิลาอดไม่ได้ที่จะก้มลงไปหอมแก้มเนียนสองข้างสลับกันอย่างมันเขี้ยว
"ผมเอาใส่ถ้วยให้" ศิลาบริการอีกฝ่ายอย่างดี ปัณณวีร์ก็ทำเพียงนั่งรอ ทั้งสองนั่งทานไปพร้อมกันและคุยกันไปสัพเพเหระก่อนศิลาจะพูดขึ้น
"บ้านที่พี่้าใช้อยากใช้แบบไหน" เผื่อว่าจะมีที่ที่พอแนะนำได้บ้าง อย่างน้อยก็ช่วยให้ปัณณวีร์ไม่ต้องทำงานหนักขึ้น
"จริงๆ พี่ก็อยากได้บ้านสไตล์ลอฟท์สองชั้นนะ แต่บ้านแนวนี้มันหายากหน่อยที่แบบให้เราเช่าอ่ะ" ปัณณวีร์ตอบและตักโจ๊กเข้าปาก นิ้วก็เลื่อนดูบ้านของคนที่พอจะให้เช่าได้จากที่ให้ชาช่วยหาข้อมูลลูกค้ามาบ้างและตัวเองหาได้บ้าง แต่ส่วนใหญ่มักเป็ชั้นเดียว พอเป็สองชั้นก็ไม่สวยอีกทำให้ปัณณวีร์ชั่งน้ำหนักในใจว่าควรจะเปลี่ยนสไตล์บ้านดีไหม แต่หากจะเปลี่ยนก็คงต้องคุยกับผู้กำกับอีกที
"พ่อน่าจะรู้จักนะ เพราะท่านเองก็ทำในทางอสังหาอยู่ ให้ผมถามให้ไหม"
จริงด้วย
ปัณณวีร์คิดในใจว่าทำไมตัวเองไม่นึกถึงอาธิปกัน อีกคนอาจจะช่วยได้บ้าง คนพี่พยักหน้าหงึกๆ พร้อมกับรอยยิ้มสดใส เห็นแบบนั้นศิลาก็ยิ้มตาม ไม่รอช้ารีบโทรหาผู้เป็พ่อทันทีเพื่อให้ช่วย ไม่นานนักรายชื่อที่และเบอร์ติดต่อของเ้าของบ้าน 4-5 คนก็ถูกส่งมาให้พร้อมกับรูปบ้านแต่ละหลัง ปัณณวีร์โทรไปติดต่อสอบถามบ้านหลังที่เขาชอบที่สุดก่อน หากว่าทางเ้าของไม่สนใจที่จะให้เช่าสถานที่เขาก็ยังมีอีก 4 ที่
ยังถือว่าโชคดีที่เ้าของเขาสนใจ หลังทานข้าวแล้วปัณณวีร์จึงไปอาบน้ำเตรียมตัว นัดชาเอาไว้ที่ออฟฟิศเพื่อจะไปดูบ้านจริงด้วยกันและพูดคุยรายละเอียดการเช่าสถานที่กับเ้าของ และที่ได้ง่ายๆ ในครั้งนี้ปัณณวีร์ก็ไม่รู้เลยว่าอาธิปได้โทรไปคุยกับอีกฝ่ายก่อนหน้านั้นแล้ว บอกว่าจะมีหลานติดต่อไปขอเช่าสถานที่ มันกะทันหันมากจริงๆ จึงอยากจะให้ช่วยหน่อยด้วยเพราะรู้จักกันจึงคุยกันง่าย
"โชคดีมากๆ เลยนะคะ พี่วีร์เจอที่นี่ได้ยังไงคะเนี่ย" ชาถามหลังจากที่คุยกับลูกค้าเสร็จและทำการตกลงเื่ราคาในทันที
บางครั้งในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีอยู่ปัณณวีร์เชื่อแบบนั้น แต่ก็แอบคิดเหมือนกันว่าความโชคดีของเขาคือศิลารึเปล่าที่คอยช่วยเหลือตลอด ในบางครั้งที่ไม่สามารถช่วยได้ก็เป็กำลังใจและอยู่ข้างๆ เสมอ ปัณณวีร์ยิ้มให้กับชาหากจะบอกว่าเจอเพราะศิลาก็ไม่จึงได้ตอบเลี่ยงๆ ไป
"พี่ก็ดูไปเรื่อยๆ แหละ ชอบก็เลยลองติดต่อมาดู ดีที่เขาสนใจ ดีไม่ใช่หรอได้เร็วกว่าที่คิด"
"ดีค่ะๆ เพราะชาเองก็ยังจัดตารางของนักแสดงไม่ได้เลย เพราะว่าว่างไม่ตรงกันอ่ะค่ะ"
"เอาตามเดิมเลย เปลี่ยนจากที่ต้องถ่ายที่บ้านไปถ่ายสตูก่อนเหมือนเดิมวันหนึ่ง อีกสามวันค่อยมาที่บ้าน วันนี้ก็กลับไปทำสัญญาให้เรียบร้อยเลยนะ"
"ได้ค่ะ"
"หาได้ก็หาไป" กนกพูดอย่างเจ็บใจที่ปัณณวีร์หาบ้านที่ใช้ถ่ายทำได้ก่อนที่ต้องถ่าย แม้จะฉุกละหุกไปหน่อยแต่ก็ได้มาจนได้ กนกเจ็บใจไม่น้อยเพราะเขาอุตส่าห์เสียค่ายกเลิกสัญญาให้กับบ้านหลังนั้นพร้อมทั้งให้เงินค่าเงินเสียเวลาอีกต่างหาก
"ทำยังไงต่อไปดีล่ะคะ จะให้ติดต่อเ้าของบ้านหลังนั้นไหมคะ" เลขาของเธอถามขึ้น
"ไม่ต้อง แค่นี้ก่อนเดี๋ยวจะดูออกว่าเป็การกลั่นแกล้ง เว้นระยะอีกหน่อย"
การถ่ายทำใน่ 3-4 วันนี้เป็ไปอย่างราบรื่นดี ปัณณวีร์กับชาก็ยิ้มออก และละครของศิลาที่เพิ่งออนแอร์มาแค่สองอาทิตย์ก็มีกระแสดีและแรงมาตลอด เวลาที่ออกอากาศก็ติดแฮชแท็กในทวิตเตอร์อันดับหนึ่งและแน่นอนว่ากระแสคู่จิ้นที่เหมือนจะหายไปกลับมาอีกครั้งเมื่อมีข่าวออกมาว่านับดาวจะเซ็นสัญญาเข้าช่องใหญ่อย่าง เจทีเอ็น เอ็นเตอร์เทนเมนท์ และกนกยังออกมาให้สัมภาษณ์เองด้วยว่าเป็คนชวนนับดาวด้วยตัวเอง บ่งบอกได้ดีว่าเธอชื่นชอบนับดาวแค่ไหน นั่นก็ทำให้แฟนคลับที่จิ้นสองคนนี้คิดกันไปเองต่างๆ นานา ใส่สีตีไข่ไปโดยไม่ได้รู้ว่าเื่จริงเป็ยังไง
"ละครเื่แรกก็ได้เซ็นสัญญากับช่องใหญ่แบบนี้ดูไม่รู้เลยนะ" น้ำหนึ่งที่ปอกเปลือกส้มอยู่พูดขึ้น วันนี้เขาแวะมาหาปัณณวีร์ที่ห้อง ไม่ได้เจอกันเป็อาทิตย์ๆ แล้วก็มีเื่ให้พูดคุยกันมากหน่อย โดยเฉพาะข่าวที่กำลังเป็ประเด็นในตอนนี้
"มันก็น่าเป็ประเด็นให้คนเอาไปคิดกันต่ออยู่หรอก นับดาวกับศิลาก็เคยมีกระแสจิ้นกันแรงจะตาย พอศิลาพูดไปในรายการนั้นเลยทำให้เหล่าแฟนคลับบ้านเดี่ยวของศิลาออกมาเคลื่อนไหวทำให้คนที่จิ้นเงียบไปเพราะทุกอย่างที่ศิลาตอบมันชัดเจนในตัวแล้ว
'เห็นไหม บอกแล้วว่าศิลาไม่ได้คิดอะไรหรอก คิดเองกันไปทั้งนั้นอ่ะ'
'หน้าแตกไปเลยสิแบบนี้ ช่วยไม่ได้อยากออกตัวแรงเองนะ'
'ชัดเจนมากค่าาา ลูกชายของมัมหมี~'
'จะต่อคิวเป็แฟนศิลาดูหางแถวด้วยนะถึงจะเป็นักแสดงก็เถอะะ คิวแรกยังไม่ขยับเลยยย'
โพสและคอมเม้นที่ปัณณวีร์เข้าไปอ่านมาก็ทำเอารู้สึกพอใจมากเลยทีเดียว ไม่ได้หึงศิลานะเพียงแค่รู้สึกดีเท่านั้น มีอันไหนบ้างที่พวกเขาว่ามาไม่จริง เพราะนับดาวออกตัวแรงเกินไปจริงๆ ดูแล้วเหมือนคนที่เข้าหาศิลามาก แน่นอนว่าคนที่ถูกพาดพิงอย่างนับดาวพอรายการถูกปล่อยออกไปก็ถูกผู้เป็พ่อเรียกไปคุยทันทีพร้อมกับดุด่าเจนชุดใหญ่ที่ดูแลลูกสาวเขาไม่ดี เื่ข่าวพวกนี้พิษณุไม่ชอบเอาเสียเลย ไม่อยากให้ลูกสาวทำตัวตามผู้ชายแบบนี้ แต่กลับคิดผิดที่ให้เจนดูแลต่อแต่ก็คาดโทษเอาไว้ว่าหากมีอีกครั้งที่สองพิษณุไม่เอาอีกแล้ว จากนั้นมานับดาวก็ทำตัวให้ดีขึ้น แม้พ่อจะรักและตามใจเธอมากแค่ไหนแต่เื่ไหนผิดพ่อก็ไม่เคยจะตามใจ แต่ดูเหมือนว่ากนกจะดึงเธอเข้ามาเกี่ยวข้องกับลูกชายของตนเองไม่หยุดซึ่งตอนนี้ความรู้สึกชอบหรือรู้สึกดีของนับดาวที่มีต่อศิลามันหายไปหมดแล้ว มีเพียงรู้สึกหมั่นไส้ผู้ชายคนนี้ที่ทำให้เธอถูกพ่อดุและทำให้เธอต้องโดนแฟนคลับกล่าวหา
"จะว่าไปนะวีร์ ทำไมแกไม่เซ็นสัญญากับช่องไปเลยล่ะ" น้ำหนึ่งถามในสิ่งที่เขาเองก็ไม่เคยถามเหตุผลจริงๆ ของเพื่อน
"งั้นฉันถามแกกลับก่อนนะ ตอนนี้แกเป็อิสระไหม" เธอนึกตามที่ปัณณวีร์ถามก่อนจะตอบว่า
"จะว่าอิสระก็พูดได้ไม่เต็ม แต่มันก็ดีไม่ใช่หรอแก อยู่กับช่องแกมีเงินทุนในการสร้างละครตลอดเลยนะ"
"ไม่รู้สิ ตอนนี้รู้สึกไม่อยากเซ็นแล้ว แกก็รู้ว่าฉันเล่าให้ฟังว่าเขาลดเงินทุนของเื่นี้ลงไปเพราะอยากบีบให้ฉันเซ็นสัญญาด้วย มันเลยทำให้คิดว่านี่ฉันเป็อิสระในการตัดสินใจอยู่นะ พวกเขายังมีผลกับฉันได้ขนาดนี้ไม่ต้องพูดถึงหากเซ็นสัญญาไปพวกเขาคงจะบีบได้มากกว่านี้เกิดฉันไปทำอะไรผิดใจใครขึ้นมา"
"แกหมายถึงเื่ศิลาสินะ" ทั้งสองสบตากันก็พอจะรู้ ปัณณวีร์ถอนหายใจยาวก่อนจะพูดขึ้น
"ใช่ เื่นี้ศรุตบอกว่าคนที่เสนอไม่ในคณะกรรมการบริหาร แต่เป็คุณกนก แม่ของพวกเขาเองที่เสนอเื่นี้ ซึ่งเขากับศรุตบอกไม่เหมือนกันไง" คนแม่บอกว่าเป็คนอื่นเสนอ แต่คนลูกกลับบอกว่าแท้จริงแล้วผู้เป็แม่ที่เสนอเื่ให้ลดเงินทุนของละครเื่ที่กำลังถ่ายลง
พอรู้เื่นี้จากศรุตั้แ่วันนั้น ทำให้ปัณณวีร์รู้สึกว่าเขายังเซ็นสัญญากับช่องไม่ได้หรอก อย่างน้อยๆ ที่เป็อยู่ตอนนี้กนกก็กดดันเขาได้ไม่มากนัก
"ปวดหัวแทน เอาจริงมีแม่ผัวแบบคุณกนกนี่ไม่ไหวอ่ะ ดูใจดีก็จริงแต่ก็ดูเ้ากี้เ้าการไม่น้อย เป็ลูกคงจะอึดอัด สองคนนั้นคือโตมาได้นี่คงไม่เหมือนแม่หรอกนะ"
"ศิลาอ่ะไม่เหมือน แต่ศรุตอ่ะไม่รู้ อยากรู้ลองทำความรู้จักให้มากขึ้นสิ" ปัณณวีร์ว่าพลางมองเพื่อนอย่างยิ้มๆ
"อะระ ไม่ได้อยากรู้ขนาดนั้น มันแค่เป็ประโยคบอกเล่าไม่ใช่ประโยคคำถาม" น้ำหนึ่งสวนกลับทันที ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปหาของกินในครัวเพื่อเลี่ยงการพูดถึงคนคนนั้น
ปัณณวีร์มองตามก็ได้แต่อมยิ้ม ที่เขาว่ากันว่าคนเขามักจะมองไม่ออกว่าคนใกล้ตัวรู้สึกยังไงจะเป็จริง เพราะขนาดปัณณวีร์ยังมองออกเลย
ว่าศรุตคิดยังไงกับเพื่อนของเขา...
TBC.