หลิวเต้าเซียงไม่้าให้หลิวเสี่ยวหลันอยู่ดีมีสุข จึงโน้มน้าวอีก “เฮ้อ อาเล็ก อย่าใจร้อนสิ ข้าคิดว่าย่าคงไม่ได้คิดถึงวิธีนี้ ผ่านตรุษจีนไปอาเล็กก็อายุครบแปดขวบ ถ้านับทางครรภ์มารดาก็สิบขวบ ได้ยินย่าบอกว่า ย่าตั้งใจจะให้อาเล็กเตรียมตัวออกเรือนเร็วหน่อย”
ไม่รู้ว่าหลิวฉีซื่ออยากจะให้ออกเรือนมากเพียงใด หลิวเสี่ยวหลันเพิ่งเจ็ดขวบ นางเห็นซูจื่อเยี่ยชมเชยบุตรสาวตนเองที่อายุสิบขวบว่าเก่งกาจ
นอกจากซูจื่อเยี่ยจะตาบอด มิเช่นนั้นแล้วจะดูไม่ออกได้อย่างไร
อย่างไรก็ตาม เื่นี้นางไม่ได้ใส่ใจ สิ่งที่นางต้องทำคือพยายามแยกบ้านให้จงได้ แยกได้ก็แยก บังคับแยก แอบแยก ช่วยกันแยก แยกอย่างไรก็ได้! อย่างไรก็ตาม ต้องยั่วยุจนคนในครอบครัวตระกูลหลิวยอมแยกถึงจะหยุด
ฟากของหลิวเสี่ยวหลันคิดว่าคำพูดของหลิวเต้าเซียงมีเหตุผล ขณะที่หลิวซุนซื่อฟังแล้ว เื่ที่หลิวสี่กุ้ยจะได้สิบตำลึงเงินยังไม่ได้ถูกจัดการ แต่หลิวเสี่ยวหลันก็แทรกเข้ามา แล้วพอได้ยินเื่แต่งงานที่หลิวเต้าเซียงพูดมา…
นางก็ยิ่งเชื่อมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้นางจะหยุดเงินสิบตำลึงนี้ไว้ได้ แต่เกรงว่าตนเองคงไม่มีทางได้ผลประโยชน์มากกว่านี้
หลิวซุนซื่ออดไม่ได้ที่จะเงียบแล้วไตร่ตรองอย่างลับๆ เพื่อคิดหาวิธีอื่น สิบตำลึงเงินนั้นไม่น้อย นางยิ่งรู้สึกว่าหลิวเสี่ยวหลันเป็ตัวล้างผลาญ คงต้องผลาญทรัพย์สินของตระกูลหลิวไปอีกไม่น้อยแน่ พอคิดเช่นนี้ นางก็เหลือบมองไปทางหลิวต้าฟู่
หลิวต้าฟู่ซึ่งนั่งอยู่ตรงที่นั่งหัวหน้าครอบครัวไม่ทันรู้ตัว เมื่อเห็นคนไม่ทะเลาะกันต่อ จึงพยักหน้าด้วยความพอใจ จากนั้นเคาะปล้องยาสูบตรงมุมโต๊ะ แล้วแคะขี้เถ้าในนั้นออกมา กระแอมคอแล้วเอ่ยกำชับ “เอาเถิด มีเื่อะไรก็รอแม่เ้ากลับมา พวกเ้าค่อยไปคุยกับนาง เ้าสาม วันนี้แดดแรงไปหน่อย เ้ากลับไปพักผ่อนที่ห้องสักครึ่งชั่วยาม ประเดี๋ยวค่อยไปสวนกับข้า สวนใยลินินวันนี้ต้องใส่ปุ๋ยมากหน่อย”
เดือนเมษายนในทุกปี หลิวซานกุ้ยต้องติดตามหลิวต้าฟู่ลากปุ๋ยลงดิน เช่นนั้น บ้านเขาจึงจะสามารถได้กำไรประมาณหนึ่งตำลึงเงิน แน่นอนว่า นี่คือจำนวนเงินก่อนหักส่วย
หลิวเสี่ยวหลันขยี้ผ้าเช็ดหน้าอย่างไม่พอใจ คิดๆ ดูแล้วก็หันกลับไป ‘ก่อกวน’ คุณชายซูจื่อเยี่ยที่อยู่ห้องทิศตะตก
หลิวเต้าเซียงจุดธูปสามเล่มให้เขาเงียบๆ จากนั้นก็เลิกคิดถึงเื่นี้ แล้วหันไปช่วยหลิวชิวเซียงเก็บชาม
ครอบครัวหลิวซุนซื่อทิ้งถ้วยชามไว้แล้วก็เดินตรงกลับห้อง ไม่นานก็ได้ยินเสียงปิดประตูห้องฝั่งทิศตะวันออก
พอหลิวจูเอ๋อร์เข้าห้องก็สะบัดรองเท้าปักไปอีกทาง รองเท้าข้างนั้นปลิวไปกระแทกกับกระโปรงผ้าฝ้ายพับของหลิวซุนซื่อพอดี
“จูเอ่อร์ เ้ากําลังทําอะไร?” หลิวซุนซื่อคํารามด้วยความโกรธ
สิ่งที่ไม่พอใจที่สุดของหลิวจู่เอ๋อร์คือหลิวเสี่ยวหลัน ทั้งที่นางคือบุตรสาวของคนรวยในตำบล ถูกเลี้ยงดูอย่างประคบประหงม แต่เมื่อใดก็ตามที่กลับมายังบ้านนอกนี้ ทำอะไรก็มักจะต่ำกว่าหลิวเสี่ยวหลันหนึ่งขั้นใหญ่
เมื่อเห็นหลิวซุนซื่อโมโห นางเงยหน้าแล้วเอ่ยด้วยท่าทีน้อยเนื้อต่ำใจ “ฮึ ท่านแม่ ข้าบอกั้แ่แรกแล้ว เราอยู่บ้านยายดีเพียงใด ดูท่าทางของอาเล็กนั่นสิ นางยังกล้าพูดออกมาได้ เพิ่งจะเจ็ดขวบเองก็คิดเื่ออกเรือนแล้ว ช่างฝันกลางวันเก่งจริง หน้าไม่อาย ไม่มียางอายเสียเลย”
“ใช่ ท่านแม่ อย่างน้อยอาเล็กก็เป็ผู้าุโกว่า อีกอย่าง พี่สาวเรายังไม่ได้พูดเื่ออกเรือน นางยังมีหน้า” หลิวจือไฉไม่พอใจกับการตัดสินใจของหลิวฉีซื่อ
ทุกคนเป็หลานกันหมด ทั้งยังเรียนอยู่ แต่เพียงเพราะหลิวจือเซิ่งเด็กกว่าเขา เข้าเรียนช้ากว่าสองปี เหตุใดเพียงเพราะเขากำลังเรียนระดับประถม ก็ต้องได้รับเงินเกื้อหนุนจากบ้านเกิดตั้งสิบตำลึงเงิน ในใจของเขามีคำว่า ‘ไม่พอใจ’ เขียนออกมาคำโตๆ
เพียงแต่เขาเองเป็ผู้ที่เคยร่ำเรียนมา จึงไม่ได้พูดออกมาตรงๆ
หลิวซุนซื่อฮึดฮัดแล้วโยนผ้าเช็ดหน้าออกไป จากหน้าต่างสามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวตรงลานบ้านทั้งหมด เห็นประตูห้องทางเดินปีกตะวันตกปิดแน่น แต่้าห้องกลับมีเสียงหัวเราะออเซาะของหลิวเสี่ยวหลันดังขึ้น
นางอดไม่ได้ที่จะถุยน้ำลายเต็มแรงไปทางนั้น “ยังมาบอกอีกว่าเป็คนมีบุญมาเกิด ก็หน้าไม่อายอยู่ดี”
หลิวซุนซื่อไม่มีทางยอมรับว่า นางอิจฉาหลิวเสี่ยวหลันที่กำลังจะไต่เต้าของที่สูง
คิ้วของหลิวจือไฉขมวดคิ้วเล็กน้อย แม่ของตนมักจะผิดประเด็นเสมอ
“ท่านแม่ เราไม่ได้รีบร้อนเื่การออกเรือนของพี่ใหญ่ อีกหลายปีกว่านางจะแต่งงาน ข้าจะพยายามไขว่คว้าโอกาสในการลงสนามสอบซิ่วไฉครั้งหน้าให้ได้”
“จริงหรือ? ไม่เด็กเกินไปหรือ? อาสี่ของเ้าตอนนี้ยังเป็แค่ถงเซิง”
เด็กในราชวงศ์โจวสามารถสอบถงเซิงได้ทุกปี ซึ่งเทียบเท่ากับจบการศึกษาระดับชั้นประถม ส่วนซิ่วไฉเปรียบเสมือนมัธยมต้น จวี่เหรินเปรียบเสมือนมัธยมปลาย ก่งเซิงคือการเตรียมตัวสอบเอนทรานซ์ เจียนเซิงคือนักศึกษามหาวิทยาลัย
หลังจากจบการศึกษาจากวิทยาลัย ก็จะได้รับการจัดสรร จากนั้นก็ทำงานรับเงินเดือน
“ท่านแม่ ท่านยังบอกอีกว่าอาสี่อายุสิบห้าปีนี้ อีกสามปีกว่าเขาจะลงสนามสอบ ถึงตอนนั้นก็อายุสิบแปด จะรีบร้อนไปไย ข้าย่อมได้สอบซิ่วไฉก่อนเขาอยู่แล้ว”
หลิวจือไฉมั่นใจกับคำพูดนี้ อาสี่ของเขาเรียนที่ตำบล สถาบันมีอยู่แห่งเดียว ดังนั้น อาหลานจึงเป็เพื่อนร่วมสถาบันกัน หลิววั่งกุ้ยนั้นอยู่ในมาตรฐานเช่นใด หลิวจือไฉเพียงแค่สืบถามจากอาจารย์ก็รู้กระจ่างแจ้ง
เมื่อเปรียบเทียบทั้งสองคน เขารู้สึกว่าตนเองสามารถศึกษาได้ดีมากกว่าหลิววั่งกุ้ย
“ลูกรัก แม่รู้ว่าลูกเป็คนเก่ง จะเรียนก็เรียนไป แต่ห้ามหักโหมจนร่างกายรับไม่ไหวนะ”
แม้ว่าหลิวซุนซื่อจะชอบโกหก แต่นางก็รักใคร่ลูกของตนจริงๆ
“ท่านแม่ ท่านวางใจได้ แม้ว่าครั้งหน้าจะสอบซิ่วไฉไม่ผ่าน แต่ลูกจะทำให้คนรอบข้างเห็นว่าข้าเรียนได้ดี ถึงตอนนั้น คนที่จะมาสู่ขอพี่สาวข้าได้ ต้องเป็คนที่สายตาเฉียบแหลมเท่านั้น”
หลิวจือไฉแตกต่างจากหลิววั่งกุ้ย แต่ก่อนเมื่อเขาเรียนจนเหนื่อย ก็จะตามหลิวเหรินกุ้ยมาเล่นที่โรงเตี๊ยม ได้เห็นผู้คนมากมาย ความสามารถเื่สายตาที่เฉียบแหลมนั้นก็พอใช้ได้ เทียบกับหลิววั่งกุ้ยที่เรียนอย่างเดียว
หลิวเหรินกุ้ยใช้ความตั้งใจในการสั่งสอนบุตรหลานของตนอย่างมาก
หลิวจูเอ๋อร์ได้ฟังคําพูดของพี่ชาย หัวใจของนางก็มีชีวิตชีวา หันศีรษะไปทางคั่งแล้วตอบ “น้องรัก คนบ้านเดียวกันก็ต้องพูดภาษาเดียวกัน ข้าต้องออกเรือนกับคนที่ช่วยเหลืออุ้มชูเ้าได้ พวกเราสองพี่น้องร่วมมือกัน ถึงจะเกิดผลดี”
“อืม ดังนั้นแม่อย่าโมโหไป คุณชายท่านนั้นไม่ใช่คนธรรมดา หากว่าหลอกล่อง่าย พ่อน่ะหรือจะปล่อยลูกเขยที่ดีเช่นนี้ไป?”
ทันทีที่หลิวจือไฉพูดจบ สมองของหลิวซุนซื่อก็แจ่มแจ้งขึ้นมาทันใด สมองที่ก่อนหน้านี้พร่ามัว พลันเข้าใจทุกเื่ขึ้นมาบ้าง
นั่นก็คือ ทำให้หลิวเสี่ยวหลันจับปลาหลุดมือ
หลิวจือไฉกล่าวเสริมว่า “ย่าของเราเคยชินกับความมั่งมี แต่ย่ากลับลืมไปว่า ที่นี่คือหมู่บ้านสามสิบลี้ ไม่ใช่จวนตระกูลหวงที่นางเคยเติบโตมา”
เพียงแต่ว่าหลิวฉีซื่อให้ตายก็ไม่ยอมเดินออกจากความฝันนั้น จึงยังปรารถนากับความมั่งมีไม่สิ้นสุด
หากหลิวเสี่ยวหลันเป็บุตรหลานของตระกูลหวง หากจวนตระกูลหวงถกเื่หมั้นหมายกับคุณชายท่านนั้น ก็ไม่แน่ว่าแผนการความตั้งใจของหลิวฉีซื่ออาจจะเป็จริง ถึงอย่างไรบ้านเศรษฐีจะส่งเด็กรับใช้มาปรนนิบัติปรนเปรอกันบนเตียงบ้าง นั่นก็เป็เื่ที่เป็ไปได้
หลิวซุนซื่อและหลิวจูเอ๋อร์เข้าใจแล้ว หลิวซุนซื่อจึงถามอีก “ถ้าเช่นนั้นเื่ตำลึงเงินนี่จะทำอย่างไรดี ไม่อยากเสียเปรียบให้อาเล็ก”
หลิวจือไฉยิ้มอย่างเ็า แววตาฉายความโลภออกมา “แน่นอน ท่านแม่ ย่าต้องลำเอียงกับอาเล็ก ทว่า คงไม่มีทางทำใจดำกับพี่จือเซิ่งแน่ ฉะนั้นแบ่งกันรับไปหนึ่งส่วนสาม ทุกคนต่างก็มีความสุข”
หลิวซุนซื่อรู้สึกว่าลูกชายของนางพูดถูก จึงแอบคิดหาเื่ทะเลาะกับหลิวฉีซื่อตอนกลางคืน จากนั้นก็สั่งให้หลิวจูเอ๋อร์ไปฝึกเย็บปักถักร้อย ส่วนหลิวจือไฉนั้นนั่งทบทวนบทเรียนข้างหน้าต่างต่อ
ส่วนหลิวจือเป่าไม่รู้ว่าไปเล่นที่ไหนแล้ว
จริงๆ แล้วหลิวจือเป่าไม่ได้ออกไปเล่นข้างนอก เพียงแต่กำลังเล่นดินโคลนอยู่หลังบ้าน จริงๆ เลย แค่เด็กสี่ขวบ จะรู้เื่ได้อย่างไร?
หลิวเต้าเซียงไปที่บ้านป้าหลี่ซานเสิ่นเพื่อป้อนผักสดให้กับลูกไก่ มองดูลูกไก่คึกคักมีชีวิตชีวา อารมณ์ก็ดีงาม
นางกลับมาที่บ้านอีกที เห็นว่าหลิวชิวเซียงไม่ได้อยู่ที่บ้าน จึงเอ่ยถามจางกุ้ยฮัวที่กำลังให้นม ถึงรู้ว่านางกำลังทำความสะอาดคอกหมูอยู่หลังบ้าน
“พี่ใหญ่ พี่ใหญ่!”
เสียงใสกังวานมีความสุขดังขึ้น ทำให้คนได้ยินก็พลันอารมณ์ดีไปด้วย
“นี่ ข้าอยู่ตรงนี้” หลิวชิวเซียงกำลังใช้คราดกวาดมูลหมูออกมาจากในคอก แล้วกวาดไปลงบ่อมูล ซึ่งก็คือจุดที่ปีศาจซูหล่นลงมาตรงนั้น
“พี่ใหญ่ เหม็นเหลือเกิน ครั้งหน้าพี่ไม่ต้องทำให้สะอาดมากหรอก” หลิวเต้าเซียงรู้สึกว่าหลิวชิวเซียงช่างอู้งานไม่เป็เสียเลย
หลิวจือเป่าไม่รู้โผล่มาจากตรงไหน ยืนเท้าสะเอวอย่างได้ใจ พร้อมกับพุงที่ยื่นออกมาแล้วเอ่ย “ฮึ นางตัวดี ข้าจะไปบอกย่า”
หลิวฉีซื่อเคยบอกเขาว่า ต้องช่วยนางจับตามองคนในครอบครัวนี้ มีเื่อะไรต้องไปบอกนาง จากนั้นนางจะให้กินขนมงา
หลิวเต้าเซียงโมโหจนคันปาก ไม่รู้จะจัดการกับหลิวจือเป่าอย่างไรดี จึงด่า “เ้าเด็กอ้วน คราวก่อนเ้าแอบขโมยไข่ในห้องปีกตะวันออกของย่า คิดว่าข้าไม่เห็นหรือไร?”
หลิวจือเป่ายังเด็กเกินไปและเขาไม่รู้ว่าหลิวฉีซื่อเกลียดเื่ที่ถูกหลิวซุนซื่อขโมยไข่เป็ที่สุด
ยังบอกให้เขาจับตามองครอบครัวหลิวเต้าเซียง อันที่จริงหลิวฉีซื่อ้าให้ครอบครัวนี้จับตาดูกันเองต่างหาก
อย่างไรก็ตาม หลิวจื่อเป่าเด็กเกินไป ส่วนหลิวเต้าเซียงไม่ใช่พวกต่อกรมืออาชีพ ดังนั้นทั้งสองจึงตกอยู่ในกับดักของหลิวฉีซื่อ
ทันทีที่โดนแฉ หลิวจือเป่าก็เงียบไป เมื่อครู่เขาเห็นแม่ตนเองแอบขโมยไข่ในห้องปีกตะวันออกอีกแล้ว กำลังคิดว่าอยากรีบกลับไปกินไข่ดาวน้ำ
“ฮืม อาเล็กได้กินเนื้อ ข้าเองก็กินอิ่ม” ดังนั้น เขาควรได้กินไข่
หลิวเต้าเซียงรู้ดี เทียบกับครอบครัวของนาง หลิวฉีซื่อย่อมต้องลำเอียงเข้าข้างทางนั้น
แม้ว่านางจะรู้ว่าหลิวจื่อเป่าขโมยไข่ แต่ย่าก็จะไม่ทําอะไรเขา แต่จะหาผลประโยชน์จากตัวหลิวซุนซื่อต่างหาก
เพราะหลิวซุนซื่อมีที่ดินสี่แปลงเป็สินเดิมออกเรือน ส่วนหลิวจือเป่าคือหลานชายแท้ๆ ของย่า
“อืม เพราะว่าย่าลำเอียงรักอาเล็ก คิดว่าย่าชอบเ้าหรือ?” หลิวเต้าเซียงจงใจกระตุ้นให้เขาโมโห
“ฮึ ข้าไม่บอกเ้าหรอก อย่างไรข้าก็จะบอกว่า พวกเ้าแอบอู้งาน ย่าจะให้ข้ากินขนม”
หลิวจือเป่าโกรธ แล้วเขาก็เผยคำพูดของหลิวฉีซื่อออกมาจนหมด
หลิวเต้าเซียงกะพริบตาอย่างมีไหวพริบ ที่แท้ก็เป็เช่นนี้นี่เอง นางยังคิดอยู่ว่า เหตุใดหลิวจือเป่าจึงเปลี่ยนเป็ขยันเช่นนี้
“เฮ้อ ที่แท้ก็เป็เช่นนี้นี่เอง เอาเถิด ข้าคิดอยู่ว่า เื่ที่เ้าขโมยไข่ข้าจะไม่บอกกับย่า แต่ในเมื่อเ้าอยากฟ้อง ถ้าเช่นนั้นข้าเองก็ไม่เกรงใจ”
เมื่อหลิวจื่อเป่าคิดว่าหลิวฉีซื่อจะทำโทษเขา พลันรู้สึกว่าก้นนั้นแสบร้อนไปหมด
การเคลื่อนย้ายของของหลิวฉีซื่อโดยไม่ได้รับอนุญาต ไม่ว่าอย่างไร คงหนีไม่พ้นโดนทำโทษ
“ถ้า ถ้าเช่นนั้น ข้าไม่พูด เ้าก็ห้ามพูดเื่ขโมยไข่”
หลิวเต้าเซียงยิ้มเหมือนยายหมาป่า เด็กน้อยแบบนี้สิถึงจะน่ารัก
“อืม รีบไปเถิด เมื่อครู่ตอนที่ข้ามา เห็นป้ารองเรียกเ้าจากในห้องปีกตะวันออก บอกว่าไข่ดาวน้ำสุกแล้ว”
คนที่มีอาหารให้กินก็คือแม่ กระเพาะของหลิวจือเป่าร้องโครกครากอยู่ขณะนี้
หลิวเต้าเซียงเห็นว่าเขาตรงเข้าบ้านจริงๆ แล้วเห็นแสงสีเขียวอ่อนๆ จากด้านหลังประตู
นางกะพริบตา มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย หันศีรษะทำท่าทีไม่ใส่ใจแล้วเอ่ยกับหลิวชิวเซียง
“พี่ใหญ่ พี่ว่าย่าจะยกที่นาให้อาเล็กเป็สินเดิมออกเรือนจริงหรือ?”
-----