หลิวจื้อไฉเห็นด้วยกับคำพูดของหลิวจูเอ๋อร์ แล้วเอ่ยด้วยความไม่พอใจ “ท่านแม่ พี่พูดได้ถูกต้อง บ้านเรานั้นเสียเปรียบเกินไป ลุงใหญ่กับอาเล็กนั้นได้ผลประโยชน์ถือว่าเล็กน้อย แต่ในส่วนของอาสี่นั้นได้ผลประโยชน์มากมาย ย่าลำเอียงเกินไป”
หลิวจูเอ๋อร์ยังกังวลเกี่ยวกับที่ดินสิบแปลง หากว่าบ้านตนได้แบ่งที่ดินสิบแปลงนี้ ไม่แน่ว่าสินเ้าสาวออกเรือนของนางก็จะเพิ่มพูนหนาแน่นขึ้น ต่อไปเมื่อแต่งเข้าบ้านแม่สามี ก็จะได้รับการให้เกียรติจากแม่สามีมากยิ่งขึ้น
ดังนั้นนางจึงกล่าวอย่างร้อนใจว่า “ท่านแม่ นี่ไม่ใช่แค่เื่เสียเปรียบ ทางอาสี่ได้ไปหนึ่งร้อยตำลึงเงิน อาเล็กได้ที่นาสิบแปลง ก็เป็เงินหกสิบตำลึงเงิน บ้านลุงใหญ่ปีนี้ได้สิบตำลึงเงิน ต่อไปก็ต้องส่งเงินจากบ้านใหญ่ไปทุกปี ยิ่งไปกว่านั้น หากว่าพี่จือเซิ่งสอบผ่านซิ่วไฉ เกรงว่าค่าเซ่นไหว้อาจารย์คงสูงกว่านี้หลายเท่านัก”
ยิ่งหลิวซุนซื่อได้ฟังมากเท่าไร นางก็ยิ่งโกรธมากขึ้นเท่านั้น และคิดว่าจะอาละวาดกับหลิวฉีซื่ออย่างไรดี นับไปนับมาทั้งหมดเป็จำนวนหนึ่งร้อยเจ็ดสิบตำลึงเงิน ในส่วนนี้กลับไม่มีเศษเสี้ยวที่เป็ของครอบครัวฝั่งตนเอง
ภายใต้การหล่อเลี้ยงของหลิวเหรินกุ้ย หลิวจื้อไฉนั้นรักเงินประดุจชีวิต แทบอยากจะกำเงินเ่าั้ไว้ในมือของตนเองให้แน่น
ในขณะนี้ความโกรธเข้าครอบงำเขา จึงกัดฟันเอ่ย “ท่านแม่ เื่นี้จะปล่อยไปเช่นนี้ไม่ได้ ในหนึ่งร้อยเจ็ดสิบตำลึง อย่างน้อย ก็เอาในส่วนของครอบครัวเราไปห้าหกสิบตำลึงเงิน เหตุใดอาสี่แต่งงานต้องใช้ถึงหนึ่งร้อยตำลึงเงิน ต่อไปหากข้าสอบผ่านซิ่วไฉ ปู่กับย่าก็ต้องยกให้ข้าเพิ่มหนึ่งร้อยตำลึงเงินมิใช่หรือ ข้าคือหลานแท้ๆ ของปู่กับย่า ข้าไม่ต้องกตัญญูต่อปู่ย่าหรืออย่างไร?”
ทันทีที่หลิวซุนซื่อนึกถึงเงินห้าหกสิบตำลึงเงิน หัวใจก็กระสับกระส่ายอย่างควบคุมไม่ได้
ทั้งหมดเป็ครอบครัวของนาง
หลิวจูเอ๋อร์คิดว่าถ้าหากเงินห้าหกสิบตำลึงเงินนี้ตกอยู่ในมือของตนเอง สินเ้าสาวออกเรือนของตนคงหนาขึ้นบ้าง
นางบีบผ้าเช็ดหน้าไว้ ตาเป็ประกายแล้วเอ่ย “ท่านแม่ โชคดีที่ปีนี้ย่าหยิบออกมาเพียงสิบตำลึงเงิน เรายังมีโอกาสคิดแผน”
นางจะไม่ปล่อยให้เงินที่ละลานตาเหล่านี้ต้องลอยไปกับหลิวเสี่ยวหลันและหลิววั่งกุ้ยง่ายๆ
หลิวซุนซื่อพินิจแล้วเอ่ย “คืนนี้ข้าจะลองแหย่คำถามกับย่าของเ้า จากนั้นค่อยคิดหาหนทาง ส่วนเงินสิบตำลึงของบ้านลุงใหญ่ อย่าให้เขาได้หยิบฉวยไปอย่างสบายใจเฉิบ”
หลิวจือไฉมีเพียงความคิดเดียว นั่นก็คือตนเองไปปรึกษาหารือเื่นี้กับพ่อ เขาเชื่อว่าพ่อของตนเองไม่มีทางปล่อยให้เื่นี้เกิดขึ้น แล้วก็เอ่ยกับหลิวซุนซื่อว่า “ท่านแม่ ประเดี๋ยวลูกจะกลับไปที่ตำบล”
“ใช่ๆ เ้าต้องส่งข่าวกลับไปให้พ่อของเ้า บอกเื่นี้กับเขา” หลิวซุนซื่อเกือบจะลืมหลิวเหรินกุ้ย
หลิวจือไฉพยักหน้าแล้วพูดกับหลิวจูเอ๋อร์ว่า “พี่ใหญ่ ช่วยข้าเก็บข้าวของด้วย ข้าจะไปหารถเข็นวัวที่ปากทางหมู่บ้าน หากว่าย่ากลับมา ก็บอกว่าขากลับไปเอาตำราที่ตำบลก็แล้วกัน”
หลิวจูเอ๋อร์ไม่พอใจเล็กน้อยกับคําสั่งของหลิวจือไฉ แต่เื่นี้ใหญ่หลวง หากถึงตอนนั้นที่เกิดเื่ทะเลาะกัน แล้วครอบครัวตนเองได้เงินเพิ่มขึ้น นางก็จะได้ผลประโยชน์ไปด้วย จึงข่มอารมณ์โกรธเคืองนี้ไว้
หลังจากพูดคุยกัน ก็ตกลงกันตามนี้
หลิวจื้อไฉเข้าเมืองเพื่อจะขอความเห็นจากหลิวเหรินกุ้ย ส่วนหลิวจูเอ๋อร์ช่วยดูหลิวจือเป่า ขณะที่หลิวซุนซื่อกำลังเตรียมตัวต่อกรว่าจะเริ่มคุยกับหลิวฉีซื่อคืนนี้อย่างไร
หลิวเต้าเซียงกำลังเก็บฟืนอยู่บนหลังเขาก็คอยสังเกตด้านล่าง เห็นหลิวจื้อไฉพรวดพราดออกมานั่งรถเข็นวัวออกจากหมู่บ้านสามสิบลี้ไป
นางยืนอยู่บนต้นไม้และมองปากทางหมู่บ้านอย่างอิ่มเอมใจ อืม คืนนี้คงได้เป็ผู้ชมแล้ว
“โฮสต์ครับ นี่ไม่เห็นน่าสนุกตรงไหน คนที่ขยันหมั่นเพียรในการทำงานต่างหากคือาา หลังจากมีเงิน เื่เหล่านี้น่ะเล็กน้อยครับ เราเก็บเงินไว้สะสมหยก แล้วก็สะสมหยกไปเรื่อยๆ” สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดไม่ได้เข้าใจถึงความตื่นเต้นของหลิวเต้าเซียงแม้แต่น้อย
จากการวิเคราะห์ทั่วไปของมนุษย์ในกาแล็กซีอย่างพวกเขา เงินเป็สิ่งสําคัญที่สุด ส่วนอย่างอื่นเป็ดั่งเมฆที่ล่องลอย
“เ้าถั่วงอก ขณะที่ยังไม่มีอำนาจอย่างแท้จริง ต่อให้มีเงินก็ไม่กล้าเอาออกมาใช้อยู่ดี เฮอะๆ สะสมหยกอะไรกัน ฉันไม่ถูกจับโยนเข้าคอกหมูก็ถือว่าบุญแล้ว”
สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดที่อยู่ในเส้นทางการประจบประแจง มันไม่เข้าใจเื่นี้จริงๆ
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง หลิวเต้าเซียงก็เข้าใจว่าทําไมมันถึงไม่จู้จี้อีกต่อไป จึงอธิบายให้มันฟังอย่างละเอียดถึงแผนการของตนเอง
สัตว์ปีศาจศูนย์ศูนย์เจ็ดถึงขั้นอดที่จะทอดถอนใจไม่ได้ “มนุษย์หนอ ความปรารถนาช่างเปี่ยมล้นเหลือเกิน”
หลิวเต้าเซียงยกมุมปากขึ้น ช่างเถอะ นางไม่อยากถือสาพวกที่ไม่ใช่มนุษย์
“เ้าสัตว์ปีศาจน้อย กลางคืนต้องมีฉากน่าสนุกให้รอดูอีก ไปเถอะ เรารีบตัดฟืนต่อดีกว่า”
หลิวเต้าเซียงทำงานครึ่งวันบนหลังเขา จากนั้นก็แบกฟืนกลับมาหนึ่งตะกร้า
หลิวชิวเซียงได้ยินเสียงนางผลักประตูลานบ้าน จึงยื่นศีรษะออกมาจากในครัว แสงตะวันจรดบนศีรษะของนางพอดี สาดผ่านหนังศีรษะที่เป็ประกาย หน้าผากสองด้านมีผมขึ้น ขนตายาวงอนกำลังจ้องมองผู้ที่มา “น้องรอง รีบมาดื่มน้ำมันข้าวสักถ้วย ตอนกลางวันก่อนที่ปู่จะออกบ้านบอกว่าหุงข้าวขาวกิน แม่ตั้งใจเก็บไว้ให้เ้าหนึ่งถ้วย”
หลิวเต้าเซียงมองไปที่ใบหน้ามีเืฝาดของหลิวชิวเซียง ใครจะเชื่อว่าคนตรงหน้านี่คือ เด็กสาวที่เหมือนขอนไม้ ตัวเล็กผอมโซ ผิวซีดเหลืองเมื่อหนึ่งเดือนก่อน นางได้ยินจึงยิ้มแล้วตอบ “พี่ใหญ่ ข้ากลับมาแล้ว”
น้ำมันข้าวก็คือน้ำแกงข้าว ในยุคปัจจุบันคนเมืองต่างหาได้ยาก มีเพียงต้องไปยังชนบทที่ใช้ฟืนหุงข้าว ถึงจะมีโอกาสได้ชิมแบบนี้สักถ้วย
“ดูหน้าตาเหลือขอของเ้าสิ ช่างน่าอนาถ” หลิวเสี่ยวหลันที่นั่งปักผ้ามองนางอย่างดูแคลน
หลิวเสี่ยวหลันคิดว่าน้ำมันข้าวคืออาหารที่คนอดอยากได้กิน หลิวเต้าเซียงขี้คร้านจะสนใจนาง จึงย่างเท้าขึ้นบันไดไป
“นี่ นางตัวดี หยุดเดี๋ยวนี้นะ” หลิวเสี่ยวหลันรู้สึกเสียหน้าเมื่อหลิวเต้าเซียงไม่สนใจนาง จึงโยนสะดึงไปอีกทางอย่างโมโห แล้วมองหลิวเต้าเซียงตาขวาง
“ข้าคือนางตัวดี แล้วอาเล็กคืออะไร?” นางอยากบอกกับหลิวเสี่ยวหลันว่า เราสองคนก็มีอวัยวะที่ใช้ปัสสาวะเหมือนกัน ดังนั้น ว่าเขาแต่อิเหนาเป็เอง
หลิวเสี่ยวหลันโกรธมากจนแทบหงายหลัง คิ้วคว่ำลง ลุกพรวดขึ้นมากำลังพุ่งไปจะตบหลานสาวที่ไม่เชื่อฟังสักที เพิ่งจะเห็นว่าขณะนี้หลิวเต้าเซียงกำลังมองนางด้วยหน้าตาหัวเราะเยาะ
“รอก่อนเถอะ ฮึ!” นางกระทืบเท้า แล้วหันหลังเข้าห้องไป
ไม่ต้องคิดก็รู้ หลิวเสี่ยวหลันจะไปหาซูจื่อเยี่ยที่ห้องปีกตะวันตก
หลิวเต้าเซียงเบะปาก เกิดมาหล่อก็ดีแบบนี้ แต่ว่าเงินสำคัญกว่า
หลังจากที่นางเข้าห้องครัวไป หลิวชิวเซียงตักเตือนนางเสียงค่อย หลิวเต้าเซียงจึงพยักหน้า แสดงท่าทีว่าอย่าไปถือสากับหลิวเสี่ยวหลันคนบ้า
นางดื่มน้ำมันข้าวเสร็จก็หาข้ออ้างจะกลับไปดูน้องเล็ก ก่อนจะไปต้มโจ๊กข้าวขาวในห้อง แล้วเข้าไปในห้องครัวเพื่อเอากระเทียม พริกไทย กับแครอท เมื่อเห็นของเหล่านี้ นางก็อยากกินเบคอนหมูผัดแครอท
ขณะกำลังนึกถึง ก็อยากหาเวลาไปตำบลอีกสักรอบ จะได้เอาไข่ไปขายแล้วเอาเงินมาซื้อ นางยังคิดว่าตัวเองเป็สาวน้อยชาวนาที่ขยัน โดยมีเป้าหมายของการทํางานหนักเพิ่มมาอีกหนึ่งอย่างคือ สู้เพื่อเบคอนหมู
ยามพลบค่ำ ควันเคลื่อนเป็ทางคดเคี้ยวขึ้นไปบนฟ้า ในห้องครัวส่งกลิ่นหอมที่รบกวนท้องไส้ ไก่บินสุนัขเห่าอยู่หน้าบ้าน ส่วนหลังบ้านบรรดาหมูอ้วนก็ส่งเสียงคึกคัก บรรยากาศเช่นนี้ช่างครื้นเครง
เพียงแต่...
เสียงแหลมปรี๊ดแสบแก้วหูดังขึ้นมาจากประตูใหญ่ “ใครที่มันสมควรตาย เอาไก่มาปล่อยไว้ในลานบ้าน ไก่มันอึไปทั่ว”
ในห้องปีกตะวันตก หลิวชุนเซียงที่กำลังตาโตถึงขั้นสะดุ้ง เปล่งเสียงร้องไห้โฮ จากนั้นก็ตามมาด้วยน้ำตาท่วมท้นูเาสีทอง
หลิวเต้าเซียงได้ยินเสียงของหลิวฉีซื่อจึงเดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว นางไม่อยากสนใจใยดีหญิงชราคนนั้นนัก
แต่เป็ห่วงหลิวชุนเซียงที่เพิ่งจะครบเดือน เห็นนางน้ำตาคลอเบ้า ปากเล็กนั้นอ้าออกกว้าง ร้องไห้จนหน้าแดง มือเล็กๆ ก็โผล่ออกมาจากผ้าห่ม และกวักไปมา
“โอ๋เอ๋ๆ น้องเล็กคนดี อย่าร้องไปเลย ดูสิปีศาจเฒ่าตรงลานบ้านทำเ้าใสินะ มานี่ พี่จูบเ้า ไม่กลัวนะ ไม่กลัว พี่จะช่วยไล่นางออกไป”
อาจเป็เพราะได้กลิ่นลมหายใจที่คุ้นเคย เสียงร้องของหลิวชุนเซียงก็ลดลง
หลิวฉีซื่อที่อยู่ตรงลานบ้านได้ยินถึงกับหงุดหงิด พุ่งไปหน้าประตูห้องปีกตะวันตกและกำลังจะด่ากราด ฉับพลันนั้นก็นึกขึ้นได้ว่า ห้องปีกตะวันตกมันตรงกับห้องตะวันตกพอดีนี่นา หากนางยืนด่าหน้าประตู คุณชายสูงศักดิ์ท่านนั้นก็ได้เห็นกันพอดี ด้วยความเป็กังวลเื่นี้จะส่งผลต่อการไต่เต้าของหลิวเสี่ยวหลัน จึงผลักประตูห้องปีกตะวันตกแล้วก้าวเข้าไป
หลิวเต้าเซียงกำลังเตรียมจะเปลี่ยนผ้าอ้อมให้หลิวชุนเซียง รู้สึกว่าตรงประตูมีเงาดำ พอเงยหน้าขึ้นก็เห็นหลิวฉีซื่อพุ่งเข้ามาพร้อมกับความโมโห จึงเปล่งเสียงเรียก “ย่า!”
หลิวฉีซื่อใกับเสียงร้องแหลมปรี๊ดของนาง คงไม่ได้ตั้งตัวว่าจู่ๆ หลิวเต้าเซียงจะมาไม้นี้
เมื่อมองไปที่หลิวเต้าเซียง ก็เห็นนางจ้องมองตนเองด้วยสายตาเ็าเข้ากระดูก หลิวฉีซื่อถึงกับใจเต้นอย่างไม่มีสาเหตุ
หลิวเต้าเซียงถามอีกครั้งว่า “ย่า แม่ข้ากับพี่ใหญ่ทำกับข้าวเสร็จแล้ว ปู่กับพ่อก็น่าจะใกล้กลับถึงบ้านแล้ว”
หลิวฉีซื่อได้ยินนางพูดแบบนี้ แล้วมองใบหน้าเล็กที่กำลังจ้องมองตนอีกครั้งอย่างไร้เดียงสา
นางสงสัยว่า ่นี้คงอ่อนเพลียเกินไปจึงตาฝาดไปเอง มิเช่นนั้นนางเด็กล้างผลาญที่อายุเพิ่งจะไม่กี่ขวบ จะไปมีสายตาราวกับท่านย่าใหญ่ตระกูลหวงได้อย่างไร
“นางเด็กล้างผลาญ ร้องเสียงดังทำไม นางเด็กป่าเถื่อน เข้าเป็แต่ออกไม่เป็ บ้านหลิวของข้านี่ซวยยิ่งนัก เหตุใดจึงได้สะใภ้หน้าไม่อายเช่นนี้ได้นะ”
หลิวเต้าเซียงแสร้งทําเป็ว่านางกําลังพูดถึงหลิวซุนซื่อ “ก็นั่นน่ะสิ ย่า ตอนกลางวัน ข้าเห็นป้ารองพาพี่จื้อไฉ พี่จูเอ๋อร์กับน้องจื้อเป่ากินของว่างอยู่ในห้องปีกตะวันออก ไม่เห็นจะแบ่งให้อาเล็กเลย ยังมีอีก ข้าได้ยิน ได้ยิน…”
ตามคาด ความคิดของหลิวฉีซื่อถูกชักจูงไปที่ตัวหลิวซุนซื่อ ลืมไปว่าตนเองเข้ามาเพื่อหาเื่นางเด็กล้างผลาญสองตัวนี้ เมื่อเห็นท่าทีอ้ำอึ้งของหลิวเต้าเซียง ก็ยิ่งแน่ใจว่าหลิวซุนซื่อต้องทำอะไรไม่ดีอีกแน่
“เ้าได้ยินอะไรกันแน่?”
หลิวเต้าเซียงถอนหายใจเล็กน้อย ใบหน้าแสดงความเป็กังวล แล้วพึมพำ “ทำอย่างไรได้เล่า ย่ากับป้ารองต่างก็เป็ผู้าุโ แม่เคยสอนว่า เด็กไม่ควรพูดอะไรไม่ดีเกี่ยวกับผู้ใหญ่ แต่หลานก็ต้องเชื่อฟังคำสอนของผู้ใหญ่ ย่า หลานไม่รู้ว่าควรพูดดีหรือไม่พูดดี”
หลิวฉีซื่อจับใจความได้ แม้คำพูดของหลิวเต้าเซียงจะไม่ได้บ่งบอกอะไรชัดเจน แต่ก็พิสูจน์ได้ว่าหลิวซุนซื่อกำลังทำอะไรลับหลังนางและห้ามให้ใครรู้ ยิ่งกว่านั้น มีของดีแต่กลับไม่แบ่งปันบุตรสาวตนเอง เห็นทีหลิวซุนซื่อคนนี้คงอยากโดนสั่งสอนจริงๆ
“เอาเถิด ปากเ้านอกจากจะคายอึออกมา ยังทำอะไรได้อีก นางแอบด่าข้าลับหลังใช่หรือไม่?”
หลิวเต้าเซียงมองนางด้วยสายตาที่สื่อความหมายว่า “ย่าก็รู้อยู่แล้วนี่”
หลิวฉีซื่อโมโหเดือดดาล หันหลังจะไปคิดบัญชีกับหลิวซุนซื่อ
หลิวเต้าเซียงะโใส่นางอีกครั้งและแนะนําว่า “ย่า อย่าโกรธไปเลย เดี๋ยวจะส่งผลต่อสุขภาพไม่คุ้ม อีกอย่าง ป้ารองก็เป็คนของครอบครัวเรา หากว่าลุงรองรู้เข้า เกรงว่าเขาจะคิดว่าย่าจงใจเล่นงานป้ารองนะ
“ฮึ มารดามันเถอะ ก็แค่มีพ่อเป็คนฆ่าหมู ถุย ยังคิดว่าตนเองนั้นเป็ผู้ดีสูงส่งหรือ”
หลิวฉีซื่อโกรธมากจนถ่มน้ำลายออกมาเต็มแรง คิดดูแล้ว ไม่ไหว หนนี้นางต้องคิดบัญชี แต่ก็เอ่ยถามอย่างไม่วางใจ “เ้าเห็นป้ารองเ้ากินขนมว่างจริงหรือ?”
-----