เมื่อมองไปยังรูปภาพรูปที่สองหลินลั่วหรานก็อดที่จะใขึ้นมาไม่ได้
มันยังคงเป็ยอดเขาเดิม แต่ในรูปภาพนั้นกลับวาดรูปงานแต่งงานในโลกแห่งการฝึกศาสตร์อันคึกคักเอาไว้ลานกว้างที่สามารถรองรับคนได้กว่าพันคน คู่บ่าวสาวจับมือมองสบตาซึ่งกันและกันและเพราะว่าเป็รูปที่วาดเพียงแผ่นหลังเอาไว้จึงไม่สามารถเห็นหน้าของเ้าสาวได้อย่างชัดเจน เ้าบ่าวสวมมงกุฎมาลาสูงไว้บนหัวร่างสวมชุดราชวงศ์ถัง ตัวเ้าสาวสวมชุดแบบชาววังแต่สิ่งที่ทำให้หลินลั่วหรานในั้นคือปิ่นปักผมมุกที่ประดับอยู่บนเรือนผมของผู้เป็เ้าสาว แม้ว่าจะเป็การวาดเพียงไม่กี่ปลายตวัดแต่หลินลั่วหรานกลับมั่นใจว่านั่นคือ “เจาเสวี่ย” อย่างแน่นอน!
เ้าสาวคนนั้น...คือท่านเทพป๋ายหรือเปล่า?
แต่ตอนนี้ท่านเทพป๋ายกำลังจำศีลอยู่หลินลั่วหรานมองภาพบนผนังอย่างละเอียดและบันทึกมันไว้ในสมองโดยไม่ได้ส่งเสียงอะไรออกมา
บางทีเหวินกวนจิ่งอาจจะยังซึมซับไปกับวันวานของเขาชู่ชานอยู่แม้ว่าเขาจะเห็นว่าสีหน้าของหลินลั่วหรานดูผิดปกติไปแต่ก็ไม่อาจสังเกตเห็นปิ่นปักผมเล็กๆ ที่เรือนผมของเ้าสาวในรูปได้
“นี่คือ?” หลินลั่วหรานทำเป็ประหลาดใจก่อนจะถามออกไป
เหวินกวนจิ่งสงบใจให้นิ่งก่อนจะพิจารณาอยู่สักพัก ในงานแต่งนั้นมีแขกมากมายราวกับกลุ่มเมฆการแต่งกายของแขกที่มาก็แตกต่างกันออกไป แต่เสื้อผ้าที่แปลกตานั้นกลับเป็ชุดของเมื่อกว่าพันปีที่แล้วเพียงเท่านี้ก็สามารถเดาได้แล้วว่าเ้าบ่าวสวมชุดราชวงศ์ถัง เ้าสาวสวมชุดแบบชาววังและอยู่ที่เขาชู่ชานไม่ผิดแน่ ลานกว้างที่สามารถบรรจุคนได้กว่าพันคนนั้น ในยุคหลังๆมาก็ยังมีบันทึกเอาไว้ในบันทึกโบราณ แต่ที่น่าแปลกก็คือการแต่งงานในโลกของการฝึกศาสตร์ที่ดูยิ่งใหญ่แบบนี้กลับไม่มีบันทึกเอาไว้ในบันทึกของตระกูลชู่ชานเลยแม้แต่น้อย!
ไม่ควรจะเป็แบบนี้...เขาเรียบเรียงคำพูดให้เรียบร้อย ก่อนจะหันไปพูดกับหลินลั่วหรานทำเอาเธอยิ่งสับสนมึนงงเข้าไปใหญ่
การแต่งงานที่ส่งผลไปทั่วแต่กลับไม่มีบันทึกเอาไว้ ความจริงแล้วมันซ่อนอะไรเอาไว้กันแน่? แล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับการที่ท่านเทพป๋ายเป็อยู่ในทุกวันนี้หรือเปล่า?หลินลั่วหรานไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่ในใจของเธอกลับมีความคิดที่อาจเป็ไม่ได้ขึ้นมาในหัวสมองแล้ว
บางทีด้านในราชวังอาจจะมีความจริงที่เธออยากรู้ก็ได้...หลินลั่วหรานมองไปยังประตูใหญ่ที่ปลายทางเธอสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเดินออกไปยังรูปภาพที่สาม
สถานที่ของมันเปลี่ยนไปจากสองรูปแรกมันคือใจกลางทะเลทราย กลุ่มนักปราชญ์ต่างพากันเงยหน้ามองฟ้า
แสงสีรุ้งประกายอยู่บนท้องฟ้านอกจากนักปราชญ์ที่กำลังเงยหน้ามองฟ้าแล้วยังมีนักปราชญ์บางส่วนที่บินขึ้นไปสู่แสงสว่างนั้น บ้างก็เข้าไปในแสงนั้นกว่าครึ่งตัวแล้วหรือเสื้อผ้าของบางคนปกคลุมไปด้วยแสงสว่างก็มี
มือของหลินลั่วหรานสั่นไหว “รุ่นพี่ มาดูนี่สิ”
“เอ๋?” เหวินกวนจิ่งพิจารณาอยู่สักพักก่อนที่สีหน้าของเขาจะเปลี่ยนไปเมื่อคิดถึงการบอกเล่าเกี่ยวกับการหายตัวไปของพวกนักปราชญ์ระดับแยกจิตเมื่อพันปีก่อนขึ้นมา
ในวันหนึ่ง แสงสีรุ้งสาดส่องลงมาจากท้องฟ้าเบื้องบนมีรับสั่ง...“มีรับสั่ง” ในที่นี้หมายถึงอะไรกันแน่แน่นอนว่าพวกนักปราชญ์ระดับต่ำไม่มีทางรู้ได้ เพียงแค่ “เบื้องบนรับสั่ง” เหล่านักปราชญ์ฝีมือดีระดับแยกจิตก็พากันหายสาบสูญไป
จากภาพวาดบนผนัง พวกเขาถูกแสงสีรุ้งนี่พาไป? หัวใจของเหวินกวนจิ่งเต้นระรัวพลังบนโลกเหือดหายเข้าไปทุกวัน การฝึกศาสตร์ก็ยากลำบากขึ้นตามไปด้วยหากล่วงรู้ความลับการหายไปของเหล่านักปราชญ์ระดับแยกจิตได้นั่นอาจจะเปิดเส้นทางใหม่ในการฝึกศาสตร์ขึ้นมาก็ได้ใช่ไหม?
เขามองไปยังหลินลั่วหรานหรือเธอก็คิดแบบนี้ได้เช่นกัน?
ทั้งสองต่างมองไปยังรูปบนผนังอย่างพิจารณาอีกครั้งทะเลทรายนั้นไม่ว่ามองไปทางไหนก็เหมือนกันไปหมดด้านในสถานที่ลึกลับยังมีความแตกต่างด้านภูมิประเทศมากกว่า แม้ว่าจะมองอยู่นานแต่ก็ไม่รู้สึกว่ามีความแตกต่างตรงไหน ถ้าอยากตามหาสถานที่แห่งนี้คงเป็ไปไม่ได้
หลินลั่วหรานรู้สึกผิดหวังขึ้นมาก่อนจะคิดขึ้นมาได้ว่า นี่เป็เพียงรูปภาพรูปที่สาม ดูจากระยะของเส้นทางหินนี้แล้วน่าจะยังมีอีกอย่างน้อยสองรูป ต่อจากนี้อาจจะมีเบาะแสอีกก็ได้ใช่ไหม?
เธอจึงรีบขยับฝีเท้าไปยังรูปภาพรูปที่สี่แต่มันกลับยิ่งทำให้เธอสิ้นหวังมากขึ้นไปอีกเพราะว่ารูปภาพรูปที่สี่นั้นเป็เพียงสีขาวโล่ง!
มันไม่ใช่สีขาวที่เป็เพราะไม่ได้วาดอะไรลงไปแต่มันมีร่องรอยที่ลึกลงไปมากกว่ารูปอื่นราวๆ หนึ่งนิ้ว ผนังนั้นสะอาดราบเรียบแต่ผนังนี้ถูกคนใช้เวทวิเศษในการลบมันออกไป...
ด้านหลังนั่น คือรูปอะไรกันแน่?
มันเป็ความลับที่เกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของนักปราชญ์ระดับแยกจิตหรือเปล่า?
แล้วมันถูกใครลบออกไป?
แน่นอนว่าหลินลั่วหรานและเหวินกวนจิ่งต่างพากันสิ้นหวังลังเลกันอยู่สักพัก ก่อนที่ทั้งสองจะเดินไปหน้าประตูหิน ด้านหน้าประตูประดับไปด้วยผีซิวคู่ที่แกะสลักด้วยไม้แต่กลับดูไม่ค่อยเหมือนผีซิวทั่วไปเสียเท่าไร บนหัวของมันมีเขาอยู่สองเขา
“ผีซิ่วเรียกทรัพย์ หนึ่งเขาคือ “เทียนลู่”สองเขาคือ “ปี้เสีย” นี่ที่...คือสุสานฮ่องเต้!” ตอนแรกเหวินกวนจิ่งเพียงพึมพำกับตัวเองก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาพูดกับหลินลั่วหรานเสียเฉยๆ
สุสานฮ่องเต้คือถ้ำเปิดเหรอหลินลั่วหรานขมวดคิ้วเข้าหากัน เหวินกวนจิ่งมาหาของแล้วทำไมถึงจะมาเจออะไรในถ้ำนี่เล่า โดยปกติแล้ว เธอไม่ค่อยได้อ่านหนังสือพวก “ผีเป่าตะเกียง”อะไรแบบนี้เท่าไร สุสานฮ่องเต้พวกนั้นมักจะแปลกประหลาดอยู่เสมอยิ่งถ้าเป็ถ้ำของผู้ฝึกศาสตร์ด้วยแล้ว มันจะไม่ยิ่งอันตรายเหรอ?
คิ้วของเหวินกวนจิ่งขมวดเข้าหากันจนแทบจะผูกเป็ปมเขานำเอาแผนที่หนังแกะออกมาอีกครั้ง ก่อนจะมองพิจารณาไปยังตัวอักษรแปลกๆ พวกนั้นมันไม่ได้บอกว่าที่นี่เป็สถานที่พักผ่อนของฮ่องเต้
เมื่อเทียบกับความลับของการหายไปของนักปราชญ์ระดับแยกจิตแล้วในที่สุดเหวินกวนจิ่งก็เก็บแผนที่ลงอีกครั้งก่อนที่จะเลือกเข้าไปลองดันประตูหินบานนั้นดู แสงสีแดงปรากฏขึ้นบนแผ่นหินเปลวไฟลุกขึ้นมาเผาไหม้ชายแขนเสื้อของเหวินกวนจิ่งอย่างไร้สาเหตุโชคดีที่เขามีการตอบสนองที่ว่องไวจึงรีบฉีกมันก่อน ไม่อย่างนั้นแม้แต่มือของเขาก็น่าจะถูกเผาไหม้ไปด้วย
วิธีการของศาสตร์ต่างๆ นั้นมีมากมายนี่ต้องไม่ใช่ไฟธรรมดาอย่างแน่นอน เหวินกวนจิ่งไม่กล้าเข้าไปลองอีกครั้งเขาคิดอยู่สักพัก ก่อนที่จะลองใช้ศาสตร์เวทย์ต้องห้ามของเขาชู่ชานขึ้นมาแสงสีแดงไหลผ่านประตูหินอีกครั้ง ก่อนที่มันจะค่อยๆ เปิดออก
เหงื่อที่หลั่งไหลออกมาเพราะความรู้สึกไม่ดีของเหวินกวนจิ่งนั้นถูกเก็บกลับไปแล้วเพราะกลัวว่าจะมีอันตรายเขาจึงเข้าไปก่อน พร้อมกับหลินลั่วหรานที่ตามเข้ามาติดๆเมื่อชายกระโปรงของเธอสะบัดออกก็รู้สึกราวกับว่าแววตาของผีซิ่วไม้แกะสลักนั้นขยับเคลื่อนไหวไม่เหมือนกับสิ่งไม่มีชีวิต
หลินลั่วหรานเดาว่ามันจะต้องเป็ห้องเก็บโลงศพที่ไร้ชีวิตชีวาแต่ใครจะรู้ว่าที่นี่จะสะอาดสดใส อีกทั้งยังมีสระน้ำขนาดค่อนข้างใหญ่อยู่กลางบ่อเต็มไปด้วยดอกบัวมากมาย ทั้งสีชมพูและสีขาว บ้างก็มีสีม่วงผสมกันไปยิ่งทำให้ที่นี่ดูงดงามมีเสน่ห์เกินกว่าจะอธิบายออกมาได้
กลิ่นหอมของดอกบัวล่องลอยไปทั่วหากทุกอย่างด้านหน้านี้เป็เพียงภาพฝัน มันก็คงจะสมจริงเกินไป
หลินลั่วหรานรวบรวมสมาธิก่อนจะใช้สายตาแหลมคมของเธอเข้าไปดูดอกบัวก็ยังคงเป็ดอกบัว สระน้ำก็ยังคงเป็สระน้ำ เมื่อมองจากที่ไกลๆก็เห็นว่ากลางสระน้ำมีแท่นทรงกลมตั้งอยู่้าของห้องประดับด้วยไข่มุกขนาดใหญ่เท่าชามข้าวเปล่งประกายมอบแสงสว่างให้พื้นที่โดยรอบ
้าแท่นกลมนั้น จากที่หลินลั่วหรานมองไปมันมีโลงคริสตัลใสวางอยู่ เพียงแค่หลินลั่วหรานหันไปมองครู่เดียวเธอก็ตกอยู่ในการควบคุมทันที
เหวินกวนจิ่งััได้ถึงความผิดปกติของหลินลั่วหรานเมื่อจะเข้าไปดึงตัวเธอเอาไว้ หลินลั่วหรานก็ขยับฝีเท้าออกไป เธอเหยียบลงที่ดอกบัวทีละดอกมุ่งหน้าไปสู่แท่นกลม
“รุ่นพี่หลิน!” เหวินกวนจิ่งส่งเสียงร้องดังออกมาด้วยความใ ก่อนที่จะรีบตามเธอไป
หลินลั่วหรานนั้นฝึกศาสตร์ลึกมากกว่าเขาเพียงไม่นานเธอก็ไปถึงแท่นกลม ทั้งตัวของเธอราวกับถูกกดหัวลงไปเธอโน้มตัวลงไปในโลงคริสตัล เมื่อได้ยินเสียงะโร้องของเหวินกวนจิ่งเธอก็หันกลับมามอง ก่อนที่จะหันกลับมองที่โลงคริสตัลอีกครั้งด้วยสีหน้าเหม่อลอย
โลงคริสตัลใสสะอาดไร้รอยขีดข่วน มันประกายใสภายใต้แสงสว่างจากไข่มุก
เมื่อมองลงไปจากฝาโลงใสร่างของหญิงสาวสวมชุดชาววังนอนอยู่ด้านใน เรือนผมงดงาม คิ้วทั้งสองคมเข้มริมฝีปากแดงระเรื่อ พวงแก้มทั้งสองข้างมีเืฝาดดอกโบตั๋นที่ประดับอยู่บนเรือนผมดูมีชีวิตชีวาความสวยงามของเธอนั้นไม่เป็สองรองใคร ราวกับเพียงนอนหลับไปเท่านั้น...
“รุ่นพี่หลิน ถอยออกมาเร็วเข้า!”ในที่สุดเหวินกวนจิ่งก็ตามมาทัน เขาเตรียมจะดึงเธอเข้ามาเมื่อหลินลั่วหรานได้ยินเสียงะโ ความดิ้นรนปรากฏขึ้นในแววตาของเธอก่อนจะรู้สึกตัวขึ้นมา เธอมองไปยังร่างที่นอนอยู่โลงคริสตัลใส ก่อนจะต้องใ
ดวงตาคู่นั้น คิ้วทั้งสองข้างนั่น ริมฝีปากความรู้สึกที่ดูหยิ่งยโสจางๆ คนที่นอนอยู่ในนั้น เห็นได้ชัดว่าคือท่านเทพป๋าย!
หรือว่านี่จะเป็ร่างของท่านเทพป๋าย?!
ความคิดนี้ไหลเข้ามาในหัว แต่อยู่ๆดวงตาของคนที่นอนอยู่ในโลงก็เปิดขึ้น แสงหนึ่งประกายขึ้นมาก่อนที่จะพุ่งเข้าไปที่หน้าของหลินลั่วหรานในทันที เธอไม่อาจหลบหนีไปที่ไหนได้กลายเป็ท่อนไม้แข็งทื่อในตอนนั้นเอง...