อย่างที่ทุกคนรู้ นี่คือคำถามปลิดชีพ
อวี๋มู่เข้าสู่ภวังค์แห่งการครุ่นคิด มองดูนักบวชน้อยที่ดูเหมือนจะไม่ได้โกรธแม้แต่นิดเดียว ท่าทีนั้นดูพิถีพิถันและมีความน่ารักอยู่บ้าง
เขากำลังวิเคราะห์จุดประสงค์ที่เฟิงอวี้ตั้งคำถามนี้
ตอนนี้อีกฝ่ายให้สถานะความประทับใจเขาเป็ศูนย์ ท่าทีพิรุธก็ตกอยู่ในสายตาอีกฝ่าย
พูดง่ายๆ ก็คือ หากอวี๋มู่บอกเื่นี้กับหย่งอวี้ หย่งอวี้ที่ใสซื่อต้องบอกเื่นี้กับพระอาจารย์วัดหนานหลัวอย่างแน่นอน คนพวกนั้นต้องเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับผนึกนี้ เพื่อทำลายการวางแผนของเฟิงอวี้ที่จะหนีออกไปให้หมดสิ้น
กำลังทดสอบอยู่สินะ?
ทดสอบความจริงใจที่เขามีต่ออีกฝ่าย
เขาคิดเช่นนี้ พลางสบตากับเฟิงอวี้ แล้วตอบกลับอย่างมั่นใจ “ใต้เท้าโปรดไว้ใจเถิด ข้าไม่มีทางบอกเื่นี้กับหย่งอวี้แน่นอน”
เฟิงอวี้สังเกตเขาอย่างละเอียดอยู่สักพัก จู่ๆ ก็คว้ามือเขาแล้วดึงเข้ามาจูบ
พอจูบเสร็จ เขาก็ปล่อยอวี๋มู่
อวี๋มู่รีบอธิบาย “ใต้เท้า ข้าขอรับประกันว่าเมื่อครู่ข้าไม่ได้โกหก!”
อย่างไรก็ตาม เฟิงอวี้เคยบอกไว้แล้วว่าหากพูดโกหก อีกฝ่ายก็จะจูบเขา แต่ตอนนี้เขาไม่ได้พูดแม้แต่คำเดียว อีกฝ่ายก็เอะอะจูบ ทำเขาตกอกใอยู่ไม่น้อย
“ใช่ ข้ารู้ว่าเ้าไม่ได้โกหก”
อวี๋มู่ช้อนตามองนักบวชน้อยที่กำลังลอบเลียริมฝีปาก ราวกับว่ากำลังย้อนนึกถึงจูบเมื่อครู่ แล้วยิ้มให้กับเขา “ดังนั้น ข้าจึงอยากจะจูบเ้า”
“…”
อวี๋มู่ยังคงไม่พูดจา เ้านักบวชก็โน้มตัวมาด้านหน้า เลียเขี้ยวแหลมคม แล้วเอ่ยถามเขา “นี่ อวี๋มู่ เ้าว่าตอนที่จูบ ลิ้นมีเอาไว้ทำอะไร? ”
!!!
อวี๋มู่ตัวแข็งเกร็ง
ในที่สุดเวลานี้ก็มาถึงจนได้สินะ?
เขาอยากพูดว่า ‘เ้าอย่าถามข้า ออกไปนะ ข้าไม่รู้อะไรทั้งนั้น’
แต่เขาเป็ถึงิญญาพิศวาส เื่พวกนี้ไม่มีใครรู้ชัดไปกว่าเขา จึงไม่มีทางปฏิเสธได้
จึ๊ ให้ตายเถอะ
“ก็ต้องให้มันอยู่ในปาก” อวี๋มู่กำลังพิจารณาว่าจะทำอย่างไรให้เฟิงอวี้ไม่รู้ว่ามีการจูบแบบแลกลิ้นบ้าบอแบบนี้ แล้วให้ถูไถผ่านไปได้ “ตอนที่ปากประกบกัน ให้มันอยู่นิ่งๆ ในปากก็พอ”
เฟิงอวี้เอียงศีรษะ แล้วเอ่ยถามเขา “ให้อยู่ในปากของใคร? แล้วอยู่นิ่งๆ ในปากของใคร”
เขายิ้ม พลางชี้ไปที่ปากของตัวเอง แล้วกดไปที่ริมฝีปากของอวี๋มู่ แล้วเอ่ยถาม “ความหมายของเ้าคือข้าสามารถเอาลิ้นของข้าเข้าไปในปากของเ้าอย่างนั้นหรือไม่? ”
บรรยากาศหยุดนิ่งไปหนึ่งวินาที
[อ๊าๆๆๆๆ!!! โฮสต์ครับ! เขาทะลึ่งจังเลย!!] ระบบทนไม่ไหวจนต้องกรีดร้องออกมา
ส่วนอวี๋มู่จากตัวแข็งเกร็งในตอนแรก กลับรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าวแทน เป็ผู้ใหญ่อายุก็ขนาดนี้ แต่กลับตื่นเต้นเพราะคำพูดแค่นี้ของนักบวชน้อย
“เอ่อ ไม่ใช่…” อวี๋มู่ยังอยากปกปิด “คือให้มันอยู่นิ่งๆ ในปากของท่าน…”
ยังไม่ทันจะพูดจบ เฟิงอวี้ก็โน้มตัวมาทับ โดยใช้มือขวาเกี่ยวข้างลำคอ พร้อมกับนิ้วหัวแม่มือจับที่ใบหู แล้วจูบเข้าไปอีกครั้ง
ครั้งนี้เขาเปิดปากอวี๋มู่ออก แล้วใช้เทคนิคที่เพิ่งได้มาเมื่อครู่ เติมความดูดดื่มให้กับจูบนี้
พอจูบเสร็จ เฟิงอวี้รู้สึกว่าหัวใจตรงอกซ้ายเต้นเป็จังหวะเสียงดังตุบๆ อย่างรวดเร็ว ใบหน้าขาวนวลเริ่มแดงดูมีเืฝาด
ความรู้สึกแบบนี้ช่างใหม่และประหลาด เขามองไปที่อวี๋มู่ พบว่าสีหน้าของชายหนุ่มดูคับแค้นยิ่งกว่าเดิม ผิวที่ควรจะเย็นเฉียบกลับร้อนขึ้น เห็นชัดว่าหวั่นไหว
“ดีจริง” เขาจับใบหน้าด้านข้างของอวี๋มู่ ยกยิ้มอย่างอิ่มเอม
พลันก็นึกถึงคำพูดที่อวี๋มู่บอกอย่างจริงใจว่าจะไม่หักหลัง จนอารมณ์ดีขึ้นหลายขุม ในที่สุดคะแนนความประทับใจก็เพิ่มขึ้นมาครึ่งดวงให้อวี๋มู่ได้เห็นจนน้ำตาแทบไหล
“ที่แท้ลิ้นมีไว้ใช้ตอนจูบเช่นนี้นี่เอง” เฟิงอวี้ทำท่าทางตื่นเต้น เอ่ยกับอวี๋มู่ “เ้าเป็ิญญาพิศวาสแต่กลับไม่รู้เื่พวกนี้ แล้วยังให้ข้าสอนเ้า…”
พูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุดชะงัก แล้วถามขึ้น “เ้าคงไม่ได้โกหกข้า แล้วแกล้งทำเป็ไม่รู้เื่หรอกนะ? ”
“!! ”
บ้าจริง!
อวี๋มู่ตื่นเต้น
“อา จริงด้วย” เฟิงอวี้พยักหน้า เข้าใจ
มือซ้ายของเขาจับแก้มด้านข้างของอวี๋มู่ ส่วนมือขวาจับไว้ตรงข้างลำตัวของอวี๋มู่ ท่วงท่าดูกดขี่เต็มที่
“ในเมื่อเ้าไม่ยินดีสอนข้าถึงเพียงนี้ เช่นนั้นข้าคงต้องเรียนรู้เอง” เขาจูบอวี๋มู่อีกครั้ง แล้วเอ่ย “ที่ทำไปเมื่อครู่ หากทำอีกหลายรอบ ข้าเชื่อว่าข้าต้องช่ำชองขึ้นแน่”
เขายิ้มออกมา “ดังนั้น ตอนนี้ พวกเรามาเริ่มกันเถอะ”
“…”
*
อวี๋มู่อ่อนเพลียทั้งกายและใจ แต่อย่างไรคะแนนความประทับใจของปีศาจร้ายก็นิ่งลงแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่ขึ้นหรือลดลงอีกต่อไป ทำให้เขาโล่งใจไปเปราะหนึ่ง
แต่เนื่องจากเมื่อคืนเขามีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับเฟิงอวี้ พอกลางวันที่ต้องมาฟังธรรมกับนักบวชน้อยหย่งอวี้ เขาดันรู้สึกปรับตัวไม่ทันกับใบหน้าของอีกฝ่าย
หรือพูดให้ถูกก็คือ รู้สึกตื่นตระหนก
หย่งอวี้นั้นไร้เดียงสามาก เหมือนกับน้ำที่ใสจนเห็นก้นแก้ว ซ้ายก็โยมอวี๋ ขวาก็โยมอวี๋ ยิ่งอีกฝ่ายเรียกอวี๋มู่อย่างอ่อนน้อมถ่อมตนและสุภาพเช่นนี้ ก็ยิ่งรู้สึกว่าการกระทำของเฟิงอวี้ช่างหน้าไม่อายเหลือเกิน
“โยมอวี๋ ว่ากันว่ามนุษย์หลังจากเสียชีวิตก็จะกลายเป็ิญญา เพราะยังมีห่วง ถ้าอย่างนั้นโยมอวี๋มนั้นมีห่วงเื่อันใดหรือ? ”
วันเวลาเนิ่นนานที่อยู่ด้วยกัน ตอนนี้หย่งอวี้มองอวี๋มู่ว่ามีตัวตน จึงอยากรู้จักเขามากกว่านี้
เขานั่งบนฟูก มองิญญาพิศวาสจากที่ไม่ไกลอย่างเงียบๆ แววตาใสบริสุทธิ์เหมือนกำลังมองเขาทะลุปรุโปร่ง
ที่เขาถามเช่นนี้ เหมือนถามเข้าเป้าอวี๋มู่พอดี ครั้งนี้เขาไม่มีความทรงจำของร่างเดิม ทั้งหมดล้วนเป็ข้อมูลที่ได้รับจากระบบ
เขาเอ่ยถามระบบ : ระบบ นายช่วยฉันตอบคำถามนี้ได้ไหม?
[เอ่อ ผมขอค้นข้อมูลก่อนครับ] หลังจากสืบค้น ก็อธิบายกับเขา [ิญญาพิศวาสที่คุณสวมร่างอยู่ เดิมทีเป็โสเภณีลำดับต้นๆ ของหอนางโลม ต่อมานางรักกับคุณชายตระกูลสูงส่ง เขาไถ่ตัวคุณกลับมาบ้าน แต่ปรากฏว่าไม่นานนัก เขาก็ตายด้วยโรค จากนั้นคุณก็เหมือนกับบ้าไปเลย ทุกคืนเอาแต่ดีดฉินร้องเพลง เพราะเขาบอกว่าคุณสวมชุดสีแดงแล้วสวย ไม่ถึงสองปีคุณก็สวมชุดสีแดงแล้วแขวนคอตาย ปรากฏว่าจิตไม่ปล่อยวางของคุณลึกซึ้งเกินไป จึงกลายเป็ิญญาพิศวาส]
อวี๋มู่ : …ระบบ เวลานายเล่า ไม่ใช้คำว่า “คุณ” แทนได้ไหม ฉันฟังแล้วรู้สึกเวทนาตัวเอง
[เอ๋] ระบบส่งเสียงสงสัย แล้วเอ่ยต่อ [โฮสต์ ที่ิญญาพิศวาสเข้าใกล้วายร้าย แท้จริงไม่ใช่เพราะรูปโฉมงดงามของเขา แต่เป็เพราะอยากกินเฟิงอวี้ เพื่อหนีออกจากเจดีย์เจิ้นเยา แล้วไปหาคุณชายท่านนั้นในโลกที่เขาไปเกิดใหม่ต่างหาก]
?!
อวี๋มู่มีท่าทีซึมเซา นึกถึงคำพูดที่แต่ก่อนเคยบอกเฟิงอวี้ อีกฝ่ายเคยถามเขาว่ามีจุดประสงค์แอบแฝงหรือไม่ อยากกินเขาใช่หรือเปล่า…
ที่แท้กลับถูกอีกฝ่ายคาดเดาออก
ิญญาพิศวาสตัวนี้ไม่ได้ใสซื่อ
ทว่า…นี่อาจจะไว้ใช้เป็แผนตอนที่กำจัดความประทับใจของอีกฝ่ายก็ได้
เมื่อเห็นเขานิ่งไปพักใหญ่ไม่ตอบอะไร หย่งอวี้ก็มีสีหน้าคับใจ ใบหน้าเขาแดง ก่อนเอ่ยถามอย่างร้อนรน “เพราะอาตมาถามกะทันหัน หากโยมอวี๋ไม่อยากตอบ ก็ไม่ต้องตอบก็ได้…”
อวี๋มู่ดึงสติกลับมา เขามองหย่งอวี้ แล้วเอ่ย “ขอบพระคุณอาจารย์ที่เข้าใจ เื่พวกนี้ไม่สะดวกที่จะเล่าออกมาจริงๆ ”
เขารู้ว่าสิ่งที่เขาทำหรือพูดกับหย่งอวี้นั้น เฟิงอวี้จะมองเห็นหมด ก่อนหน้านั้นเขาเคยเล่าเื่ภพก่อนของเว่ยจวินหยาง ดังนั้นจึงไม่อาจเล่าต่อหน้าหย่งอวี้ได้ ไม่อย่างนั้นตอนกลางคืนก็ไม่รู้ว่าหมอนั่นจะหาเื่อย่างไรอีก
“ขออภัย” หย่งอวี้หลุบตา แล้วพยักหน้า พร้อมกับเอ่ยขอโทษ “อาตมาไม่ควรถาม”
อวี๋มู่เห็นท่าทางเขาสลดลง ราวกับว่าตัวเองกำลังทำเื่บาปหนาอะไรเทือกนั้น
“อาจารย์ไม่ต้องขอโทษ” เขาเกาศีรษะ แล้วรีบเปลี่ยนเื่คุย “อาจารย์หย่งอวี้ ท่านถูกขังอยู่ที่นี่มาสิบสามปีแล้ว ไม่เคยคิดอยากออกไปจากที่นี่บ้างหรือ? ”
ในตอนจบไม่ได้กล่าวถึงหย่งอวี้มากเท่าไร เล่าแค่ว่าเขาจิตใจสะอาดบริสุทธิ์ หลังจากถูกเฟิงอวี้แย่งชิงอำนาจการควบคุม ร่างนั้นก็ไม่ปรากฏอีกเลย สุดท้ายตอนที่ปรากฏออกมาคือตอนที่รับบาปกรรมแทนเฟิงอวี้ แล้วจบชีวิตอย่างทุลักทุเล
อันที่จริงเทียบกับเฟิงอวี้แล้ว อวี๋มู่ชื่นชอบหย่งอวี้มากกว่า
เพราะเด็กคนนี้ทำให้เขานึกถึงเหลียงเสี่ยวหาน
มีบางครั้งที่เขาเคยคิดอยากให้เฟิงอวี้นั้นหายไปได้หรือเปล่า ใช้ชีวิตใต้แสงแดด ได้รับความศรัทธาจากผู้คน และใช้ชีวิตอย่างสงบ
แต่ระบบบอกว่าบางทีพวกเขาสามารถรวมกันได้ แต่จะให้เหลือเพียงคนเดียวนั้นเป็ไปไม่ได้
อีกอย่างอยู่ร่วมกันมานาน อวี๋มู่ค่อยๆ รู้สึกว่านิสัยของเฟิงอวี้นั้นออกจะเหมือนเด็กน้อย นอกจากกินิญญาก็ไม่เห็นก่อเื่ชั่วร้ายอะไร หากว่าหายไปจริงๆ เขาคงรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
สรุปคือ ดูย้อนแย้งกันมาก
“เคยคิด” หย่งอวี้มองไปที่อวี๋มู่ แล้วยิ้มออกมา ลักยิ้มสองอันปรากฏให้เห็น “ไม่ปิดบังโยมอวี๋ ตอนที่อาตมามาถึงเจดีย์เจิ้นเยา ก็เคยร้องห่มร้องไห้ เคยไม่พอใจ”
“ตอนนั้นเหล่าิญญาในเจดีย์เจิ้นเยาต่างก็อยากกินข้า พวกเขามาทั้งกลางวันและกลางคืน จนข้าต้องหลบซ่อนอยู่ตรงแท่นหิน ไม่กล้าแม้แต่จะขยับ”
“พวกศิษย์พี่ที่มาส่งข้าวเจให้ข้ามองมาด้วยสายตาที่ซับซ้อนมาก ตอนนั้นข้าไม่เข้าใจ เพียงแต่ดึงชายเสื้อพวกเขา ขอร้องให้พวกเขาปล่อยข้าออกไป พวกเขาผลักข้าล้ม จากนั้นเอาไม้บรรทัดฟาดที่แขน ที่หลัง ที่ขา และที่ใบหน้าของข้า”
ตอนที่หย่งอวี้เล่าเื่นี้ เขาไม่ได้มีท่าทีโกรธแค้น เหมือนกับพูดเื่ที่ไม่เกี่ยวกับตัวเอง “ข้าไม่กล่าวโทษพวกเขา เพราะข้ารู้สถานะของตัวเองจากปากของเ้าอาวาส ร่างกายของข้ามีปีศาจร้ายอาศัยอยู่ ทำให้ท่านแม่ต้องเสียชีวิตตอนคลอดข้า แล้วยังนำพาความพินาศมาสู่ราชสำนัก ตามหลักแล้ว อาตมานั้น…”
นักบวชน้อยจ้องมองชายหนุ่มที่อยู่ไม่ไกลออกไป แววตาใสบริสุทธิ์ของเขาเปล่งประกายสีแดงพาดผ่านแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ย
“สมควรตาย”
-----------------------------------------------------------------------------------------------------