จิงซิงอี้กลับบ้าน และทำทุกอย่างตามปกติ เขาเปลี่ยนเสื้อผ้า ทำการบ้าน และเดินไปที่ห้องสมุนไพร เพื่อทำงานที่จิงซิงอี้มอบหมายเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่จิงเซียวเห็นความผิดปกตินั้น
หลังจากกินข้าวเย็นแล้ว สองตาหลานนั่งดูโทรทัศน์ด้วยกัน อยู่ๆจิงเซียวก็ถามขึ้นมาว่า
“เสี่ยวอี้ วันนี้ทำอะไรที่โรงเรียนบ้าง”
เด็กชายอึ้งไปสักพัก แล้วก็ตอบโดยไม่มองหน้าจิงเซียวว่า
“ก็เหมือนเดิมครับ เรียน กินข้าว แล้วก็...คุณครูสั่งให้พวกเราทำกิจกรรมไปแสดงในวันงานโรงเรียน”
“แล้วห้องของเ้าทำอะไรล่ะ” จิงเซียวถามพร้อมกับสังเกตสีหน้าของเด็กชาย
“ร้องเพลงกับเต้นครับ”
“เ้าก็ไปร้องเพลงกับเขาด้วยหรือ ตาต้องไปดูแล้วสิ”
เด็กชายอึ้งไป เขาเม้มปากแน่น ก่อนพูดเบาๆว่า “คุณตาอย่าไปเลยครับ”
“ทำไมละ ตาอยากไปให้กำลังใจเ้านะ”
“ผมไม่ได้แสดงด้วยครับ...”
“อ้าว แล้วเ้าทำอะไรละ”
เด็กชายนิ่งไม่ตอบ สักพักเขาก็ก้มหน้าลง น้ำตาไหลเงียบๆ จิงเซียวซึ่งนั่งอยู่ใกล้ๆ ขยับเข้าไปหาเขา เขาดึงร่างชายเข้ามากอดและตบหลังเขาเบาๆ โดยไม่พูดอะไร
จิงซิงอี้ร้องไห้เงียบๆ อยู่สักพัก จากนั้นเขาก็หยุดร้องไห้และเช็ดน้ำตา จิงเซียวถามเขาเบาๆว่า “เสี่ยวอี้มีอะไรจะเล่าให้ตาฟังมั้ย”
เด็กชายขมวดคิ้ว เขาไม่รู้จะพูดอย่างไร แต่เขาก็อยากจะพูดออกมา จิงเซียวรอโดยไม่เร่งอะไร ในที่สุดจิงซิงอี้ก็พูดด้วยเสียงอู้อี้ว่า
“คุณตาครับ การที่เราอยากจะทำให้งานของเราได้คะแนนดี อยากให้ทุกในกลุ่มได้คะแนนดี มันผิดด้วยหรือครับ”
จิงเซียว ถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น จิงซิงอี้จึงเล่าเื่ที่เกิดขึ้นในโรงเรียน ทั้งเื่การทำงานกลุ่ม ผลที่เกิดขึ้น และการถูกกีดกันออกจากกลุ่ม
เมื่อเล่าจบ เด็กชายก็นั่งเงียบด้วยสีหน้าสับสน จิงเซียวถอนหายใจ เขาถามจิงซิงอี้ว่า “เ้าคิดยังไงล่ะ”
เด็กชายเรียบเรียงความคิดก่อนจะพูดว่า “ผมคิดว่าผมไม่ได้ทำผิดอะไร ผมอยากจะให้งานออกมาดี แล้วก็อยากให้ทุกคนที่อยู่ในกลุ่มได้คะแนนดีเหมือนกัน”
จิงเซียวถามต่อว่า “ถ้ามีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก เ้าจะยังทำอีกมั้ย”
จิงซิงอี้ตอบทันทีว่า “ทำครับ!”
“ถึงแม้ว่าจะถูกคนอื่นเดินหนีหรือไม่เล่นด้วยอย่างงั้นหรือ” จิงเซียวถามต่อ จิงซิงอี้ลังเล แต่เขาก็ยังยืนยันว่า “ก็ยังจะทำอีกครับ!”
จิงเซียวถามต่อยิ้มๆว่า “ทำไมล่ะ เ้าไม่กลัวหรือ ไม่เสียใจที่เพื่อนไม่เล่นด้วยหรือ”
จิงซิงอี้ขมวดคิ้ว เขาพยายามหาคำพูดมาอธิบาย จากนั้นก็พูดว่า “ผมปล่อยไม่ได้ครับ ผมไม่ยอมให้งานของผมต้องมาเสียเพราะคนอื่น”
จิงเซียวหัวเราะออกมา เด็กชายมองเขาด้วยความงุนงง จิงเซียวหยุดหัวเราะและพูดกับเขาอย่างจริงจังว่า
“เสี่ยวอี้ สิ่งที่ตาจะพูดต่อไปนี้อาจจะยาว และเข้าใจยากสำหรับเ้าที่ยังอายุแค่นี้ แต่ก็ขอให้ฟังให้ดี”
จิงเซียวบอกกับจิงซิงอี้ว่า “โลกใบนี้ไม่เคยมีความยุติธรรม และมันจะเป็เช่นนี้เสมอ
คนที่แข็งแรงที่สุดจึงจะอยู่รอด เ้าคงเคยเรียนเื่นี้มา ดังนั้น คนที่แข็งแรงที่สุดจึงเอาตัวรอดในสถานการณ์นั้นๆได้ เขาจึงได้ในสิ่งที่เขา้า และคนที่อ่อนแอก็จะแพ้ไป
ในธรรมชาติ ต้นไม้และสัตว์ที่แข็งแรงถึงจะอยู่รอด ส่วนพืชและสัตว์ที่อ่อนแอกว่า มักจะไม่รอด มันจึงไม่มีความยุติธรรมอยู่ในธรรมชาติั้แ่ต้น เพราะธรรมชาติมีทรัพยากรไม่เพียงพอ จึงต้องจำกัดให้สิ่งที่แข็งแรงที่สุดได้อยู่รอดและขยายพันธุ์ต่อไป”
จิงซิงอี้นิ่งฟังอย่างตั้งใจ จิงเซียวพูดต่อช้าๆว่า
“ตากำลังจะบอกเ้าว่า เ้าจะต้องเจอเหตุการณ์ที่ไม่ยุติธรรมแบบนี้ตลอดไป ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ต่อให้เ้าตั้งใจทำดี ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง แต่ทำเพื่อคนอื่น เ้าก็อาจจะเจอผลตอบแทนที่ไม่ยุติธรรมกับความดีที่เ้าทำไป
แต่เ้าก็จะต้องต่อสู้ เพื่อให้ได้ในสิ่งที่เ้า้า ยกเว้นแต่เ้าจะยอมแพ้ รอรับในสิ่งที่เ้าไม่้า ดังนั้น เ้าอยากจะได้คะแนนดี เ้าก็ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้มา
แต่เสี่ยวอี้เอ๊ย! การทำงานกับคนก็เป็แบบนี้เสมอ บางครั้งเขาก็ดีกับเ้า บางครั้งเขาก็ทำร้ายเ้า แต่เ้าเคยคิดในมุมกลับหรือเปล่าว่า คนอื่นก็อาจจะคิดว่า ตัวเขาก็ไม่ได้รับความยุติธรรมเช่นกัน”
จิงซิงอี้ตาโต เขารีบแย้งว่า “แต่หวังเจียรุ่ยเป็คนทำงานไม่ดีอยู่คนเดียวนะครับคุณตา จะมาคิดว่าตัวเองได้รับความไม่ยุติธรรมได้ยังไง!”
จิงเซียวตอบว่า “นั่นละมนุษย์! เราคิดว่าเขาผิด เขาไม่ดี เขาก็คิดว่าตัวเขาทำถูกแล้ว และมองว่าเราต่างหากที่ไม่ดี”
เด็กชายอึ้งไป เขาไม่คิดเลยว่าจะมีคนแบบนี้ จิงเซียวยิ้มและพูดต่อว่า
“มนุษย์เกิดมาแตกต่างกัน ถูกอบรมมาเลี้ยงดูแตกต่างกัน บางคนต้องดิ้นรนปากกัดตีนถีบ ทำได้ทุกอย่าง คำว่าถูกผิดของเขาจึงไม่มีความชัดเจน และอาจจะไม่มีด้วยซ้ำ ขอแค่ให้ได้ในสิ่งที่้า ก็อาจจะเปลี่ยนให้ถูกเป็ผิดก็ยังได้”
จิงเซียวไม่ได้พูดว่าหวังเจียรุ่ยเป็คนแบบไหน เขาไม่อยากจะสอนให้หลานชายปักใจเชื่อว่าคนนี้เลว คนนี้ดี เพราะเขาเชื่อว่าทุกคนมีดีเลวปนเปกันไป วันนี้ดี พรุ่งนี้อาจเลว และวันนี้เลว พรุ่งนี้ก็อาจจะดี บางคนเลวกับทุกคนทั้งโลก แต่ดีกับคนคนเดียว แบบนี้แล้ว เราจะเรียกว่าเขาเป็คนเลวจริงๆหรือไม่
จิงเซียวอธิบายให้หลายชายฟังช้าๆ จากนั้นเขาก็พูดต่อว่า
“ฉะนั้น เ้าอยากจะได้คะแนนดี เ้าจึงใช้วิธีที่เ้าคิดว่าดีที่สุด และไม่ได้เอาเปรียบใคร ถ้าเ้าคิดว่ามันถูกต้อง เ้าก็ต่อสู้ ไม่ยอมให้ใครมาทำลาย หรือเอาสิ่งที่เ้า้าไปจากเ้า แต่ก็อาจได้รับความไม่ยุติธรรมจากคนอื่น เ้าก็พูดเองว่ายังไงเ้าก็จะยังทำต่อไป”
จิงซิงอี้ฟังอย่างใจจดใจจ่อ
“แล้วเ้าจะเสียใจไปทำไม กับจุดยืนที่เ้าคิดว่าถูกต้องแล้ว!”
“แต่ว่านะ อย่าลืมไปอย่างหนึ่ง สิ่งที่เ้าคิดว่าถูกในวันนี้ อาจจะผิดในวันหน้าก็ได้”
จิงซิงอี้ขมวดคิ้ว เขาเริ่มสับสนว่า ตกลงแล้วจิงเซียวจะให้เขาทำอย่างไรกันแน่ จิงเซียวเข้าใจหลานชายดี เขาจึงหัวเราะและพูดว่า
“ตาจะบอกเ้าว่า ไม่ว่าในอนาคตมันจะถูกหรือผิดก็ตาม ถ้าตอนนี้เ้าคิดว่ามันใช่และถูกต้อง ก็จงยืนหยัดที่จะทำต่อไป เราไม่รู้และไม่แน่ใจหรอกว่าเราทำถูกหรือผิด ในตอนนี้ ก็แค่ตัดสินใจแล้วก็ยืนหยัดกับสิ่งที่ทำ ถึงผลของมันจะเ็ปบ้างก็ตาม”
จิงซิงอี้ถามต่อว่า “แล้วผมจะทำยังไงกับเพื่อนที่ไม่ยอมเล่นกับผมอีกต่อไปละครับ”
จิงเซียวตอบช้าๆว่า “ทำได้หลายอย่าง เช่น เข้าไปเสนอตัวช่วยต่อไปโดยไม่สนใจท่าทีของพวกเขา หรือไม่สนใจเลยว่าพวกเขาจะคิดยังไง เลือกใช้ชีวิตของตัวเองไป และถ้ามีปัญหามากก็ไปคุยกับคุณครูและอธิบายให้ฟัง และถ้าไม่ได้ผลอีก ก็มาบอกตา ตาจะไปคุยกับคุณครูให้
ถ้าทั้งหมดไม่ได้ผล เราก็ต้องยืนหยัดอยู่ได้ด้วยตัวเอง ซึ่งตัวเราก็ต้องมีความแข็งแกร่งมากพอที่จะอยู่ได้เองคนเดียวด้วย”
หลังจากนั้น จิงเซียวก็ปล่อยให้จิงซิงอี้แก้ปัญหาเอง โดยเขาคอยดูอยู่ห่างๆ
ในตอนนั้น จิงซิงอี้เลือกเข้าไปคุยกับเพื่อนคนอื่นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น บางคนก็ยอมคุยด้วย บางคนก็ยังไม่กล้าเข้ามาสนิทมาก เพราะกลัวหวังเจียรุ่ยใช้กำลังทำร้าย แต่เขาก็ได้เข้าร่วมทีมทำฉากในที่สุด เพราะถ้าไม่ร่วมกลุ่ม เขาก็จะไม่ได้คะแนนกิจกรรม
จากเหตุการณ์วันนั้น ทำให้จิงเซียวพาหลานชายไปสมัครเรียนศิลปะป้องกันตัว เขาไม่ได้้าให้หลานไปจัดการหวังเจียรุ่ยและเพื่อนคนอื่น แต่เขาเชื่อว่า ถ้าจิงซิงอี้มีร่างกายที่แข็งแกร่ง จิตใจของเขาจะแข็งแกร่งตาม
เขาพาเด็กชายไปเลือกเรียนศิลปะการต่อสู้หลายแบบ ทั้งยูโด เทควานโด ไท่ชี่ แต่สุดท้าย จิงซิงอี้กลับชอบมวยหย่งชุน เพราะเขาไปรู้มาว่าบรู๊ซ ลี และยิปมัน ใช้มวยหย่งชุนมาประยุกต์ใช้ในการต่อสู้
จิงเซียวก็เห็นดีด้วย เพราะมวยหย่งชุนเหมาะกับคนที่รูปร่างเล็ก ไม่ต้องใช้พละกำลังมาก ใช้แรงปะทะน้อย แต่เน้นไปที่การตั้งรับและโจมตีในระยะประชิด และปรับเปลี่ยนท่าทางไปตามสถานการณ์
หลังจากนั้นมา จิงซิงอี้ก็ตั้งใจฝึกมวย ตั้งใจเรียนในห้องให้คะแนนดี เขาไม่สนใจอีกต่อไปว่า เพื่อนในห้องจะยอมรับเขาหรือไม่ คนไหนคุยกันได้ก็คุย คนไหนคุยไม่ได้ก็ต่างคนต่างอยู่ เพราะอีกไม่นาน เขาก็จะเรียนจบแล้วก็แยกย้ายจากคนกลุ่มนี้ไป
อย่างไรก็ตาม ในวันงานโรงเรียนปีต่อมา จิงซิงอี้ขออาจารย์จึ้นโชว์มวยหย่งชุนในงานโรงเรียนคนเดียว เพราะเขาเบื่อจะไปร้องขอเข้าร่วมกลุ่มกับใคร
เมื่อเขาโชว์การต่อสู้ 15 นาทีกับหุ่นไม้ และแถมด้วยท่าตีลังกาที่เขาฝึกเพิ่มเติม คนดูต่างพากันตื่นเต้นฮือฮา ที่เด็กเนิร์ดอย่างเขา ใช้ศิลปะการต่อสู้ได้อย่างคล่องแคล่ว
ั้แ่นั้นเป็ต้นมา เด็กหลายคนที่เคยทำท่าไม่พอใจเขา และข่มขู่เขา ก็เริ่มเงียบสงบและต่างคนต่างอยู่ในที่สุด
