“เ้าแน่ใจนะว่าจะไปหานโจว? ” เมื่อชายชุดขาวได้ยินก็มองเซียวชุนเซิงด้วยสายตาเคลือบแคลง “สิ่งที่เ้าควรรู้ไว้ก่อนก็คือ อวิ๋นซานเป็บิดาของชายาหานอ๋อง อวิ๋นซี ซึ่งบุตรเขยเ้าทำให้นางต้องเสียบุตรในครรภ์ไปอย่างเ็ป ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาย่อมต้องเคียดแค้นพวกเ้าสองพ่อลูกเข้ากระดูกดำเป็แน่แท้”
เดิมทีเซียวชุนเซิงยังสงสัยอยู่ว่า คนผู้นี้อาจมีความเกี่ยวข้องใดกับหานอ๋อง ทว่าตอนนี้เริ่มมั่นใจแล้วว่า คงเป็ตัวเองที่คิดมากไปเอง เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็พูดเรียบๆ ว่า “ชีวิตของบุตรสาวข้าสำคัญกว่าสิ่งใด ดังนั้น หากพวกเขาจะเคียดแค้นข้าและบุตรสาวของข้าถึงเพียงนั้นจริงๆ เช่นนั้นก็ให้พวกเขาเอาชีวิตข้าไปแทน ขอเพียงอวิ๋นซานยินดีช่วยเหลือโหรวเอ๋อร์ บุตรสาวข้า”
มิใช่ว่า เซียวชุนเซิงจะหลับหูหลับตาเชื่อมั่นในตัวอวิ๋นซาน แต่เพราะเขาเคยมีโอกาสได้ไปคุมกองทัพปกป้องชายแดนที่ด่านฉีผิงมาก่อน และแน่นอนว่า ย่อมต้องเคยได้ยินชื่อเสียงของท่านหมออวิ๋นแห่งหานโจวมาบ้าง ทั้งยังทราบว่า อวิ๋นซานเป็คนเงียบๆ ชอบเก็บตัว แต่วิชาแพทย์กลับสูงส่งยิ่ง ทั้งยังมีนิสัยประหลาด ไม่รู้เพราะเหตุใดคนถึงไม่ยอมออกจากหานโจวเสียที เหตุที่กล่าวเช่นนี้ เพราะในตอนนั้นตัวเขาเองก็้าคนผู้นี้ให้มาเป็หมอติดตามทัพอยู่ประจำกองทัพ จึงเคยส่งคนไปตั้งหลายครั้งหลายครา ท้ายที่สุดเป็ต้องผิดหวังกลับมาทุกครั้งไป
ชายชุดขาวชัดเจนว่า คิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะตอบเช่นนี้ เขาเงียบไปชั่วครู่ จากนั้นจึงพยักหน้า พูด “ข้าจะให้คนส่งพวกเ้าไปยังหานโจว แต่เ้าจักต้องบอกที่ซ่อนของหญ้าเฟิ่งกู่มา”
“วางใจได้ เมื่อข้าไปถึงหานโจวจักต้องบอกเ้าแน่ว่า หญ้าเฟิ่งกู่อยู่ที่ใด” เมื่อเซียวชุนเซิงพูดจบ ก็หมุนกายไปยังทางเข้ารถม้า
เมื่อชายชุดขาวได้ยินคำตอบที่แสนมั่นอกมั่นใจนั้นก็หันมองสตรีที่ปิดหน้าไปทีหนึ่ง “วันหน้า ให้เ้าติดตามอยู่ข้างกายเซียวโหรวเอ๋อร์ และจงจำไว้ว่า เด็กในท้องของนางจักต้องรักษาเอาไว้ให้ได้ ส่วนตัวนางเองก็จำเป็ให้ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป” ขอแค่เซียวโหรวเอ๋อร์สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดีได้ การจะควบคุมเซียวชุนเซิงก็จะนับว่าง่ายดายขึ้น
รอจนกระทั่งคนทั้งขบวนจากไปหมดแล้ว ชายชุดขาวจึงได้โค้งริมฝีปากขึ้น จากนั้นก็ค่อยๆ ดึงผ้าปิดหน้าของตนเองลงมา และเผยให้เห็นเป็ใบหน้าที่งดงามหล่อเหลาขององค์ชายสี่โอวหยางเทียนหลาน “พี่รองนะพี่รอง ข้าช่วยท่านพาคนไปยังหานโจวแล้วนะ ส่วนเื่ที่ว่าท่านจะทำสำเร็จหรือไม่นั้น คงต้องดูที่ความสามารถของตัวท่านแล้ว”
อินทรีตัวใหญ่ตัวหนึ่งร่อนลงในลานของสวนชิงเฟิง เมื่อเพ่ยเอ๋อร์เห็นเช่นนั้นก็รีบเดินเข้าไปหา จากนั้นจึงดึงกระดาษที่ผูกติดอยู่ที่ขาของอินทรีออกพลางส่งยิ้ม และลูบหัวเ้าอินทรีตัวใหญ่ด้วยความเอ็นดู “ลำบากเ้าแล้ว ทว่า ข้าให้คนจัดเตรียมเนื้ออร่อยๆ ไว้ให้เ้าแล้วนะ”
เมื่อพูดจบ นางก็นำกระดาษม้วนนั้นเดินเข้าไปในห้อง
“ท่านอ๋อง พระชายาเพคะ มีข่าวจากเมืองหลวงส่งมาเพคะ” เพ่ยเอ๋อร์เดินเข้าไป วางกระดาษแผ่นนั้นลงบนโต๊ะด้วยท่าทีนอบน้อม
จวินเหยียนหยิบกระดาษขึ้นมาดู จากนั้นจึงพูดว่า “เกิดเพลิงไหม้ขึ้นที่เรือนจำ สองพ่อลูกตระกูลเซียวและโจวเวยถูกไฟคลอกตาย และเหยื่อมาถึงหน้าประตูแล้ว”
อวิ๋นซีที่กำลังกินข้าวเช้าอยู่ เมื่อได้ยินประโยคสุดท้ายที่ว่าเหยื่อมาถึงหน้าประตูแล้ว นางก็อดยิ้มออกมาไม่ได้ “น้องชายท่านนี่มีอารมณ์ขันจริงๆ เหยื่อมาถึงหน้าประตูแล้วอย่างนั้นหรือ หึหึ ดูท่า เขาอยากจะเห็นกระมังว่าตัวท่านนี้จะจับเ้านักล่าที่ล่าเหยื่อตัวนั้นได้หรือไม่”
“แล้วน้องชายข้าไม่ใช่น้องชายเ้าหรืออย่างไร” จวินเหยียนคีบผักให้นาง จากนั้นก็ยิ้มน้อยๆ
อวิ๋นซีกลอกตา จากนั้นจึงกล่าวต่อ “เมื่อได้หญ้าเฟิ่งกู่มา พวกเราก็จะสามารถเริ่มถอนพิษให้หวานหว่านได้แล้ว” สมุนไพรที่จะใช้สำหรับถอนพิษนั้น อวิ๋นซีรวบรวมมาได้เกือบหมดแล้ว และขาดเพียงหญ้าเฟิ่งกู่ที่อยู่ในมือของชุนเซิง หากได้มาครบเมื่อไรก็จะสามารถลงมือทำยาถอนพิษได้ ด้วยเื่นี้ถือเป็โรคทางใจของนางมาโดยตลอด เพราะตัวนางเองไม่อาจเห็นหวานหว่านเป็เหมือนคนปกติได้ ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็ไม่อาจวางใจได้จริงๆ สักที
ตอนนี้มีต้านีเอ๋อร์กับเอ้อนีมาอยู่เป็เพื่อนบุตรสาว ทำให้นางได้ยินเสียงหัวเราะของเด็กน้อยอยู่ทุกวี่วัน ได้เห็นคนส่งเสียงโหวกเหวก เล่นสนุกเหมือนเด็กในวัยเดียวกันบ้าง ก็ทำให้นางเบาใจขึ้นมาก อีกทั้ง ความรักของมารดาที่ลูกไม่ได้รับมาตลอดสองปีนั้น ในอนาคตข้างหน้านางจะพยายามชดเชยให้ได้มากที่สุด
ทว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือ ลูกของนางจำต้องมีร่างกายที่แข็งแรงก่อน นางถึงจะชดเชย่เวลาที่สูญเสียไปให้ได้ ถึงกระนั้นตัวนางก็รู้แต่แรกแล้วว่า หญ้าเฟิ่งกู่นั้นอยู่ในมือของเซียวชุนเซิง แต่หลังจากที่ได้เจอโจวเวยแล้วถึงได้จัดการใช้แผนซ้อนแผน ทางหนึ่งก็เพื่อ้ากำจัดคนผู้นี้ให้พ้นทางพร้อมทั้งพาให้เ้าเซียวชุนเซิงนี่ตายไปพร้อมๆ กัน เพราะหากเป็เช่นนี้ โอวหยางเทียนหัวก็ราวกับเสียแขนไปข้างหนึ่งแล้ว
มิคาดจวินเหยียนกลับคิดอยากจะได้ผู้บัญชาการองครักษ์ หรืออดีตรองแม่ทัพประจำด่านฉีผิงเซียวชุนเซิงผู้นี้มาอยู่ในอาณัติ ด้วยเหตุนี้ พวกนางจึงได้แต่ต้องให้องค์ชายสี่ใช้แผนซ้อนแผนอีกทอดหนึ่ง
“ทำให้เ้าต้องกังวลและเหน็ดเหนื่อยแล้ว เป็ข้าที่เป็ทั้งบิดาและสามีที่ทำได้ไม่ดีพอ” เขาทำให้ภรรยาต้องคิดมากเื่บุตรสาว ทั้งยังทำให้บุตรสาวต้องได้รับความเ็ปเช่นนี้ ไม่ว่าจะด้านไหนก็ล้วนเป็เพราะเขาที่ทำได้ไม่ดีพอ
อวิ๋นซีเพียงส่งยิ้มบางๆ ให้ ถึงแม้ตอนนี้นางจะไม่คิดขับไล่ไสส่งบุรุษผู้นี้เหมือนดังเก่าแล้ว แต่ั้แ่ต้นจนถึงตอนนี้ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่นางจะถือโทษเขา เพราะเื่ที่หวานหว่านเป็บุตรสาวแท้ๆ ของเขานั้น ั้แ่แรกเริ่มทุกสิ่งล้วนเป็เพียงความบังเอิญอันน่าประหลาด หรือเื่ที่ตนแต่งให้เขาเองก็เช่นกัน และแม้ตอนนี้ระหว่างนางกับเขาจะมีหวานหว่านเพิ่มเข้ามา ทำให้มีเื่ให้พูดคุยกันมากขึ้น แต่หากหวังจะให้นางอยู่กับเขาโดยไร้ความกังวล หรือเกรงกลัวใดๆ เลยก็ยังถือว่าเป็เื่ยาก เพราะนางยังไม่มีความกล้านั้นอยู่ดี
“เหตุใดท่านถึงได้เชื่อใจน้องสี่มากเพียงนั้น ท่านไม่กลัวหรือว่าเขาจะทรยศท่าน” อวิ๋นซีหวนนึกถึงเื่ที่เขาไหว้วานให้องค์ชายสี่ทำ หรือก็คือการจัดการกับเซียวชุนเซิงนั่นเอง ไม่ว่าจะพูดออกไปอย่างไรก็ล้วนไม่ใช่เื่ที่ดีนัก อีกทั้ง หากถูกฮ่องเต้ล่วงรู้เข้า พระองค์ย่อมต้องยิ่งพิโรธเสียจนวันหน้าก็อาจไม่มีแม้โอกาสให้เขาได้กลับไปยังเมืองหลวงอีกแล้ว
เมื่อจวินเหยียนได้ยินก็หัวเราะหึหึ “แรกเริ่มเดิมที ตัวข้าเองก็ยังลังเลอยู่บ้างว่าจะเชื่อใจเ้าสี่ดีหรือไม่ เพราะต่อให้ตอนเด็กๆ พวกเราจะดีต่อกันสักเพียงไร แต่จวบจนบัดนี้เราสองพี่น้องก็มิได้เจอหน้ากันมาหลายปีแล้ว จึงไม่อาจแน่ใจได้ว่า ความสัมพันธ์พี่น้องของเราจะยังเหมือนเมื่อก่อนหรือไม่? เพราะเ้าก็รู้ว่าราชวงศ์นั้นไม่มีบิดาและบุตร ไม่มีพี่น้อง แต่ว่า ข้าก็ยังอยากที่จะเลือกเชื่อใจเ้าสี่สักครั้ง เพียงเพราะว่าเขาคือเ้าสี่”
เมื่ออวิ๋นซีได้ยินก็อดมองจวินเหยียนไม่ได้ ก่อนจะพยักหน้ารับ “หวังว่าเขาจะไม่ผิดต่อความเชื่อใจของท่าน” มิเช่นนั้น ผลลัพธ์หลังจากนี้ก็นับว่ายากจะคาดเดาจริงๆ แล้ว
จวินเหยียนกับอวิ๋นซีพูดคุยกันอีกครู่หนึ่ง ไม่นานก็มีคนมาเรียกตัวจวินเหยียนไป ขณะที่ฉุนเอ๋อร์ก็เดินเข้ามาพร้อมด้วยเตี๋ยอีในชุดกระโปรงสีอ่อนที่ติดตามมาด้านหลัง
เตี๋ยอีโขกศีรษะคารวะให้อวิ๋นซีด้วยท่าทีมึนมึนงงงง จนถึงตอนนี้นางก็ยังรู้สึกไม่อยากจะเชื่ออยู่ เพราะวันนั้นต้องเจอกับเื่ที่อันตรายเพียงนั้น ไม่ใช่แค่เกือบจะเสียตัว แต่ยังถูกคนขายให้หอคณิกาไปแล้ว โชคดีที่มีใครบางคนช่วยไว้ และพาไปยังสถานที่ที่ปลอดภัย นางจึงได้พักรักษาตัวอยู่่หนึ่ง
ก่อนหน้านี้แม้นางจะเคยคิดถึงเื่ของผู้มีพระคุณที่ช่วยนางไว้ แต่ก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะเป็ชายาหานอ๋อง อวิ๋นซี
“เป็อย่างไร? ได้เจอเปิ่นเฟยแล้วรู้สึกประหลาดใจมากหรือ? หรือเพราะตัวเ้าเองก็เคยช่วยหยวนอวี่คิดแผนการเพื่อหวังจะให้นางได้กลายเป็สตรีของท่านอ๋อง? ”
เตี๋ยอีอึ้งไป นางเคยช่วยคุณหนูวางแผนจริงๆ แต่โชคร้ายที่คุณหนูไม่เคยเชื่อคำนางเลย ทำให้นางต้องทำทุกอย่างด้วยตัวคนเดียวตลอด แต่ว่า เื่พวกนี้ไม่ใช่แค่พวกนางสามคนที่รู้หรอกหรือ เหตุใดชายาหานอ๋องเองก็ทรงทราบด้วย?
“ที่นี่คือบ้านของข้า ทั้งจวนนี้ก็เป็บ่าวรับใช้ของข้าทั้งหมด เ้าว่าด้วยเื่นี้จะเป็ไปได้หรือที่เปิ่นเฟยจะไม่รู้? ” เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ อวิ๋นซีก็อดหัวเราะเ็าออกมาไม่ได้ “เตี๋ยอี เ้าเป็คนฉลาดผู้หนึ่ง เพราะเ้ารู้ว่า หากอยากจะได้ใจท่านอ๋องก็จำต้องทำให้จวิ้นจู่น้อยชอบหยวนอวี่ก่อน ทั้งยังต้องเปลืองแรงไปโน้มน้าวหยวนอวี่อีกมาก เพราะการไม่แย่งชิงคือการแย่งชิงที่ดีที่สุด แต่ที่น่าเสียดายก็คือ หยวนอวี่ไม่เคยเข้าใจในความเหน็ดเหนื่อย และความยากลำบากเหล่านี้ของเ้าเลย มิหนำซ้ำยังคิดว่าเ้าคอยถ่วงนางอยู่เื้ัเสมอมา ทั้งยังคิดไปถึงว่า ตัวเ้านี้จะเป็สายลับคนหนึ่ง”