ตอนที่ 14
กนกนั่งคิดมาตลอดทางั้แ่คอนโดของศิลาจนจะถึงบ้าน เสื้อตัวนั้นเป็เสื้อผู้ชายอย่างแน่นอน แม้เธอจะมั่นใจว่าเป็ของปัณณวีร์แต่ก็ไม่เชื่อเต็มร้อยนัก อาจจะมีใครที่ซื้อเหมือนกันก็ได้ แต่ที่แน่ๆ คือมันไม่ใช่เสื้อของศิลาและถ้าไม่ใช่ของลูกชายก็แสดงว่าในห้องนั้นอาจจะมีผู้ชายคนอื่นอยู่ด้วย ที่ตัวเล็กกว่าศิลา พอคิดแบบนี้แล้วก็ทำให้เธอกลับมากังวลเื่ที่ว่าศิลาจะชอบผู้ชายหรือเปล่าอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้คิดเื่นี้มานานแล้ว
และก็มีอีกทางที่กนกคิดเอาไว้อีกว่าถ้าเสื้อตัวนั้นเป็ของปัณณวีร์จริง มันมาอยู่ที่ห้องของศิลา บวกกับตอนนั้นที่เธอเห็นศิลาออกจากห้องนอนที่ปัณณวีร์นอนอยู่อีกมันก็ลงล็อกพอดีเลย แต่คิดไปคิดมายังไงไม่ว่าทางไหน สุดท้ายก็คือศิลาพาผู้ชายมาที่ห้อง เมื่อกลับมาถึงบ้านกนกก็ได้เล่าให้อาธิปผู้เป็สามีฟังเพราะว่าเธอมักจะเอาเื่ที่หนักใจและคิดไม่ออกมาปรึกษาเขาตลอด อาธิปได้ฟังที่ภรรยาเล่ามาก็ยังคงทำหน้าเฉยเมยอยู่
“อาจจะเป็เพื่อนของศิก็ได้หนิคุณ แค่เห็นเสื้อผู้ชายคนอื่นเองนะ”
“เพื่อนที่ไหนคะ ศิลาไม่เคยพามาเจอเราเลยนะแม้แต่คุณยังไม่รู้จักอ่ะ” เพราะเื่ของศิลา อาธิปมักจะรู้เยอะกว่ากนกเสมอเนื่องจากเ้าตัวชอบเล่าชอบบอกให้พ่อฟัง “อีกอย่างนะคะ ศิลาเขาเป็คนโลกส่วนตัวสูงจะตาย จะให้เข้าคอนโดได้ง่ายๆ หรอคะถ้าไม่ใช่แฟน”
“คุณนก คุณอย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้สิ มันอาจจะไม่ใช่อย่างที่คิดก็ได้นะ” อาธิปรู้ดีแก่ใจว่าเสื้อที่ภรรยาพูดถึงเป็ของใคร ก็จริงอย่างที่กนกว่า ศิลาเป็คนที่รักความเป็ส่วนตัว โลกส่วนตัวค่อนข้างสูง เขาชอบอยู่คนเดียวมากกว่าและไม่ชอบให้ใครมาในพื้นที่ส่วนตัว หากอยู่ที่บ้านก็จะเป็ห้องของเขาที่เป็พื้นที่ส่วนตัว และนี่เป็คอนโด แน่นอนว่าถ้าไม่สนิทจริงหรือว่าเป็คนสำคัญก็คงไม่ให้เข้าไป
“ก็มันอดคิดไม่ได้หนิคะ จะให้คิดเป็อื่นได้ยังไงอ่ะ นั่นตะกร้าเสื้อผ้านะ ศิลาเนี่ยนะจะเอาเสื้อผ้าไปใส่ซักกับคนอื่น ดูยังไงเ้าของเสื้อที่อยู่ในตะกร้าก็ต้องเป็คนสำคัญ” จะบอกว่าเธอระแวงและคิดมากเกินไปก็ไม่ได้เพราะมันคือความจริงที่ว่าศิลาไม่เอาเสื้อผ้าไปซักรวมกับใครหรือแม้แต่เอามาใส่ตะกร้าเดียวกัน
“แล้วทำไมคุณไม่ถามลูก”
“ฉัน ... ฉันไม่กล้า” กนกถอนหายใจออกมาแล้วสบตากับอาธิป “ฉันกลัวว่าถามออกไปแล้วมันเป็แบบที่ฉันคิด ฉันกลัวว่าฉันจะรับไม่ได้”
หากคำตอบที่ได้มาเป็สิ่งที่เธอกลัวอยู่จะเป็ยังไง ที่ไม่กล้าถามเพราะยังไม่พร้อมและอีกอย่างก็ยังไม่แน่ใจด้วย กลัวจะทำให้ลูกรู้สึกว่าตัวเธอจับผิดลูก
“ทำไมจะรับไม่ได้กันล่ะ ยังไงลูกก็คือลูกนะไม่ว่าเขาจะเป็ยังไง” อาธิปบอก “คุณไปห้ามไปบังคับลูกไม่ได้หรอก ถ้าสิ่งที่คุณคิดเป็จริง”
“ทำไมจะไม่ได้คะคุณ ในเมื่อลูกทำในสิ่งที่มันไม่เหมาะไม่ควร เราเป็พ่อแม่ก็ต้องคอยสั่งสอนสิคะถึงจะโตแล้วก็เถอะ” กนกเถียงขึ้น
“เป็พ่อแม่แล้วยังไงคุณ ชีวิตเป็ของลูกนะ สิ่งที่เขาเลือกนั้นแปลว่ามันดีสำหรับเขาแล้ว” คนเป็สามีก็ยังคงใช้น้ำเสียงอ่อนนุ่มคุยกันอยู่
“ไม่ค่ะไม่ ฉันเป็แม่ ฉันรู้ว่าอะไรที่ดีที่สุดสำหรับลูก ั้แ่เล็กจนโตฉันก็เลือกให้เขาได้ดีมาตลอดคุณก็เห็นแล้ว”
“มันดีในสายตาคุณ แล้วสำหรับลูกคุณเคยถามเขาไหมว่ามันดีรึเปล่า คุณเลือกโรงเรียน เลือกมหาลัยเลือกสิ่งของต่างๆ ให้เขาได้ แต่คุณจะไปเลือกคนรักให้ลูกไม่ได้นะคุณนก”
“ใช่ ฉันเลือกคนรักให้ลูกไม่ได้แต่ก็ต้องไม่ใช่ว่าจะเป็ใครก็ได้” อาธิปถึงกับถอนหายใจ นี่ขนาดยังไม่รู้ว่าเื่ที่ลูกชอบผู้ชายจะจริงไหมยังเป็ขนาดนี้ เขาไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้ารู้ความจริงจะเป็ยังไง
“เอาเถอะ” เป็อาธิปที่ไม่อยากจะเถียงต่อ “เื่นี้คุณยังไม่รู้ว่าลูกจะยังไง บางทีอาจเป็คุณที่คิดไปเอง”
“ฉันจะคิดไปเองไหมฉันมีวิธีพิสูจน์ค่ะ” เป็อีกครั้งที่เธอกลับมากังวลเื่ศิลา ยิ่งศิลาตอบปัดความสัมพันธ์ที่คลุมเครือกับนับดาวก็อาจจะเป็เพราะมีคนรักอยู่แล้วรึเปล่า พอคิดแบบนี้ก็ยิ่งทำให้กนกรู้สึกคิดมากเป็เท่าตัว เพราะใช่แค่ว่าลูกอาจจะมีคนรักอยู่แล้ว แต่คนรักก็อาจจะเป็ผู้ชายด้วย…
“พ่อผมโทรมาบอกว่าแม่สงสัยว่าผมจะชอบผู้ชาย แล้วก็พามาอยู่ที่คอนโดด้วย” ศิลาเดินเข้ามาในห้องนอนหลังจากคุยโทรศัพท์กับอาธิปเสร็จ ดีที่คนเป็พ่อโทรมาบอกให้รู้ ศิลาได้เล่าให้ปัณณวีร์ฟังแล้วว่าพ่อของเขารู้เื่ทั้งสองแต่ก็ไม่ได้ห้ามอะไร ทำให้ปัณณวีร์โล่งใจขึ้นมาบ้างแต่พอได้ยินว่ากนกสงสัยเื่นี้ก็ทำให้รู้ว่าเธอไม่ยอมรับอย่างแน่นอน
“ถ้าแม่ศิรู้ จะเป็ยังไง” ปัณณวีร์ถามด้วยความกังวล สีหน้าฉายแววว่ากำลังคิดมากอย่างเห็นได้ชัด ศิลาเดินมานั่งลงข้างๆ คนพี่ที่นั่งอยู่บนเตียงก่อนจะดึงเข้ามาในอ้อมกอด
“ไม่รู้เหมือนกันครับ แต่พี่ไม่ต้องคิดมากนะ ยังไงผมก็จะอยู่ข้างพี่เสมอ ต่อให้แม่ไม่เห็นด้วยแล้วยังไง แม่ไม่ได้จะอยู่กับผมจนผมแก่ซะหน่อย” เื่ไหนควรยอมศิลาก็ยอมให้ แต่หากเื่ไหนไม่ เขาก็ไม่มีทางจะยอมและกนกก็รู้แก่ใจดีว่าเขาบังคับลูกไม่ได้
“พ่อเห็นด้วย พี่คิดว่าแม่จะเห็นด้วยซะอีก”
“พ่อกับแม่ผมไม่เหมือนกันหรอกครับ ดูภายนอกพ่อเป็คนนิ่งๆ ไม่พูดเลยอาจจะดูเหมือนคนดุหน่อย แต่ท่านใจดีและเข้าใจพวกเรา แต่แม่ดูภายนอกเป็คนใจดี แต่เอาเข้าจริงๆ แล้วแม่เป็คนเอาแต่ใจตัวเองมาก คงเพราะเป็ลูกสาวคนเดียวด้วยแหละมั้ง” ศิลาพูดไปพลางเอามือลูบหัวคนพี่ไปด้วย
“พี่สะเพร่าเอง ลืมหยิบเสื้อผ้าในตะกร้าไปด้วยทำให้แม่สงสัย” เพราะความรีบร้อนจึงทำให้ลืมไปบ้าง
“ไม่เป็ไรครับ ใครจะคิดว่าแม่จะเดินดูของไปทั้งห้องแบบนี้”
“ต่อไปนี้เราต้องระวังกันมากขึ้นแล้วละศิ” ปัณณวีร์เงยหน้ามองคนที่กอดอยู่
“พี่วีร์ เราเปิดเผยความสัมพันธ์กับแม่ดีไหม” ศิลาเอ่ยถามความคิดเห็น เพราะคิดว่ายังไงซะสักวันหนึ่งกนกก็คงจะรู้ สู้ชิงบอกก่อนไม่ดีกว่าหรอ
“ศิ พี่ว่าเอาไว้ก่อนดีกว่านะ ตอนนี้แม่ยังไม่รู้ก็ดีแล้วรออีกหน่อยเถอะพี่ยังไม่พร้อม” คนถูกถามตอบกลับมา เขายังไม่พร้อมจริงๆ หากว่าบอกแล้วเขากับศิลาถูกจับให้แยกกันล่ะ ปัณณวีร์ไม่ได้กลัวถ้าถูกสั่งห้ามไม่ให้คบกันต่อแบบตรงๆ แต่ที่กลัวคือหากถูกทำให้เข้าใจผิดกันล่ะ แบบนั้นน่ากลัวกว่าอีก
“ผมตามใจพี่ แต่แม่จะทำอะไรเราได้จริงไหม” ปัณณวีร์พยักหน้าเบาๆ แล้วกระชับกอดแน่นราวกับกลัวจะเสียอีกคนไป 3 ปีที่ผ่านมาศิลาเข้ามาอยู่ในชีวิตของปัณณวีร์จนลืมไปแล้วว่าการอยู่คนเดียวเป็ยังไง เพราะเกือบทุกๆ วันมีศิลาเข้ามาอยู่ด้วย นี่ก็คือความน่ากลัวของการมีคนคู่มีคนรัก
“ดาริน ฉันถามนะ ว่าตอนนี้เธอรับเงินเดือนจากใคร” กนกเอ่ยถามขึ้นพลางคนกาแฟในถ้วยกาแฟไปมาอย่างสบายอารมณ์ ต่างจากคนที่นั่งอยู่ตรงข้ามในตอนนี้
ดารินถูกกนกเรียกให้เข้ามาพบหลังจากไปส่งศิลาที่กองถ่ายแล้วเธอจึงได้แวะเข้าบริษัทก่อนและให้ผู้ช่วยอยู่ดูแลศิลาที่นั่น เธอไม่รู้ว่าถูกเรียกมาเพราะอะไรจนถึงตอนที่ถูกกนกถามแบบนั้น ทำเอาเธออึกอักแล้วตอบออกไป
“จากคุณกนก จากบริษัทค่ะ” ดารินรู้ได้ทันทีว่าที่กนกถามแบบนี้ก่อนเพราะอะไร เรียกเธอมาแบบนี้ก็คงไม่พ้นเื่ของลูกชายเล็ก
“ดี ถ้างั้นก็ต้องตอบตามความจริงนะถ้าฉันถามอะไร” กนกยกยิ้มก่อนจะยกกาแฟขึ้นจิบ รอยยิ้มน่ากลัวนั้นช่างเหมือนศิลาไม่มีผิด ดารินพยักหน้ารับ
“่นี้ศิลาเป็ยังไงบ้าง”
“ก็สบายดีค่ะ ่นี้งานอาจจะเยอะหน่อย” คิดเอาไว้มีผิดว่าต้องมาถามเื่ของศิลาเป็แน่
"เขามีแอบคบใครบ้างไหมดาริน ในฐานะที่เธอเป็ผู้จัดการส่วนตัวของศิลา" กนกเลือกจะถามดารินเพราะคิดว่ายังไงซะเธอก็เป็คนหนึ่งที่ใกล้ชิดศิลาที่สุด หากว่าศิลามีอะไรมีหรือจะปิดบังเธอได้
นอกซะจากว่าเธอรู้แต่ช่วยกันปิด ... กนกอาจจะลืมไปว่าดารินรับเงินเดือนจากบริษัทก็จริง แต่กับศิลาแล้วเธอก็เห็นเป็น้องคนหนึ่ง มีหรือที่จะไม่ช่วยปิดเป็ความลับ มีหรือจะบอกอะไร กนกพลาดแล้ว เลือกถามได้ผิดคนจริงๆ
"ไม่มีเลยค่ะ น้องศิลาเนี่ยนะคะจะมีแฟนหรือแอบคบใคร วันๆ เอาแต่ทำงานค่ะคุณกนก" ดารินตอบออกไป ไม่สนใจว่าจะโกหกหรืออะไร ขอแค่เื่โกหกพวกนี้ช่วยน้องชายปิดบังสถานะไว้ได้เธอก็ยอมทำ
คนอื่นอาจจะมองว่ากนกเป็คนใจดี เป็ผู้บริหารที่มองการณ์ไกลไม่หัวโบราณ สนับสนุนกลุ่ม LGBTQ แต่สำหรับดารินไม่ใช่ ดารินรู้มาแต่ไหนแต่ไรว่ากนกทำไปก็เพราะว่าสังคมมันเปลี่ยนไป ทุกคนเริ่มมีการสนับสนุนบุคคลที่มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้น ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ดังนั้นเธอต้องทำ และดารินก็เห็นว่าเธอไม่ได้รังเกียจหรือไม่ชอบเพศที่สาม และเธอก็สนับสนุนจริง แต่ต้องไม่ใช่ลูกของตัวเองเพราะกนกเคยเอ่ยปากกับดารินเองในตอนแรกๆ ที่ศิลาเข้าวงการ กนกกำชับเสมอว่าไม่ให้ศิลารับบท LGBTQ เด็ดขาด
ตอนดารินรู้เื่ของศิลากับปัณณวีร์ก็แทบลมจับ ที่เขาว่ากันว่าเกลียดอะไรมักได้อย่างนั้นท่าจะจริง
"แน่ใจนะ ไม่มีผู้หญิงคนไหนถูกตาถูกใจศิลาเลยหรอ"
"ไม่มีค่ะ" ดารินยิ้มให้
"แล้วผู้ชายล่ะ" รอยยิ้มของดารินค้างเติ่งอยู่อย่างนั้นและต้องแสร้งยิ้มต่อไปเพื่อไม่ให้มีพิรุธ
"ผู้ชายยิ่งไม่มีเลยค่ะ คุณกนกคิดว่าศิจะคบผู้ชายหรอคะเนี่ย" กนกหรี่ตามองดารินเล็กน้อยอย่างพยายามจับผิด แต่ก็หาจุดพิรุธของดารินไม่ได้เลย
"ฉันก็ถามไปอย่างนั้นแหละ ถ้าไม่ชอบไม่สนใจผู้หญิงก็มีแค่ชอบผู้ชายแล้วแหละหรือไม่จริง??" เป็เหมือนการโยนหินถามทางเพื่อดูปฏิกิริยาของดารินอีกครั้ง
ดารินหัวเราะเบาๆ พร้อมส่ายหน้า "ไม่เสมอไปหรอกค่ะคุณกนก คนบางคนก็อยากจะอยู่คนเดียวมากกว่าสนใจใครนะคะ อย่างฉันไง"
"อย่างงั้นหรอ" กนกยกกาแฟขึ้นจิบก่อนจะพยักหน้าเบาๆ "ก็ดีแล้วที่เป็แบบนั้น แต่ถ้าเป็แบบที่สองที่ถามไปละก็ คงไม่ดีเท่าไหร่ว่าไหม"
"ค่ะ" ดารินตามน้ำไปก่อน และก็ถูกกนกถามนั่นถามนี่สักพักก่อนจะได้ออกจากห้องมา ร่างสูงเพรียวของหญิงวัยกลางคนรีบเดินไปที่ลิฟต์ทันทีพร้อมส่งข้อความบอกกับศิลา เื่ที่วันนี้ถูกแม่ของเ้าตัวเรียกมาถาม นั่นแสดงว่าเธอเริ่มจะสงสัยเข้าแล้ว
ผ่านมาอีกวัน ปัณณวีร์ต้องรีบตระเตรียมสถานที่ถ่ายทำให้และเตรียมบทเตรียมนักแสดงเอาไว้เพื่อที่จะได้เริ่มถ่ายกันได้ในเดือนพฤศจิกายนตามที่วางแผนเอาไว้ แน่นอนว่าครั้งนี้เงินทุนหลักก็มาจากเจทีเอ็น เอ็นเตอร์เทนเมนท์อีกเช่นเคย ั้แ่ที่รู้ว่ากนกเริ่มสงสัยเื่ศิลาอาจจะชอบหรือคบอยู่กับผู้ชายนั้นก็ทำให้ปัณณวีร์กังวลใจอย่างมาก ถึงจะบอกว่าไม่ให้ตัวเองคิดมากก็เถอะ ก็ทำยากอยู่ดี
"พี่วีร์ตรงนี้สมูทขึ้นรึยังครับ หรือปรับแสงลงอีกไหม" เสียงของทีมงานตัดวิดีโอถามขึ้น ปัณณวีร์ที่เหม่อคิดอะไรอยู่สะดุ้งเล็กน้อย
"อ่อ" เขาสลัดความคิดในหัวออกเพื่อจะไม่รบกวนการทำงานของตัวเอง หลังจากดูทีมงานตัดต่อวิดีโอเสร็จแล้วจึงออกมาข้างนอกที่ตอนนี้ก็เป็เวลาเกือบจะบ่ายสามแล้ว
ศิลา : พี่อย่าเพิ่งมาที่ห้องผมนะครับ
ปัณณวีร์ : ทำไมหรอ แม่มาอีก??
ศิลา : เปล่าครับ แอร์ไม่ค่อยเย็นผมเลยให้คนเข้าไปล้างแอร์
ปัณณวีร์ : อ๋ออ เสร็จกี่โมง
ปัณณวีร์ยืนพิมพ์คุยกับศิลาอยู่นานสองนาน ก่อนจะกลับห้องทำงานตัวเอง ผ่านไปจนพระอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปปัณณวีร์จึงออกจากออฟฟิศ โดยไม่รู้เลยว่ามีคนตามไปด้วย
[ครับ มาที่คอนโดเดียวกับคุณศิลาครับ]
"งั้นหรอ แค่นี้แหละยังไงก็เข้าไปไม่ได้อยู่ดีกลับได้แล้ว"
[ครับ]
เมื่อวางสายแล้วกนกจึงเปิดไอแพดของตัวเองขึ้นมาดู เข้าแอปพลิเคชันหนึ่งก่อนจะเป็ภาพวิดีโอที่ถูกถ่ายส่งมาจากสถานที่นั้น นั่นก็คือห้องของศิลา วันนี้เธอได้ยินศรุตคุยโทรศัพท์กับช่างให้เข้าไปล้างแอร์ที่คอนโดศิลา เธอจึงได้จ้างวานให้ช่างเอากล้องไปติดไว้ในช่องแอร์ด้วย ติดไว้กับแอร์ตัวที่อยู่ข้างนอก ทำให้เห็นทั้งโซนโซฟาและโต๊ะอาหาร
และที่ให้ตามปัณณวีร์ก็เพื่ออยากจะรู้เท่านั้นว่าเ้าตัวพักที่ไหน แต่ไม่คิดเลยว่าจะไปคอนโดเดียวกับศิลา คอนโดนั้นแพงแสนแพงเธอมั่นใจว่าปัณณวีร์ไม่มีเงินซื้ออย่างแน่นอนและคนประหยัดมัธยัสถ์อย่างปัณณวีร์คงไม่ซื้ออะไรที่เกินตัวเกินไปเธอรู้ดี เธอถึงได้ชอบและเอ็นดูเด็กคนนี้
ปัณณวีร์ไปที่นั่นยิ่งทำให้เธอนึกถึงเสื้อตัวนั้นแล้วก็กลัวขึ้นมา ในใจเธอตอนนี้เต้นแรงมากแม้ในวิดีโอที่ถูกถ่ายอยู่ยังไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ตาม เพราะศิลาคงจะอยู่ในห้องนอน ผ่านไปเกือบ 10 นาทีก็เห็นศิลาเดินออกมาจากห้องนอนโดยใส่เพียงกางเกงสแล็คสีดำที่ใส่วันนี้แต่ไม่ใส่เสื้อ
แต่นั่นก็ไม่ใช่สิ่งที่ทำให้กนกใเท่ากับอีกคนหนึ่งที่เข้ามาในห้องแล้วโผเข้ากอดกันเต็มสองตาและภาพที่ชัดเจน เป็ปัณณวีร์ที่ถือของรุงรังไปหมดเข้ามาแล้ววางทุกอย่างลงกอดกับศิลา ผละออกแล้วหอมแก้มกันซ้ายขวา ทำเอากนกอ้าปากค้าง มือสั่นเล็กน้อยเพราะไม่คาดคิดว่าจะเจอแจ็คพ็อตวันนี้เลย
"ซื้ออะไรมาเยอะแยะครับ" ศิลาเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนพร้อมกับช่วยถือไปวางที่โต๊ะกินข้าว
"่นี้ดูแลหุ่นไม่ใช่รึไง พี่เลยไปซื้อพวกอกไก่แล้วก็ผลไม้ที่น้ำตาลน้อยๆ มาให้ จะทำข้าวกล่องให้ไปกินที่กองทุกวันเลยดีไหม"
"ดีครับ ข้าวที่กองไม่อร่อยเท่าฝีมือพี่"
"ปากหวานจริงๆ"
"ชิมแล้วหรอ ชิมอีกไหม" ศิลาชี้ไปที่ริมฝีปากของตัวเองพร้อมยื่นหน้าไปหาคนพี่ ปัณณวีร์หรือจะยอมให้เด็กอ่อยอยู่ฝ่ายเดียว ยื่นหน้าไปจูบริมฝีปากหยักสวยเบาๆ
"อร่อยดี" พอผละออกก็ยิ้มกว้างแล้วเอาผักผลไม้ไปล้าง ศิลาก็เดินตามไปไม่ห่าง ยืนซ้อนหลังคนพี่อยู่อย่างนั้น โดยไม่รู้เลยว่าทุกอย่างทุกการกระทำของทั้งสองตกอยู่ในสายตาของกนก
กนกมองด้วยแววตาสั่นไหวน้ำตาคลอเบ้า เห็นเพียงหลังของลูกชายที่โอบกอดปัณณวีร์อยู่ก็ยิ่งเสียใจ เธอปิดไอแพดไว้เพราะไม่อยากจะดูต่อ แค่เมื่อกี้ก็ทำเอาหัวอกคนเป็แม่เจ็บช้ำแล้ว เธอไม่เคยคิดเลยว่าศิลาจะชอบผู้ชายด้วยกัน และยิ่งกว่านั้นผู้ชายคนนั้นเป็คนที่เธอรักและเอ็นดูเหมือนลูกเหมือนหลาน
เป็คนที่ใกล้ตัวแต่กลับคิดไม่ถึง กนกเม้มริมฝีปากแน่นแล้วเช็ดน้ำตาออก เธอรู้สึกว่ายอมไม่ได้ ยอมให้สองคนนี้คบกันไม่ได้ ทำให้พาลโทษที่ปัณณวีร์เข้ามา เธอเพียงคิดว่าทั้งสองสนิทกันแบบพี่น้องก็เท่านั้น ไม่รู้เลยว่ามันแปรเปลี่ยนไปเมื่อไหร่ แอบคบกันมานานเท่าไหร่แล้ว
"หอมจังเลย" จมูกโด่งคลอเคลียแถวพวงแก้มระเรื่อของคนพี่ ก่อกวนการทำอาหารไม่หยุดแม้จะถูกดุไปหลายทีก็ตาม
"ศิ!"
"ก็ผมหิวแล้ว"
"หิวแล้วมากวนแบบนี้เมื่อไหร่จะเสร็จล่ะ" ปัณณวีร์หันหน้าไปเผชิญหน้ากับคนด้านหลังก่อนจะบีบจมูกเบาๆ
"หิวพี่ ไม่ใช่ข้าว โอ้ยย!" ฝ่ามือเล็กฟาดเข้าที่อกคนน้องอย่างแรงจนขึ้นรอยแดงเพราะไม่มีเสื้อผ้ามาเป็ตัวกลางไว้
"หมกมุ่นจริงๆ เลย ถ้าว่างมากก็ไปอาบน้ำรอเลยไปเลย"
"เราไม่ได้ทำกันมาหลายวันแล้วนะ" มือหนาลูบวนที่เอวบางอย่างออดอ้อน
ปัณณวีร์อมยิ้มแล้วแกะมือปลาหมึกนั่นออกก่อนจะจับไหล่กว้างไว้แล้วยื่นหน้าไปกระซิบข้างหูศิลาเบาๆ
"เดี๋ยวคืนนี้ให้ทำก็ได้ แต่ตอนนี้อย่าดื้อเข้าใจไหม" ศิลามองแล้วยิ้มมุมปากก่อนจะจับใบหน้าหวานให้หันมารับจูบอย่างไม่ทันตั้งตัว
"ได้ ผมเชื่อฟังพี่" พูดจบร่างสูงก็เดินเข้าห้องนอนไปเพื่อไปอาบน้ำตามที่พี่บอกมา ปัณณวีร์ส่ายหน้าเบาๆ บทจะพูดง่ายก็ง่ายเหลือเกิน
ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์กับการรับรู้ความจริงที่ว่าลูกชายนั้นแอบคบอยู่กับปัณณวีร์ กนกไม่ได้บอกกับใครเลยเื่นี้แม้แต่อาธิปผู้เป็สามี หลังจากวันนั้นที่เห็นคลิปเธอก็พยายามบอกให้ลูกชายกลับบ้านบ้าง แต่ก็มีที่ไปนอนคอนโดอีกเหมือนเคย สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นในใจของกนกอีกคือเธอรู้สึกอิจฉาปัณณวีร์ เธอรู้สึกว่าปัณณวีร์ได้ความรักของศิลาไป
การออดอ้อนกัน สวีทหวานหรือทำอาหารทานกัน และศิลาเป็คนเก็บคนล้างจานให้นั้นทำให้กนกรู้สึกว่าตัวเขาเป็แม่ที่ไม่เคยได้เห็นมุมนี้ของลูกเลย เหมือนถูกแย่งลูกไปอย่างสมบูรณ์แล้ว ทั้งที่เธอ้าให้ศิลาออดอ้อนเธอแบบนี้บ้าง แต่ก็ไม่มีเลยสักครั้ง
"ลดงบลงอีกหรอครับ" ปัณณวีร์ถามขึ้น เมื่อถูกกนกเรียกมาพบ ซึ่งก็ทำให้เ้าตัวรู้สึกประหม่าไม่น้อยเพราะด้วยรู้ว่ากนกกำลังสงสัย
"ใช่ ทางคณะกรรมการบริหารได้พูดคุยเื่นี้กันใหม่ เขาอยากจะลดทุนลง 3 ล้าน"
"เพราะอะไรหรอครับ" กนกแสร้งทำน่าเศร้า ก่อนจะตอบ
"คงเพราะอยากจะกดดันให้วีร์มาเซ็นสัญญากับเจทีเอ็นพวกเขาเลยเอาเื่นี้มาเสนอ เพราะวีร์เองก็เลี่ยงเื่นี้มานานแล้วนะ นับวันวีร์ก็ยิ่งเป็ที่รู้จัก" เป็ตัวกนกเองที่เสนอเื่นี้เข้าที่ประชุมเอง เธอเสนอว่าจะใช้วิธีนี้กดดันให้ปัณณวีร์เซ็นสัญญากับช่อง หากเ้าตัวเซ็นสัญญาแล้วเธอมีอำนาจในการแกล้งอีกฝ่ายได้ง่ายกว่าตอนนี้
กนกคิดมาอย่างดีที่จะใช้วิธีนี้ เพราะหากปัณณวีร์รักศิลาจริง เขาจะไม่มีวันหักหลังบริษัทของคนรักไปทำที่อื่นเพียงเพราะให้ผลประโยชน์ที่ดีกว่าอย่างแน่นอน แต่ถ้าปัณณวีร์ไปเธอจะใช้ข้อนี้เล่นงานเขา ทำให้ศิลาเห็นว่าคนคนนี้ไม่เหมาะสมกับลูกชายเธอเนื่องจากเห็นแก่เงินและผลประโยชน์
"วีร์ วีร์เองก็ต้องเข้าใจหัวอกของบริษัทนะ แม่เองก็ช่วยอะไรไม่ได้มากเพราะคณะกรรมการเห็นชอบกันเยอะ"
"ผมเข้าใจครับ"
"แล้ว..." ปัณณวีร์หลุบตามองมือตัวเองอย่างใช้ความคิดก่อนจะพูดออกไป
"ผมขอเวลาคิดนะครับ" เขายังไม่อยากจะตัดสินใจอะไรในตอนนี้ อย่างน้อยให้กลับไปคิดกลับไปคุยกับผู้ช่วยก่อน
"เื่นี้ผมยอมให้ลดเงินทุนลงก็ได้ครับ ผมจะทำให้เห็นว่าผมไม่ไปไหนแม้จะลดทุนลง" ปัณณวีร์บอกด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นใจ กนกทำเพียงยิ้มให้แต่ก็ไปไม่ถึงดวงตาและพยักหน้าเบาๆ มือนั้นกำเข้าหากันแน่น อยากจะะโใส่หน้าปัณณวีร์ดังๆ ว่าให้คืนลูกเขามาด้วยซ้ำ
ปัณณวีร์เดินออกมาจากประธานบริหารของเจทีเอ็นซ้ำยังไม่ได้มีแค่ตำแหน่งเดียว ยังมีอีกหนึ่งตำแหน่งคือประธานบริษัทอีกต่างหาก เพราะกนกบริหารบริษัทมาด้วยตัวเองแม้แต่ตอนนี้ที่มีศรุตเข้ามาช่วยงานแต่ก็ยังไม่ได้วางมือให้ลูกชายขึ้นบริหารต่อ
"วีร์" ศรุตเดินเข้ามาหาพอดีก่อนจะพูดเสียงเบา "คุยกันหน่อยสิ"
"อ่อ"
"วันนี้ผมเห็นพี่วีร์มาที่บริษัท สีหน้าดูกังวล มีเื่อะไรงั้นหรอ" ศิลาถามผู้เป็พี่พลางให้อาหารปลาไปด้วยเพราะวันนี้เขากลับมากินข้าวและนอนที่บ้านตามที่แม่บอกมา ซึ่งพักหลังมานี้กนกมักจะถามตารางงานของศิลาจากดารินเสมอ และหากวันไหนเลิกงานเร็วก็จะบอกให้กลับบ้านมาทานข้าวด้วยกันเป็ครอบครัว บ้างก็บอกว่าจะทำอาหารให้ทานราวกับอยากจะเอาใจเขามากกว่าปกติ
"ทางบริษัท้าให้วีร์เซ็นสัญญาด้วย เลยใช้วิธีลดเงินทุนในละครเื่ล่าสุดที่วีร์กำลังจะเริ่มถ่ายในอีก 1 เดือนหน้า" ศรุตพับแขนเสื้อตัวเองขึ้นแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ ซึ่งเขาไม่เห็นด้วยเท่าไหร่นักกับการทำแบบนี้ เพราะบางทีอาจจะทำให้ปัณณวีร์ไปอยู่กับที่อื่นแทนที่จะอยู่กับทางเราก็ได้ ศรุตไม่เข้าใจกับสิ่งที่แม่เขากำลังทำอยู่เลย และดูท่าแล้วเหมือนแม่จะมั่นใจมากเหลือเกินว่ายังไงปัณณวีร์ก็ต้องเซ็นสัญญากับบริษัท
"ยังไงพี่วีร์ก็อยู่กับเรา ไม่เชื่อใจกันบ้างเลยหรอ" ไม่ใช่ว่าศิลาไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ของบริษัทหากว่าต้องเสียปัณณวีร์ให้กับบริษัทอื่นเพราะปัณณวีร์โตมาได้ ดังมาได้ก็เพราะที่นี่ หากแต่มองในมุมของคนรัก เขาเองก็ไม่อยากให้ใช้วิธีแบบนี้กดดันคนรักของเขาเช่นเดียวกันเพราะแค่ทุกวันนี้ก็เห็นปัณณวีร์ดูเครียดกับงานมากอยู่แล้ว
"ไม่ต้องห่วง พี่คุยกับวีร์แล้ว เขาบอกว่าเขาบริหารเงินได้ แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว"
"ผมอยากไปคอนโด ทำไมแม่ต้องอยากเข้าครัวทุกวันด้วยครับเดี๋ยวนี้" ศิลาขมวดคิ้วเป็ปม ในใจตอนนี้อยากจะไปให้กำลังใจคนพี่มากกว่า
"ไม่รู้สิ อาจจะอยากเอาใจศิแหละ ไถ่โทษที่วันเกิดจำของโปรดผิดแล้วก็ทำให้ศิไม่มีความสุขเลยในวันเกิด วันนั้นคุณแม่ก็ทุกข์ใจเหมือนกันนะ" ศรุตตบไหล่น้องชายเบาๆ อย่างปลอบใจ "แม่เขารักศิมากแต่อาจจะแสดงออกมาไม่เป็เพราะศิเองก็ไม่ได้อ้อนเขาเหมือนอย่างลูกที่อ้อนพ่อแม่"
"ผมโตขนาดนี้แล้ว ยังให้อ้อนอะไรอีกล่ะ" ศิลาหันไปสนใจปลาในบ่อตัวเองต่อ
"ตอนเด็กๆ ก็ใช่จะอ้อนไง ตอนเด็กก็ชอบทำตัวเป็ผู้ใหญ่ พอเป็ผู้ใหญ่ก็ชอบทำตัวเป็คนแก่นะ"
"พี่น่ะสิแก่"
"อายุเท่าวีร์นะเว้ย"
"พี่วีร์หน้าเด็กกว่าพี่หลายเท่า เทียบกันไม่ติด"
"ไอ้น้องคนนี้หนิ" ศรุตส่ายหัวเล็กน้อยกับความเถียงเก่งของน้องชาย หากเป็เมื่อก่อนจะเถียงเก่งแบบนี้หรอ มีแต่เงียบกับเงียบ
บางทีเขาก็ต้องขอบคุณเพื่อนอย่างปัณณวีร์ที่เข้ามาทำให้ชีวิตน้องชายเขามีสีสันั้แ่วันนั้น
ถ้าไม่มีปัณณวีร์ก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าศิลาจะกล้าเป็ตัวของตัวเองกับใครได้บ้าง...
TBC.