เช้าวันต่อมา เซี่ยโม่ตื่นแต่รุ่งสางเพื่อเตรียมอาหารเช้า ทำเสร็จแล้วถึงค่อยไปปลุกน้องชาย
หลังจากเธอกับน้องชายกินข้าวเสร็จ ก็จัดของใส่ในกระเป๋านักเรียนให้เรียบร้อย เธอหยิบกระติกน้ำสำหรับทหารออกมาจากในโกดังสินค้า ใส่น้ำอุ่นให้น้องชายไว้ดื่มที่โรงเรียน
ในยุคนี้กระติกน้ำทหารและหมวกทหารเป็สิ่งของที่หาได้ยาก
เซี่ยเฉินเฟิงสะพายกระติกน้ำอย่างโอ้อวด
คุณยายเห็นเข้าก็เอ่ยถามอย่างสงสัย “โม่โม่ ใครให้กระติกน้ำใบนี้มาเหรอ”
“พี่ซ่งให้มาค่ะ” เธอโกหก
“เด็กคนนี้เอาใจใส่ดีจริงๆ กระติกน้ำนี้ดี ให้เฉินเฟิงเอาไปโรงเรียน เวลาหิวน้ำจะได้มีน้ำดื่ม”
“ใช่ค่ะ มีประโยชน์มาก” เซี่ยโม่รีบเออออตามทันที
เตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยเธอขี่จักรยานพาน้องชายออกจากบ้าน ครั้นไปถึงหน้าบ้านผู้ใหญ่บ้าน ขณะกำลังจะะโเรียกคนด้านใน ประตูบ้านกลับถูกเปิดเสียก่อน พร้อมสือโถวน้อยที่สะพายกระเป๋าวิ่งออกมา “พี่โม่โม่ ผมตื่นั้แ่เช้าแล้ว กำลังรอพี่กับเฉินเฟิงอยู่ครับ”
คุณอาเหมยฮวายืนอยู่ตรงประตู ในมือของเธอถือไข่ไก่เอาไว้ “โม่โม่ กินอะไรแล้วหรือยัง”
“คุณอา หนูกินแล้วค่ะ สือโถวยังไม่ได้กินข้าวเช้าเหรอคะ”
“กินแล้วเหมือนกัน สือโถวกับเฉินเฟิงยังเด็ก อากลัวตอนเที่ยงทั้งสองคนจะหิวก็เลยต้มไข่ให้คนละฟอง” คุณอาเหมยฮวาตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนใจดี
เซี่ยโม่ซาบซึ้งใจอย่างมาก คุณอาเหมยฮวาคงเห็นเธออุตส่าห์ขี่จักรยานมารับสือโถวไปโรงเรียนด้วยก็เลยอยากตอบแทนเล็กๆ น้อยๆ
เธอตัดสินใจอย่างแน่วแน่ พอไปถึงโรงเรียนเธอจะให้ของกินเพิ่มกับทั้งคู่ เป็ขนมปังกรอบคนละหนึ่งห่อและลูกอมอีกคนละสองเม็ด
คุณอาเหมยฮวามีนิสัยเอาใจใส่ จะต้องถามสือโถวแน่นอน หรือถ้าไม่ถามก็ไม่เป็ไร แค่ได้แบ่งปันให้เธอก็พอใจแล้ว
เซี่ยโม่ขี่จักรยานพาเด็กทั้งสองคนไปที่โรงเรียนประถม ไม่นานก็มาถึงหน้าโรงเรียน
เธอลงจากรถ ก่อนจะอุ้มเด็กทั้งสองคนลงมา
เธอหยิบลูกอมนมจากในกระเป๋าสี่เม็ด ขนมปังกรอบอีกสองห่อ แบ่งให้เด็กชายทั้งสองคนละครึ่ง “ทั้งสองคนเอาลูกอมไปคนละสองเม็ดแล้วก็ขนมปังกรอบคนละห่อนะ ตอนเรียนตั้งใจฟังคุณครู ห้ามทะเลาะกับเพื่อน เลิกเรียนแล้วก็รอพี่อยู่หน้าโรงเรียน ถ้าพี่ไม่มาก็ค่อยเดินกลับกันเอง”
“พี่ครับ พี่พูดย้ำหลายรอบแล้ว วางใจเถอะครับ พวกเราจะไม่ดื้อไม่ซน” เซี่ยเฉินเฟิงรับขนมไป
เธอมองเด็กทั้งสองเดินเข้าโรงเรียนไปก่อนจะขี่จักรยานออกมา
โรงเรียนประถมเข้าเรียนตอนแปดโมงสิบนาที ที่ตัวเธอตอนนี้ไม่มีนาฬิกา แต่ในโกดังสินค้ามีอยู่หลายเรือน
เธอหยิบนาฬิกาเรือนหนึ่งออกมาปรับเวลา จากนั้นเอาวางไว้ในโกดังสินค้าตรงจุดที่สามารถมองเห็นได้ง่าย เพื่อจะได้ดูเวลาได้สะดวกทุกเมื่อ
หลังจากส่งเด็กชายทั้งสองคนเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้หน้าปัดนาฬิกาแสดงเวลาเจ็ดโมงห้าสิบนาที ยังเหลือเวลาอีกยี่สิบนาทีกว่าจะถึงเวลาเข้าเรียนของเธอ
เซี่ยโม่รีบขี่จักรยานไปที่โรงเรียน ก่อนจะมาถึงที่หมายในเวลาไม่นาน ประตูใหญ่ด้านหน้ายังคงเปิดค้างอยู่ มีเด็กนักเรียนเดินเข้าไปในโรงเรียนไม่ขาดสาย
่นี้คงเป็่เวลาที่เด็กทยอยมาโรงเรียน ถึงได้ไม่มียามเฝ้าอยู่หน้าประตู
เธอจูงรถจักรยานไปตรงบริเวณจุดจอดจักรยาน คล้องโซ่ที่ล้อเสร็จเรียบร้อยก็รีบวิ่งไปยังห้องทำงานของคุณครู
เซี่ยโม่มองนาฬิกาในโกดังสินค้าอีกครั้ง ยังเหลืออีกแปดนาทีก็จะถึงเวลาเข้าเรียน
คิดในใจว่าวันแรกมาเรียนสายคงไม่เป็ไร เพราะสามารถอ้างว่าไปทำเื่ย้ายที่โรงเรียนเก่ามาได้
แต่เธอไม่อยากให้ตัวเองติดนิสัยมาสายจนกลายเป็ความเคยชิน และไม่อยากให้คุณครูมีภาพจำต่อเธอในเชิงลบ
วันแรกเธอไม่ได้คำนวณเวลาให้ดี พรุ่งนี้ค่อยแก้ตัวใหม่ ห้องทำงานของคุณครูอยู่ไกลกว่าตึกเรียน พรุ่งนี้เธอต้องมาเข้าเรียนให้ทันเวลานี้ให้ได้
เซี่ยโม่เคาะประตูก่อนจะเดินเข้าไปในห้องทำงานของคุณครู
“คุณครูเจิ้งคะ นี่หนังสือย้ายโรงเรียนของหนูค่ะ วันนั้นหนูลืมถามไปสนิทเลยว่าห้องเรียนของหนูอยู่ห้องไหน” เธอเอ่ยถามอย่างนอบน้อม
เวลานี้เองที่เสียงออดเข้าเรียนดังขึ้น
“เอาวางไว้ตรงนี้ ห้องเรียนเธออยู่ชั้นหนึ่ง เดินเข้าไปแล้วเลี้ยวซ้าย วันนี้มาสายไปหน่อย ต่อไปมาให้เร็วกว่านี้ล่ะ” คุณครูเจิ้งตอบด้วยท่าทางและน้ำเสียงใจดี
กลัวอะไรมักจะได้อย่างนั้นจริงๆ!
ตามหลักแล้ว เสียงออดดังตอนที่เธอเดินเข้ามาในห้องทำงานของคุณครู แม้จะไม่ได้อยู่ในห้องเรียนก็ถือว่ามาทันไม่ใช่หรือ เช่นนั้นทำไมคุณครูถึงบอกว่าเธอมาสายกันล่ะ?
เดิมทีคิดจะอธิบายออกไปว่า ที่มาเวลานี้เป็เพราะเธอไปทำเื่ย้ายที่โรงเรียนเก่า แต่พอเจอกับแววตาคมกริบของคุณครูเจิ้งที่มองมา เซี่ยโม่ก็ไม่กล้าพูดออกไป
ชาติที่แล้วเธอเคยเห็นบทความในอินเทอร์เน็ตว่า ความหวาดกลัวที่นักเรียนมีต่อคุณครูจะมาจากจิตใต้สำนึก ซึ่งมันก็เป็แบบนั้นจริงๆ แม้จะมีชีวิตอยู่มาถึงสองชาติ แต่เธอก็ยังเกรงกลัวคุณครูอยู่ดี
เธอได้แต่กลืนคำอธิบายลงท้อง หน้าขึ้นสีแดงจางๆ ขณะเอ่ยอย่างสงบเสงี่ยม “ค่ะ งั้นหนูขอตัวไปเข้าเรียนก่อนนะคะ”
หลังเดินออกจากห้องทำงานของคุณครู เธอก็รีบวิ่งตรงไปที่ห้องเรียน
เซี่ยโม่วิ่งเข้าไปในตึกเรียน วิ่งต่อไปอีกไม่นานก็มาถึงหน้าห้องเรียนของชั้นมัธยมปลายปีที่หนึ่งซึ่งเป็ห้องของเธอ
ยกมือเคาะประตูตามมารยาท ไม่นานเสียงคุณครูก็ดังลอดออกมา “เข้ามา”
เมื่อเปิดประตู พบว่าด้านในมีคุณครูผู้หญิงอายุประมาณสามสิบกว่าปีคนหนึ่งกำลังสอนอยู่หน้าชั้นเรียน
“คุณครูคะ หนูเพิ่งเอาหนังสือย้ายไปส่งให้คุณครูเจิ้งมาค่ะ” เธอกล่าวอย่างนอบน้อม
“เลือกที่นั่งได้ตามสบาย แล้วก็ต่อไปอย่ามาสายอีกล่ะ”
ให้ตายเถอะ อุตส่าห์บอกว่าเพิ่งไปส่งหนังสือย้ายโรงเรียนให้คุณครูเจิ้งมาก็ยังจะถูกหาว่ามาสายอีกหรือ
เธอรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความเป็ธรรมเอาเสียเลย!
เธอมาถึงโรงเรียนก่อนเวลาเข้าเรียนตั้งแปดนาที ถ้าไม่ไปส่งหนังสือย้ายโรงเรียน และรู้ว่าห้องเรียนอยู่ที่ไหน มีหรือที่เธอจะมาสาย
ท่ามกลางสายตาของนักเรียนคนอื่นที่มองมา หากโต้แย้งออกไปจะมีประโยชน์อะไร
คุณครูคงจะตัดคำว่า ‘ถ้า’ ของเธอออก ซึ่งผลลัพธ์ก็จะยังเป็แบบนี้เหมือนเดิมอยู่ดี
“ค่ะ” เซี่ยโม่รับคำด้วยสีหน้าหม่นเศร้า จำยอมรับสถานภาพมาสายไปโดยปริยาย
เธอเลื่อนสายตาเข้าไปในห้องเรียน โต๊ะด้านหน้าถูกจับจองเต็มหมดแล้ว ที่ยังว่างอยู่มีแค่ที่นั่งด้านหลังสองตัว
เธอเดินไปยังสองที่นั่งด้านหลัง ก่อนจะเลือกปักหลักที่โต๊ะหนึ่งแล้วหย่อนตัวนั่งลง
คุณครูเริ่มทำการสอนต่อ ตอนนี้เธอถึงได้รู้ว่าบุคคลที่สอนอยู่หน้าชั้นเรียนคือคุณครูวิชาภาษาและวรรณคดี
เซี่ยโม่ไม่ได้เข้าเรียนมาเป็สิบปี แต่พอได้กลับชาติมาเกิดใหม่ ทำให้มีโอกาสนั่งเรียนอีกครั้ง ทำเอารู้สึกตื่นเต้นไม่น้อย
นั่งเรียนไปสักพักใหญ่ เธอรู้สึกว่าคุณครูท่านนี้สอนได้ไม่ค่อยดี มีตัวหนังสือบางตัวที่ยังออกเสียงไม่ถูกต้อง
เธอลอบถอนหายใจ ปีนี้ยังไม่มีการจัดสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัย คุณภาพของคุณครูที่สอนชั้นมัธยมปลายในโรงเรียนทั่วไปและในโรงเรียนทหารเลยอยู่ในระดับธรรมดา
เธอคิดถึงครูวิชาภาษาและวรรณคดีกับวิชาคณิตศาสตร์ในสมัยที่เธอเรียนอยู่มัธยมปลายในชาติที่แล้ว ทั้งสองท่านสอนได้ดีมาก
เธอเรียนชั้นมัธยมปลายเร็วกว่าชาติที่แล้วหนึ่งปี อาจารย์ทั้งสองท่านนั้นน่าจะได้มาสอนนักเรียนชั้นมัธยมปลายปีที่หนึ่งในปีหน้า
สมัยนี้ระดับมัธยมตอนต้นกับระดับมัธยมตอนปลายเรียนอย่างละสองปี ในปี 1979 ระดับมัธยมปลายถึงเปลี่ยนหลักสูตรเป็เรียนสามปี
ระหว่างนี้เธอจะทำอะไรดี ในเมื่อคุณครูสอนไม่ค่อยละเอียด เช่นนั้นเธออ่านหนังสือเอาเองก็แล้วกัน
ข่าวการกลับมาจัดสอบคัดเลือกเข้ามหาวิทยาลัยจะเริ่มมีออกมาตอนฤดูใบไม้ร่วงปีหน้า ก่อนจะถึงตอนนั้นเธอต้องทบทวนทุกวิชาให้ครบ
เซี่ยโม่หยิบสมุดกับปากกาออกมาจากในกระเป๋านักเรียน เริ่มขีดเขียนตามความคิดและความเข้าใจของตนเอง
จากนั้นเสียงการสอนของคุณครูก็เป็เพียงแค่เสียงประกอบ
เวลา่เช้าผ่านไปอย่างรวดเร็ว เธอนึกขึ้นมาได้ว่าตอนเที่ยงต้องไปรับเงินค่าของที่ฝากพี่โซ่วจื่อกับพี่พั่งจื่อขายให้
เธอไม่มีเวลาทำอาหารให้พี่ทั้งสองคน เช่นนั้นเธอหากินเองก่อนไปที่นั่นก็แล้วกัน
เธอกินบะหมี่เส้นเละๆ รสชาติจืดชืดในโรงอาหารของโรงเรียน ก่อนจะขี่จักรยานไปที่บ้านของพี่โซ่วจื่อกับพี่พั่งจื่อ
ไปถึงหน้าบ้านก็ได้กลิ่นหอมของเนื้อลอยออกมา เธอคาดเดาในใจ หรือว่าพี่ซ่งจะกลับมาแล้ว?
เพิ่งกลับมาทำไมถึงมาที่ตำบลไท่ผิงเลยล่ะ ไม่ใช่ว่าต้องไปรายงานตัวกับที่ทำงานก่อนหรือ?