อวี๋มู่ตะลึงงัน แล้วมองไปที่หย่งอวี้ กลับพบว่าความเศร้าสลดของอีกฝ่ายที่ปรากฏเมื่อครู่หายไปทันใด ราวกับว่าเมื่อครู่แค่รู้สึกไปเอง
และตอนนี้บนศีรษะของหย่งอวี้ จู่ๆ ก็ปรากฏแถบคะแนนความประทับใจออกมาสองแถว โดย้าที่เคยค้างนิ่งอยู่ที่สามดวง ในที่สุดตอนนี้ก็ขึ้นมาอีกครึ่งดวง กลายเป็สามดวงครึ่งอย่างน่ายินดี
แต่อวี๋มู่กลับรู้สึกขนลุกอย่างไม่มีสาเหตุ และมีลางสังหรณ์ไม่ดีบางอย่าง
“แต่อาตมาเชื่อมั่นว่าเวลาจะเปลี่ยนแปลงทุกสิ่ง ขอเพียงข้าฝักใฝ่คุณธรรม วันหนึ่งต้องได้รับการยอมรับจากผู้คน…” กล่าวถึงตรงนี้ เขาก็หยุดชะงัก มองอวี๋มู่แล้วเอ่ย “เหมือนตอนนี้ อาตมารู้แล้วว่าในบรรดาิญญาก็มีทั้งดีและเลว โยมอวี๋ยอมสวดมนต์ฟังธรรมพร้อมกับข้า นี่คือสิ่งที่อาตมาไม่กล้าแม้แต่จะคิดมาก่อน”
อวี๋มู่ปลอบใจตัวเองว่าเมื่อครู่เป็เพียงความรู้สึกคิดไปเอง เขาทำท่าขึงขัง “อาจารย์สามารถมองเื่เหล่านี้ได้ทะลุปรุโปร่ง อวี๋มู่นับถือยิ่งนัก ต่อไปอวี๋มู่ต้องศึกษาเรียนรู้จากอาจารย์ให้มากกว่านี้”
กล่าวจบ เขาก็มองหย่งอวี้ กลับเห็นนักบวชน้อยมองออกไปนอกหน้าต่างเจิ้นเยา มีแสงลอดเข้ามา แต่กลับส่องโดนเพียงชายเสื้อของเขาเหมือนแต่เดิม
“อันที่จริง…” ริมฝีปากบางของเขาขยับ แล้วเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “รู้สึกอยากจะดอมดมกลิ่นหอมของดอกไม้”
ในเจดีย์นั้นทั้งอับและมืด นอกจากแสงที่ลอดผ่านหน้าต่างมาเล็กน้อยนี้แล้ว เบื้องล่างล้วนมีแต่เงามืด
แต่กลับมีนักบวชน้อยท่าทางเรียบง่ายและสะอาดซ่อนอยู่ในเงามืดนั้น น้ำเสียงต่ำจนแทบเลือนราง
อวี๋มู่นิ่งอึ้งไปเล็กน้อย เขาเกิดความรู้สึกเศร้าและเสียใจแทนหย่งอวี้ขึ้นมาในใจ
“อาจารย์ สิบสามปีมานี้ ท่านไม่เคยออกจากแท่นหินนั่นเลยหรือ? ”
หย่งอวี้กับอวี๋มู่รู้จักกันมาหลายเดือน ่กลางวันเขาไม่เคยก้าวออกจากพื้นที่เล็กน้อยตรงนั้น
หากว่าสิบสามปีที่ผ่านมา เป็เช่นนี้มาตลอด ถึงตอนนี้เขายังไม่บ้า นี่มันช่างเหลือเชื่อเกินไป!
จากนั้น เขาก็พยักหน้าให้อวี๋มู่
“อาตมาไม่อาจก้าวออกจากที่นี่ได้” เขาเอ่ย “เพราะจะมีอันตราย”
“อันที่จริง…” อวี๋มู่อยากจะบอกว่าที่จริงเฟิงอวี้นั้นแข็งแกร่งจนิญญาเ่าั้ต่างหวาดกลัว เขาสามารถออกจากแท่นหินได้ อย่างน้อยให้ได้ไปยืนมองออกไปที่หน้าต่างก็ยังดี แต่เขาก็นึกได้ว่าเคยรับปากเื่นี้ไว้ ด้วยไม่อยากให้หย่งอวี้ล่วงรู้ได้ว่าเฟิงอวี้ยังมีตัวตนอยู่ จึงได้แต่อัดอั้นไว้
ในหัวสมองมีความคิดหลายอย่าง อวี๋มู่ถามเขา “อาจารย์เชื่อมั่นในตัวข้าหรือไม่? ”
หย่งอวี้ไม่เข้าใจความหมายที่เขาถาม แต่ก็ยังตอบ “อาตมาเชื่อมั่นในตัวโยมอวี๋แน่นอน”
อวี๋มู่ยื่นมือออก แล้วเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นยื่นมือให้ข้า ข้าจะกำบังท่านไว้ ให้ท่านได้ไปดูหน้าต่างสักหน่อย”
หย่งอวี้ชะงัก เขามองอวี๋มู่อย่างนึกสงสัยสลับลังเล
“โยมอวี๋ ข้า…” เขาขบริมฝีปากล่าง เกิดหวาดกลัวต่อการเดินออกจากตรงนี้
อวี๋มู่คือิญญา ส่วนเขาคืออสูรฟ้า
หากอวี๋มู่ได้กินเขา ต้องเพิ่มพลังขึ้นเป็พันปีแน่ หรือบางทีอาจจะหนีออกจากเจดีย์เจิ้นเยาและเป็อิสระ
ตอนนี้เขาไม่มีพลังใด ส่วนอวี๋มู่มีเวทมนตร์
หากว่าเขาเดินไปข้างอวี๋มู่ จะถูกิญญาพิศวาสตัวนี้หักหลัง และลงเอยอย่างน่าอนาถหรือไม่?
ทว่า…แล้วอย่างไรเล่า?
จู่ๆ ในหัวก็มีความคิดต่อต้านขึ้นมาก
รอยยิ้มของหย่งอวี้เลือนหายไป
เป็ตายสำหรับเขา มีความสำคัญถึงเพียงนั้นเชียวหรือ?
ถูกขังมากว่าสิบสามปี ไม่รู้ยามใดจะสามารถก้าวออกจากสถานที่อันมืดมิดตรงนี้ได้ เขามีชีวิตเยี่ยงนี้ ต่างจากตายแล้วตรงไหน?
ถ้าเปลี่ยนคำพูด หากว่าเขาตายแล้วได้เติมเต็มิญญาพิศวาสตรงหน้าตัวนี้ เขากลับรู้สึกว่าคุ้มค่า
คิดได้เช่นนั้น หย่งอวี้ก็ลุกขึ้นยืน ก้าวย่างออกไป และเป็ครั้งแรกที่ก้าวออกจากแท่นหิน
โซ่เส้นยาวล่ามอยู่ด้านหลัง มันส่งเสียงดังเมื่อถูกับพื้น เด็กหนุ่มหล่อเหลาร่างสูงโปร่งยืนอยู่ตรงหน้าอวี๋มู่
เขาตัวสูงกว่าอวี๋มู่ครึ่งศีรษะ แต่กลับไม่ให้ความรู้สึกกดขี่เหมือนเฟิงอวี้ ท่วงท่าสง่างามสุขุมดุจดังเทพเซียน
หย่งอวี้วางมือตัวเองลงบนฝ่ามืออวี๋มู่ แล้วยิ้มให้กับเขา “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนโยมอวี๋ด้วย”
อวี๋มู่ได้สติ ก็รีบช่วยหย่งอวี้บดบังลมหายใจ จูงเขาเดินไปยังหน้าต่างชั้นสิบแปด
หย่งอวี้จับมืออวี๋มู่ไว้แน่น เขายืนอยู่ตรงนั้น แล้วมองไปยังท้องฟ้าสีคราม เห็นก้อนเมฆสะอาดตาและต้นไม้เขียวขจีข้างใต้เจดีย์กับวัดโบราณเก่าแก่อันโอฬาร
อวี๋มู่รู้สึกได้ถึงแรงบีบของเขา แรงเสียจนร่างิญญาของเขารู้สึกเจ็บ
จากนั้น เขาเห็นหย่งอวี้ยิ้ม
จากยิ้มกลายเป็ร้องไห้
นักบวชน้อยจับขอบหน้าต่างแน่น พลางมองดูทิวทัศน์เบื้องล่างด้วยน้ำตาอาบหน้า
ลำคอเขาอัดอั้น เริ่มแรกไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมา มีเพียงน้ำตาไหลรินออกมาอย่างเงียบๆ จนอวี๋มู่มองแล้วรู้สึกอึดอัดใจ
ผ่านไปนานสักพัก หย่งอวี้ก็เม้มปาก แล้วใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตา ก่อนจะเอ่ยปากพูดกับอวี๋มู่ “ทำเื่น่าอายต่อหน้าโยมอวี๋แล้ว”
“มิได้ มิได้” อวี๋มู่รีบปลอบเขา “หากอวี๋มู่ประสบเื่ราวเดียวกันกับอาจารย์ เห็นทีคงกลายเป็มารวิปริต ไม่มีทางใจกว้างเหมือนอาจารย์หรอก”
หย่งอวี้มองดูิญญาพิศวาสที่อยู่ใกล้แค่คืบ แล้วนึกขึ้นได้ว่าตัวเองจับมืออวี๋มู่อยู่ตลอดเวลา อารามใ จนรีบปล่อยมือ แล้วเอ่ยกับอวี๋มู่ “ขอบใจโยมอวี๋ที่พาข้ามาดูทิวทัศน์เช่นนี้ ต่อไป…”
“ต่อไปก็ต้องไปดู” อวี๋มู่ขัดคำพูดเขา เผยรอยยิ้มจริงใจ แล้วเอ่ย “ท่านต้องออกจากเจดีย์เจิ้นเยาได้แน่ ออกไปััในสิ่งที่ท่านอยากัั ใช้ชีวิตตามที่ท่าน้า”
หย่งอวี้อึ้งไป มองดูิญญาพิศวาสนิ่งๆ อย่างนั้น สายตาหยุดอยู่ที่ดวงตาคู่สีน้ำตาลที่อ่อนโยนใสสะอาด ทั้งๆ ที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางสีแดงเหมือนปีศาจ
นานสักพัก เขาเอ่ยปากอีกครั้ง “โยมอวี๋ ชาติที่แล้วเ้าต้องเป็คนอ่อนโยนมากคนหนึ่งแน่ๆ ”
*
กลางวันปลอบหย่งอวี้ พอตกกลางคืนจู่ๆ เฟิงอวี้ก็เริ่มหาเื่ให้เขา
จากเดิมที่ควรเล่านิทานก็ไม่ยอมให้เล่า นั่งอยู่อย่างนั้น พลางจ้องมองเขาอยู่เงียบๆ
จ้องเขม็งจนอวี๋มู่รู้สึกขนลุก
“ใต้เท้าเฟิงอวี้ มีเื่อันใดเล่า? ”
ความนัยแฝงคือ : เ้าบ้า มีเื่อะไรก็พูดมาตรงๆ!
แต่ความในใจนี้เขาไม่กล้าเอ่ย ถึงอย่างไร เมื่อไม่กี่วันก่อนหน้านี้ คะแนนความประทับใจของหมอนี่ก็เพิ่งจะเพิ่มขึ้นมาครึ่งดวง จะลดลงเมื่อไรก็ได้ ดังนั้นเขาต้องรวบรวมสติรับมือกับเขา
“วันนี้เ้ายิ้มให้หย่งอวี้” ครั้งนี้เฟิงอวี้นั่งห่างจากเขามาก เปลี่ยนแปลงท่าทางอันธพาลแบบเดิมๆ เหมือนว่ากำลังเลียนแบบท่านั่งคุกเข่าคล้ายกับหย่งอวี้
เขาเอ่ย “เ้ายิ้มแล้วดูสวยมาก แต่ตอนที่อยู่กับข้า เ้าไม่เคยยิ้มเช่นนั้นมาก่อน”
อวี๋มู่อยู่ต่อหน้าเขา ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดี
“อวี๋มู่ เทียบกับข้าแล้ว เ้าชื่นชอบหย่งอวี้มากกว่าสินะ? ” เฟิงอวี้เอ่ย “แต่ทั้งๆ ที่เ้ารู้ว่าอีกสองปีข้าจะร่างนี้โดยสมบูรณ์ หย่งอวี้ต้องถูกข้ากำจัด เขาไม่มีทางมีความคิดออกจากที่นี่เพื่อไปใช้ชีวิตข้างนอกตราบชั่วชีวิต”
เขาสรุป “ดังนั้น เ้ากำลังหลอกเขาใช่หรือไม่? ”
เขาตอกย้ำกับตัวเองอีกรอบ “ต้องกำลังหลอกเขาอยู่แน่ๆ ”
แต่ต่อมา เขาก็เอ่ยอีก
“หากไม่ได้หลอกเขา…”
แววตาเฟิงอวี้มืดมนลง เขาถูมือเบาๆ แล้วช้อนตาขึ้น ปานสีแดงตรงหน้าผากแยงตา “นั่นก็เท่ากับว่าเ้าคิดช่วยพวกลาหัวโล้นกำจัดข้า เหลือไว้เพียงหย่งอวี้ และให้เขาหนีออกจากที่นี่! ”
คำพูดสุดท้ายแทบจะแผดเสียงออกมา
เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืน ความน่ากลัวแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งเจดีย์เจิ้นเยา พลังแรงพุ่งตรงไปที่อวี๋มู่
อวี๋มู่รู้สึกเพียงสมองหยุดชะงักไปชั่วขณะ พริบตาต่อมาเฟิงอวี้ก็อยู่ตรงหน้าเขา
ชั่วระยะเวลาหนึ่ง นักบวชน้อยดวงตาย้อมเป็สีแดงสด เขาใช้สองมือบีบคออวี๋มู่ให้เข้ามาใกล้เขา แล้วเอ่ยเสียงต่ำ “แต่ว่านะ อวี๋มู่”
“เ้าอย่าได้คิดจะกำจัดข้า พวกเ้าไม่ว่าใครหน้าไหนก็กำจัดข้าไม่ได้! ร่างนี้เป็ของข้า ไม่ใช่ของหย่งอวี้! ถ้าจะตาย ก็ต้องเป็เขา ข้าไม่ มี ทาง ตาย ได้! ”
-----------------------------------------------------------------------------------------------------