หลิวชิวเซียงพยุงคราดแล้วยืดหลังตรง ขยับมือว่างออกมาเพื่อเช็ดเหงื่อบนศีรษะ อากาศเดือนเมษายนไม่ร้อนและไม่หนาว แต่หากขยับตัว เหงื่อก็ท่วมได้เช่นกัน
ที่นาหลังบ้านมีเสียงกบดังขึ้น อากาศนั้นปนไปด้วยกลิ่นของดินโคลนที่เปียกชุ่ม หลิวชิวเซียงชอบอากาศในฤดูใบไม้ผลิเช่นนี้เป็ที่สุด
เมื่อได้ยินคําถามของน้องสาว นางเองก็ตอบแบบไม่สงสัย “อืม นี่ก็พูดไม่ถูก ย่านั้นเอ็นดูอาเล็กมาโดยตลอด คราวที่แล้วอาเล็กบอกว่าขอสินเ้าสาวออกเรือนเป็ที่ดินสิบแปลง ย่าเองก็ตอบรับโดยไม่ได้ลังเลแม้แต่น้อย”
มนุษย์จิ๋วในใจหลิวเต้าเซียงกำลังยกนิ้วโป้งให้พี่สาวตนเอง อันที่จริง วันนั้นเพราะคำพูดที่เร่งรีบ หลิวฉีซื่อไม่้าให้หลิวเสี่ยวหลันโมโหอาละวาดจึงปลอบนางไปอย่างนั้น
“โห ที่ดินสิบแปลง นั่นคงได้เงินไม่น้อยต่อปี เพียงแต่เช่นนี้ เงินที่จะส่งเสียอาสี่ร่ำเรียนก็ยิ่งต้องรัดกุมมากขึ้น”
หลิวชิวเซียงเม้มริมฝีปาก นางเองก็ไม่เคยคิดเื่นี้มาก่อน เมื่อเห็นน้องสาวรอคำตอบจากนาง จึงได้แต่เอ่ย “ในเมื่อย่าพูดออกมาแล้ว ก็น่าจะถือว่าตามนั้น หากไม่ได้ ก็ยังมีบ้านลุงใหญ่กับลุงรองไม่ใช่หรือ?”
หางตาของหลิวเต้าเซียงเผยประกาย รู้ว่าคนที่แอบฟังคงทนไม่ไหวแล้ว
“จะว่าไปก็ถูก ป้าใหญ่กับป้ารองเองก็มีสินเ้าสาวออกเรือนเป็ที่ดิน ต่อไปหากแยะบ้านคงลดน้อยไปหลายแปลง ช่างเป็เื่ที่ไม่สมควรเลย”
หลิวชิวเซียงไม่รู้ว่ามีคนแอบฟัง เมื่อเห็นน้องรองเอ่ยเช่นนี้ จึงเอ่ยต่อ “ย่าเรากับปู่ร่างกายก็ยังดีอยู่ คงไม่มีทางแยกบ้านตอนนี้ ต้องรออาสี่สอบผ่านซิ่วไฉก่อน ถึงจะพูดเื่หมั้นหมาย ตอนนั้นอาเล็กก็คงเพิ่งจะสิบขวบ ไม่รีบร้อนหรอก”
“ข้าไม่ได้ร้อนใจ อาเล็กจะคุยเื่หมั้นหมายตอนนั้น อย่างน้อยก็เป็ถึงน้องสาวของซิ่วไฉ หรือบางทีหากยืดไปอีกสามปี รอจนอาสี่สอบผ่านจวี่เหริน ค่าสินสอดก็คงยิ่งสูงนะสิ”
ยิ่งไปกว่านั้น ยิ่งเข้าใกล้จวี่เหริน ระดับของจวี่เหรินกับซิ่วไฉก็แตกต่างกัน จะใช้เส้นสายเพื่อได้ตำแหน่งขุนนางสักตำแหน่งก็พอเป็ไปได้ หากว่าทางราชสำนักมีความเคลื่อนไหวที่สั่นสะท้าน ก็ใช่ว่าจะไม่เปลี่ยนสายเืเชื้อพระวงศ์ แล้วจับจวี่เหรินเหล่านี้ขึ้นไปแทนราชสำนักเก่า
หลิวเต้าเซียงจึงกล่าวต่อว่า “ไม่ต้องพูดถึงเื่อื่น เพียงแค่เื่หมั้นหมายของอาสี่ในสามปีจากนี้ ก็คงต้องมีที่นาที่สมหน้าตาถึงจะดูดีสักหน่อย”
หลิวชิวเซียงมักได้ยินหลิวฉีซื่อพูดถึงเื่ที่หลิววั่งกุ้ยเรียนดีเช่นไร จึงตอบแบบไม่คิด “แน่นอนอยู่แล้ว อาสี่สอบผ่านซิ่วไฉ ในบ้านก็คงได้ลดหย่อนภาษีไปยี่สิบแปลง”
“ไม่รู้ว่าอีกหน่อยอาสี่จะได้สะใภ้เช่นไร หากว่าได้บุตรสาวขุนนาง เกรงว่าที่นายี่สิบแปลงคงน้อยไป อีกอย่าง อาเล็กถึงตอนนั้นก็ต้องพูดเื่หมั้นหมาย พร้อมกับที่นาอีกสิบแปลง หืม รายได้ของบ้านเรา คงหายไปกว่าครึ่ง”
หลิวเต้าเซียงไม่ได้พูดอย่างชัดเจน เพียงแต่ขุดหลุมดักไว้เช่นนี้
ด้วยถ้อยคำเหล่านี้ นางสามารถหว่านล้อมจนทั้งสองฝั่งสามารถยินยอมแยกบ้าน ถึงอย่างไรคนที่ยากจนที่สุดอย่างครอบครัวฝั่งหลิวเต้าเซียงคงไม่มีทางเสนอเองได้
กุญแจสําคัญคือหลิวเต้าเซียงวางแผนว่าหลังจากมีเงิน จะให้พ่อของตนไปร่ำเรียน ไม่แน่ว่าอาจจะสอบติดซิ่วไฉ ในยุคสมัยนี้ไม่มีเื่ของอายุที่แก่เกินไปสำหรับการเรียนหรืออะไร กลับกันคือคนมีการศึกษามักจะได้รับการเลื่อมใส แม้นว่าจะอายุหกสิบแล้วไปเรียนพร้อมกับเด็กน้อย
สำหรับการศึกษาของหลิวซานกุ้ย นางเห็นดีเห็นงามอย่างยิ่งแล้วกำมือแน่น อืม ตัดสินใจเช่นนี้แหละ
หลิวชิวเซียงลังเลอยู่ในใจ วินาทีถัดมาจึงโพล่งออกมาอีกหนึ่งเื่ “จะว่าไปก็ใช่ เกรงว่าในบ้านคงจะอยู่กันอย่างขัดสนยิ่งกว่าเดิม อ้อ ใช่สิ ข้ายังเคยสังเกตเห็นโดยไม่ตั้งใจ มีอยู่ครั้งหนึ่งที่อาเล็กปั้นสีหน้าอยู่ตรงระเบียงแล้วโยนสะดึงไปอีกทาง”
หลิวเต้าเซียงถามว่า “คงไม่ใช่ว่าเกิดเื่อะไรขึ้นในบ้านหรอกนะ?” หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ย่าของนางทำอะไรพิสดารอีกแล้ว!
“จะไปมีเื่อะไรได้ เ้าก็รู้ว่าย่าเราเป็อย่างไร ลุงใหญ่กับลุงรองไม่ใช่คนเรียนหนังสือ ย่าวาดหวังอยากจะเป็ฮูหยินของบ้านขุนนาง ไม่สิ อาจารย์ต่างก็บอกว่าอาสี่นั้นมีความหวัง ย่าจึงเตรียมเงินค่าสินสอดไว้ให้เขาอยู่เท่านี้”
หลิวเต้าเซียงมองดูนิ้วชี้ที่ตั้งขึ้น เงินหนึ่งตำลึงค่าสินสอดของบุตรสาวคนรวย ยากยิ่งกว่าขึ้น์ จึงขำแล้วเอ่ย “คงไม่ใช่สิบตำลึงหรอกนะ สินสอดนี้หากเทียบกับคนแถวนี้ ถือว่าไม่น้อยทีเดียว”
“สิบตำลึงเงิน ฮึ ย่าเราคงอยากเป็ฮูหยินของขุนนางจนบ้าไปแล้ว หนึ่งร้อยตำลึงเงินต่างหาก ย่าเตรียมไว้ให้อาสี่หนึ่งร้อยตำลึงเงินเป็ค่าสินสอด ดังนั้น ย่าเตรียมที่นาไว้ให้อาเล็กสิบแปลง คงเป็เื่จริง”
หลิวชิวเซียงบอกกับนางด้วยสีหน้าลึกลับ หลิวเต้าเซียงเองถึงกับตกตะลึงจริงๆ ค่าสินสอดหนึ่งร้อยตำลึงเงิน นี่คงเป็จำนวนมากที่สุดในตำบลเหลียนซาน
ดวงตาของนางหมุนไปมา ยิ้มแล้วเปล่งเสียงสูง เพื่อให้คนที่แอบอยู่หลังประตูได้ยิน “พี่ นั่นคือนิสัยของย่า ครอบครัวฝั่งเราถึงอย่างไรก็ได้น้อยอยู่แล้ว ไม่มีปัญหาจะดีกว่า ถือเสียว่าไม่เคยได้ยิน”
หลิวชิวเซียงเองก็คิดเช่นนั้น ครอบครัวฝั่งตนเองไม่มีน้องชาย ในราชวงศ์โจวถือว่าสิ้นสุดตระกูล เช่นนั้นแล้วเวลาที่แยกบ้าน ก็คงแบ่งสมบัติได้ไม่มากนัก
“ใช่ อย่างไรก็ตาม ครอบครัวของเราก็ได้ส่วนแบ่งน้อยอยู่แล้ว เราไม่ต้องเอ่ยถึงดีกว่า”
สองพี่น้องช่วยกันโยนหญ้าเข้าไปในคอกหมูอย่างเชื่องช้า ส่วนร่างที่หลบซ่อนอยู่หลังประตูนั้นร้อนใจจนทนไม่ไหว
ลุกขึ้นพร้อมกับวัตถุทรงกลมบางอย่างแล้วรีบจากไป เสี้ยววินาทีนั้น ราวกับได้ยินเสียงสูดลมหายใจเพราะเตะโดนบางอย่าง
“น้องรอง เมื่อครู่เหมือนมีใครอยู่ในห้องครัวหรือไม่?”
“ไม่มีนี่นา!” หลิวเต้าเซียงพูดโกหกหน้าตาย
“จริงหรือ?” หลิวชิวเซียงขมวดคิ้ว เงยหน้าสี่สิบองศาขึ้นท้องฟ้า หรือว่านางจะเหนื่อยเกินไป? ดังนั้นจึงหูแว่วไปเอง!
“ไม่มีจริงๆ!”
หลิวเต้าเซียงช่วยหลิวชิวเซียงให้อาหารหมู แล้วแบกตะกร้าใส่หลังขึ้นไปหลังเขา อันที่จริงเวลาครึ่งเช้านั้น ในห้วงมิติก็ผ่านไปสองวันครึ่งแล้ว ตอนนี้คือ่บ่าย นางต้องรีบเข้าไปดูที่ห้วงมิติ เติมอาหารเติมน้ำดื่มต่างๆ
แน่นอนว่า นางตั้งหน้าตั้งตารอยามค่ำคืน อยากดูศึกแม่สามีกับลูกสะใภ้ระหว่างหลิวซุนซื่อกับหลิวฉีซื่อเต็มที ช่างน่าสนุกเหลือเกิน
นอกจากนี้ คนที่แอบฟังก่อนหน้านี้ก็พุ่งเข้าห้องปีกตะวันออกอย่างรวดเร็ว
“แม่ แม่ ไม่ดีแล้ว”
หลิวจูเอ๋อร์วิ่งเข้าไปในบ้านอย่างหายใจหอบ
หลิวซุนซื่อกําลังปักลวดลายรองเท้า เมื่อได้ยินเสียงกระวนกระวายของนาง ก็ใจนเข็มทิ่มนิ้ว แต่ไม่ทันได้สนใจความเจ็บก็รีบเงยหน้าแล้วเอ่ยถาม “เป่าเอ๋อร์ล่ะ?”
“ท่านแม่ ข้าอยู่นี่” เด็กตัวอ้วนมุดมาจากด้านหลังของหลิวจูเอ๋อร์
หลิวซุนซื่อมองเขาหัวจรดเท้า เห็นเขายังครบสามสิบประการ มีเพียงใบหน้าที่เปื้อนโคลนเล็กน้อย ทั้งเสื้อเหมียนอ๋าวบนตัว แต่ไม่ได้รับาเ็ เมื่อคิดถึงตรงนี้ก็โมโหขึ้นมาแล้วเริ่มด่า “เ้าไปตายที่ไหนมา? คิดว่าเสื้อเหมียนอ๋าวตัวใหม่นี่ไม่ต้องใช้เงินหรือ? นี่เพิ่งจะสวมใส่ ดูสิ สภาพเป็เช่นไร? อย่าคิดว่าแม่จะเย็บชุดใหม่ให้นะ”
เมื่อนึกถึงเสื้อเหมียนอ๋าวที่ตนเองทนตรากตรำกว่าจะเย็บออกมาได้ กลับถูกหลิวจือเป่ากระทำย่ำยีเช่นนี้จึงโมโห ลุกขึ้นแล้วโยนสะดึงไปบนคั่ง เดินหน้าลากหลิวจือเป่ามา เงื้อมือขึ้นแล้วตบลงไปที่ก้นของเขาหลายที
หลิวจูเอ๋อร์รู้สึกกังวลมากในขณะนี้ จนนางรีบเหยียดมือออกและพูดว่า “ท่านแม่ ข้ามีเื่ด่วนจะบอก เื่ของเป่าเอ๋อร์ไว้ก่อนเถิด”
หลิวซุนซื่อสังเกตเห็นว่าหลิวจูเอ๋อร์รู้สึกกังวลและถามอย่างรีบร้อน “เกิดเื่อันใดขึ้น?” คิดถึงเื่นี้แล้วหัวใจก็ตุ้มๆ ต่อมๆ คงไม่ใช่…?
มือข้างที่ถูกขวางไว้เปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว แล้วหันไปฟาดใส่หลิวจูเอ๋อร์ “เ้าตัวดี เ้าคงไม่ได้ไปหาเื่คนบ้านนั้นอีกแล้วหรอกนะ รีบบอกแม่มาเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้น แม่จะตีให้ตายเลย”
หลิวจูเอ๋อร์รีบะโหลบออก แล้วเอ่ยอย่างระอาเต็มทน “ท่านแม่ พูดบ้าอะไรกัน? ข้ามีเื่จริงๆ แม่จะฟังหรือไม่ หนนี้ไม่ใช่เื่เพียงแค่สิบตำลึงนะ”
สิบตำลึงเงิน?
เมื่อสี่คำนี้ออกมาเข้าหูหลิวจือไฉที่อ่านตำราอยู่ข้างๆ เขารีบวางตำราในมือลง แล้วะโ “ท่านแม่ ช้าก่อน”
หลิวซุนซื่อก็ทำท่าทางไปอย่างนั้น หากว่าบุตรสาวของตนนั้นถูกใจคุณชายที่อยู่ห้องตะวันตกจริง นางเองก็เห็นดีเห็นงาม อย่างไรก็ตามหากเข้าตาคุณชายท่านนั้นก็คงเพิ่มความมั่งคั่งให้บ้านของตนอีกหนึ่งทาง
นางไม่มีทางลงมือหนักอยู่แล้ว เมื่อเห็นหลิวจือไฉห้ามก็รีบชักมือกลับ แล้วปั้นสีหน้าถาม “น้องชายเ้าช่วยเ้า เ้าต้องระลึกถึงความดีของเขา”
หลิวจือไฉฟังแล้วได้ใจยิ่งนัก แล้วนึกถึงคำพูดของหลิวจูเอ๋อร์จึงเอ่ยถาม “พี่ เมื่อครู่พี่บอกว่ามีเื่ด่วนมิใช่หรือ? เื่อะไรกัน?”
ลานบ้านของตระกูลหลิวไม่ได้กว้างนัก ขอเพียงมีความเคลื่อนไหว ในลานบ้านจะมีใครบ้างที่ไม่รู้
หลิวจูเอ๋อร์พึมพำอย่างไม่พอใจสองคำ ไม่รู้ว่าเป็เพราะที่แม่ด่าว่านาง หรือที่ในใจของแม่เห็นหลิวจือไฉมีความสำคัญมากกว่า
“จูเอ๋อร์คนดี รีบเอ่ยมา เ้ามีเื่ด่วนอะไร” หลิวซุนซื่อเกลี้ยกล่อมนางเบา ๆ
หลิวจูเอ๋อร์จำสิ่งที่นางได้ยินก่อนหน้านี้และบอกกับทั้งสองโดยครบถ้วนไม่ตกหล่นแม้แต่คำเดียว
หลิวซุนซื่อด่าด้วยสีหน้าไม่พอใจ “ถุย มีแต่พวกเ้าเล่ห์ทั้งนั้น ดูไม่ออกเลย อาเล็กของพวกเ้า เพิ่งจะอายุเท่านี้ ช่างหน้าไม่อาย เด็กแค่นี้ก็คิดอยากออกเรือน หืม ช่างน่าขายขี้หน้าตระกูลหลิวของเราเหลือเกิน นางเด็กตัวดีอายุยังไม่ถึงเจ็ดขวบ ก็เอาแต่นึกถึงผู้ชาย”
ดวงตาของหลิวจือไฉโมโหจนขอบตาแดงก่ำ ที่นาสิบแปลง ครึ่งหนึ่งเป็ของบ้านตนเอง
“ท่านแม่ จะปล่อยให้เื่เป็เช่นนี้ไม่ได้ อาเล็กกำลังจะเอาที่นาของเราไปให้คนนอก นี่ช่างน่าเกลียดปะไร”
แม้ว่าจะได้รับการสั่งสอนจากหลิวเหรินกุ้ย แม้เขาจะฉลาดเพียงใด แต่ก็ยังไม่ถึงเก้าขวบ จึงข่มอารมณ์โมโหไว้ไม่อยู่
หลังจากได้ยินคําพูดของหลิวจูเอ๋อร์ ปฏิกิริยาแรกของเขาก็คือ หลิวเสี่ยวหลันกำลังจะแตะต้องของของเขา
ที่นาสิบแปลงมีห้าแปลงเป็ของบ้านเขา
ถูกต้อง ในใจของหลิวจือไฉ บ้านฝั่งหลิวซานกุ้ยไม่มีทางได้แบ่งที่นาสิบแปลงนี้แน่นอน ส่วนหลิววั่งกุ้ย หลิวฉีซื่อได้เตรียมเงินหนึ่งร้อยตำลึงไว้ให้แล้วไม่ใช่หรือ?
หลิวจูเอ๋อร์ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห ตอนนี้นางอายุสิบเอ็ดปี เริ่มมีคนมาทาบทาม แต่หลิวซุนซื่อแม้จะเอ็นดูนาง แต่ก็ไม่มีทางมากไปกว่าหลิวจือไฉกับหลิวจือเป่า ไม่เคยได้ยินว่าย่าจะยกที่นาสิบแปลงให้เป็สินเ้าสาวออกเรือน เพียงแต่เคยเกริ่นว่าจะเตรียมที่นาให้สี่ผืน
“นั่นสิ ท่านแม่ บ้านเราเสียเปรียบเหลือเกิน ท่านดูสิ บ้านลุงใหญ่บอกว่าไม่มีเงิน ย่าก็ยกเงินให้สิบตำลึงเงิน กลับปิดบังเื่สินเ้าสาวออกเรือนเป็ที่นาสิบแปลงของอาเล็ก นี่ยังไม่เท่าไร เพียงแต่ว่าอาสี่จะสู่ขอภรรยา ต้องใช้เงินถึงหนึ่งร้อยตำลึงเงินเชียวหรือ?”
หลิวซุนซื่อเองก็มีความคิดของตนเอง หากบุตรสาวคนโตเริ่มพูดคุยเื่หมั้นหมาย เงินค่าสินเดิมแม้จะได้ตระเตรียมไว้บ้าง แต่ก็ไม่เพียงพอสำหรับซื้อที่ดินได้ เดิมทีนางก็เตรียมที่นาไว้ให้หลิวจูเอ๋อร์สี่แปลง แต่เมื่อได้ยินว่าหลิวฉีซื่อแบ่งที่นาเช่นนี้ นางเองก็เกิดความไม่สบายใจ เดิมนางคิดว่าที่นาสามสิบแปลงจะเป็ของบ้านลุงใหญ่กับบ้านตนเอง แล้วก็อาสี่ ทั้งสามบ้านแบ่งกัน ส่วนที่ดินแห้ง อย่างมากก็คงแบ่งให้หลิวซานกุ้ยที่ใจเสาะกระทั่งไม่กล้าตดสักครึ่งหนึ่ง ที่เหลือก็ไว้สำหรับหลิวต้าฟู่กับหลิวฉีซื่อไว้อยู่ยามแก่เฒ่า
เพียงแต่ลืมคำนวณในส่วนของหลิวเสี่ยวหลันไป สำหรับอาเล็กที่ได้รับการประคบประหงมมา หลิวซุนซื่อเกลียดเข้าไส้เหลือเกิน
หน้าตาก็สู้บุตรสาวตนเองไม่ได้ แล้วยังชอบอวดดีไปทั่ว ข่มบุตรสาวของตนที่ดุจดั่งไข่มุกและหยก
-----