กระแสลมในฤดูใบไม้ร่วงพัดพาเอาใบไม้ปลิวว่อนไปทั่วบริเวณโรงเกลากระบี่ที่ทรุดโทรม
ซูเหยียนเดินเข้ามาเรื่อยๆแล้วผลักประตูเหล็กที่เก่าคร่ำครึให้เปิดออกด้วยแรงที่แทบจะทำให้มันปลิวนางเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าก่อนจะยิ้มออกมาและโค้งคำนับข้าครั้งหนึ่งพลางพูดด้วยแววตาที่เว้าวอน
“ข้าอยากจะขอร้องเ้าสักเื่...”
“หืม? ว่ามาสิ...” ข้าว่าแล้ววางกระบี่ในมือลง
ชายกระโปรงพัดปลิวไปตามแรงลมเผยให้เห็นเนื้อขาขาวดุจหิมะดุจดั่งทิวทัศน์ที่สวยที่สุดในโรงเกลากระบี่ตอนนี้นางเม้มปากเล็กๆ แล้วกะพริบตาก่อนพูดขึ้น “ที่เ้าเอาชนะข้าได้ในวันนั้นเป็เพราะรู้จุดอ่อนของกระบี่เพลิงกัลป์แล้วใช่ไหม?”
“จุดอ่อนของกระบี่เ้า?”
ข้าครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะพยักหน้า“ก็ประมาณนั้น ด้ามของกระบี่เ้าทั้งใหญ่และหนักแต่เพลงกระบี่ตระกูลซูนั้นกลับใช้เพลงกระบี่ที่อาศัยความเร็วและไม่จำเป็ต้องใช้พลังิญญามากดังนั้นกระบี่เพลิงกัลป์จึงไม่ใช่สิ่งที่เหมาะกับเพลงกระบี่ตระกูลเ้า...และเื่นี้เ้าก็น่าจะรู้ดี”
“ใช่” เหมือนว่าซูเหยียนจะรู้สึกดีใจเล็กน้อยนางมองมาด้วยสายตาที่ชวนหลงใหลก่อนจะพูดต่อ
“สาเหตุที่ข้ามาวันนี้ก็เพราะเ้าใช้แค่เพียงกระบวนท่าง่ายๆก็สามารถหาจุดอ่อนของข้าได้แล้ว ข้าจึง้ากำจัดจุดอ่อนของตัวเอง เพราะไม่อย่างนั้นในเมื่อเ้าสามารถเอาชนะข้าได้คนอื่นก็ต้องทำได้เหมือนกัน ข้าไม่อยาก...ไม่อยากจะพ่ายแพ้ใครทั้งนั้น”
สายตาของนางบ่งบอกถึงความหยิ่งยโสนั่นอาจจะเป็เพราะนางอายุยังน้อยและยังเป็ศิษย์ที่มีคะแนนสูงที่สุดในสำนักหมื่นิญญาของปีนี้ก็ได้
ข้าหยุดคิดอยู่นานกระทั่งนางพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ทำไมล่ะ เ้ายังสงสัยอะไรอยู่งั้นเหรอ ปู้อี้เชวียน?” นางเอียงคอถามแล้วมองมา
ข้าสูดลมหายใจจนเต็มปอดก่อนจะพูดออกไป“ข้าไม่มีสิทธิ์ไปสอนอะไรเ้าหรอกนะ”
“ทำไมกัน?”
“เพราะเ้าเป็ถึงศิษย์อันดับหนึ่งของปีนี้ ส่วนข้าเป็แค่ศิษย์สำรองคนหนึ่งเท่านั้นและอีกอย่าง...” ข้าชะงักไปก่อนจะมองเข้าไปในดวงตาคู่นั้น“เพราะต่างก็รู้ดีว่าเพลงกระบี่ตระกูลซูเป็หนึ่งในเพลงกระบี่ที่เลื่องลือในใต้หล้าตระกูลเ้าเองก็มีประวัติความเป็มาที่ยิ่งใหญ่ จริงๆแล้วเ้าไม่จำเป็ต้องให้ศิษย์สำรองอย่างข้าไปสอนหรอก เ้าว่าจริงไหม?”
นางเม้มริมฝีปากสวยนั่นก่อนจะพูดขึ้น“เ้ายังโกรธข้าอยู่งั้นเหรอ? ...เื่ในวันนั้นข้าต้องโทษด้วยจริงๆ”
ข้าอดไม่ได้ที่จะเผลอยิ้มออกมา“เ้าเข้าใจผิดแล้วล่ะ ข้าไม่ได้โกรธเื่นั้นแต่ข้าเพียงรู้สึกว่าตัวเองไม่คู่ควรเท่านั้นเอง”
“ไม่จริง...เ้าคู่ควร!”
ซูเหยียนทำหน้าจริงจังก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและชัดเจน“ข้า!ซูเหยียนแห่งพันธมิตรนักปราชญ์ขาวขอร้องเ้าด้วยความจริงใจ...ช่วยข้าแก้ไขจุดอ่อนของข้าด้วยเถอะนะข้าไม่ให้เ้าสอนเปล่าๆ แน่นอน...”
นางไม่พูดเปล่ามือก็ล้วงเอาบัตรสีเงินในกระเป๋าด้านซ้ายออกมาแล้วพูดขึ้น“ในนี้มีสองแสนเหรียญหลงหลิง ถือเป็ค่าเล่าเรียนของข้าแล้วกัน”
ฮะสองแสนเหรียญ!!!
ข้าตะลึงไปพักใหญ่ตอนนี้ทั้งเนื้อทั้งตัวข้ามีแค่สองพันเหรียญหลงหลิงเท่านั้นเองแต่นางกลับให้มาถึงสองแสนเหรียญ ไม่เสียแรงที่เป็ถึงลูกของเสนาบดีค่าใช้จ่ายแต่ละเดือนของนางจะต้องมากกว่านี้แน่ๆแต่จะให้รับเงินก็คงจะดูไม่ดีสักเท่าไร เพราะยังไงก็ยังไม่ทันได้สอนเลยด้วยซ้ำแถมยังไม่รู้ว่าจะสอนได้ดีหรือเปล่าอีกต่างหาก พอคิดได้แบบนี้ข้าก็เลยบอกปฏิเสธไป
“เก็บเงินนั่นไว้เถอะ เพราะข้าก็ไม่รู้ว่าจะทำให้ศักยภาพของเ้าเพิ่มขึ้นได้หรือเปล่าและไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะช่วยเ้าแก้ไขจุดอ่อนนั้นได้ยังไงเพลงกระบี่ตระกูลซูเก่งกาจขนาดนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะไปดัดแปลงได้ง่ายๆสักหน่อย...”
“พูดแบบนี้แสดงว่าเ้ารับปากแล้วสินะ” นางแสดงความดีใจออกมาอย่างออกนอกหน้า
“ก็คงงั้น แต่ก็อาจจะสอนได้ไม่ดีอีกอย่างเื่ค่าเล่าเรียนนั่นก็ช่างมันเถอะ แต่ว่า...” ข้าหยุดคิดแล้วพูดต่อ“เวลาเ้ามาที่นี่ ก็แค่เอาของกินติดไม้ติดมือมาด้วยทุกวันก็พอ แต่เอามาเยอะๆหน่อยก็ดี...”
“ฮะ?” นางคงจะรู้สึกว่าข้อเรียกร้องมันแปลกๆแต่ก็รับปาก “ไม่มีปัญหา งั้นพวกเราจะเริ่มกันได้หรือยัง?”
“อืม เ้าเรียกอาวุธิญญาออกมาก่อน”
“ได้!”
นางถอนหายใจออกมาเบาๆมือขวายื่นไปข้างหน้าในท่าจับกระบี่พริบตาเดียวก็เผยให้เห็นด้ามกระบี่ที่มีลวดลายสลักสวยงาม จากเปลวไฟที่ลุกโชนกลายเป็กระบี่เล่มยาวลอยตัวอยู่กลางอากาศก่อนที่ผู้เป็นายจะกวัดแกว่งมันไปมาและนั่นก็คืออาวุธิญญาของซูเหยียน...กระบี่เพลิงกัลป์ตัวแทนแห่งความพิโรธของั
อู้...
ข้าที่เกือบจะรับพลังนั้นไม่ไหวจึงรีบถอยห่างออกมาเล็กน้อยและพูดขึ้น “เ้าดูสิ กระบี่เล่มนี้ยาวอยู่แล้วแถมด้ามจับยังมีความยาวเป็หนึ่งในสามของมันอีกต่างหากแบบนี้มันไม่ค่อยเหมาะกับเพลงกระบี่ตระกูลซูที่ใช้พลังิญญาเพียงน้อยนิดสักเท่าไรแต่ถ้าได้ปรับปรุงสักหน่อยก็ยังพอมีทางแก้ ตอนข้าฝึกฝนอยู่ที่ถนน...ไม่ใช่สิเมื่อหลายปีก่อนข้าเคยเรียนการปรับจุดอ่อนมาจากสหายคนหนึ่งอันที่จริงก็ไม่เชิงว่าเป็เพลงกระบี่ แต่ออกไปทางทักษะอย่างหนึ่งมากกว่าเท่านั้น”
“อื้ม เ้าว่ามาสิ!” ซูเหยียนว่าแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
“ทักษะนี้เรียกว่าปลายพู่กัน...เ้าน่าจะรู้ว่าก่อนที่สหพันธ์หลงหลิงจะมาใช้ปากกาหมึกซึม ผู้คนต่างก็ใช้พู่กันมาก่อนและชื่อของทักษะนี้ก็ได้มาจากการตวัดปลายพู่กันนั่นเอง โดยจะมีทั้งหมดหกกระบวนท่าคือ ทักษะของการดุดัน ป้องกัน ซ่อนเล็บ เปลี่ยนทิศ ฉกชิงและประจันหน้าข้าว่าเมื่อเ้าเรียนจนครบทุกระบวนท่าแล้ว ก็คงจะปรับเพลงกระบี่ได้เองแล้วล่ะ”
ว่าแล้วข้าก็ใช้เท้าเกี่ยวเอากระบี่ให้ลอยขึ้นมาจับไว้“วันนี้สอนทักษะเื่ความดุดันในกระบวนท่าให้เ้าก่อน...เดี๋ยวข้าจะทำให้ดู”
“อืม”
เมื่อจับกระบี่จนกระชับและเป็หนึ่งเดียวความคิดความอ่านจนสามารถออกท่าทางกวัดแกว่งได้อย่างชำนาญ คงเป็ผลจากการฝึกฝนทักษะปลายพู่กันจนชำนาญของข้านั่นเองกระบี่ถูกกวัดแกว่งไปจนจบกระบวนท่าโดยไม่ได้พักหายใจส่วนซูเหยียนก็ยืนอ้าปากค้างก่อนจะพูดขึ้น “ข้า...ข้าไม่เคยเห็นเพลงกระบี่ที่ประหลาดแบบนี้มาก่อนเลย”
ข้ายิ้มออกมา“ถึงแม้กระบวนท่าจะไม่ได้สวยงาม แต่ก็สามารถเอาไปใช้ได้จริง”
“ข้าเองก็อยากลองดูบ้าง”
“เอาสิ”
ข้าไปหากระบี่มาขัดเกลาต่อส่วนซูเหยียนก็ร่ายรำฝึกฝนเพลงกระบี่ที่เพิ่งสอนไปกระบี่เพลิงกัลป์เป็กระบี่ที่มีขนาดใหญ่และต้องใช้พลังิญญาไม่น้อยในการกวัดแกว่งไปตามกระบวนท่าซึ่งนางก็พยายามอย่างหนักก่อนจะเห็นว่าดึกมากแล้วจึงขอตัวกลับไปก่อน
...
หลังจากส่งนางกลับไปแล้วข้าก็กลับมานั่งที่ท่อนไม้หน้ากระท่อม แล้วเริ่มฝึกฝนเคล็ดวิชาการต่อสู้อีกครั้งเพราะอย่างไรแล้วก็เป็วิชาที่ข้าเริ่มฝึกฝนมาั้แ่ต้นสืบเนื่องมาจากปราณิญญาของข้าถูกเผาทำลายไปทำให้ใช้พลังขั้นแรกของเคล็ดวิชาการต่อสู้ไม่ได้ ดังนั้นสิ่งที่ข้าสามารถใช้ได้ตอนนี้ก็มีเพียงพลังพื้นฐานของมันเท่านั้น
ข้าสูดลมหายใจเข้าเต็มปอดและรับรู้ถึงพลังิญญาในเส้นปราณที่แล่นผ่านไปตามร่างกายและเริ่มไหลเวียนเร็วขึ้นตามการเคลื่อนไหว ไม่นานแสงสีขาวก็แผ่ซ่านออกมารอบตัว
เมื่อพลังของเคล็ดวิชาการต่อสู้ไหลเวียนทั่วร่างกายกว่าห้ารอบแล้วจากนั้นจึงมีพลังบางอย่างเกิดขึ้นที่ฝ่ามือก่อนจะเกิดเสียงจากภายในขึ้นเบาๆไม่นานเกินรอเส้นลมปราณกับพลังิญญาก็เชื่อมต่อเข้าด้วยกันและเกิดเป็กลุ่มก้อนพลังที่ลอยนิ่งอยู่ระหว่างมือทั้งสองข้างความรู้สึกดุจดั่งสายน้ำที่ทำให้ร่างกายของข้าตื่นตัวและเช่นเดียวกับพลังในลมปราณก็เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย
ถือเป็เค้าลางของธาราไร้เสียงจากการฝึกฝน “ธาราแกร่ง”ซึ่งแสดงว่าข้าฝึกพลังระดับหนึ่งในขั้นต้นของเคล็ดวิชาการต่อสู้สำเร็จแล้ว!
แต่ว่าการฝึกเพื่อบรรลุแต่ละขั้นของเคล็ดวิชานั้นๆมีหลายขั้น แต่ละขั้นก็จะมีั้แ่ระดับต้น ระดับกลาง ระดับสมบูรณ์และสูงสุดคือระดับเซียน
แต่เพียงไม่นานพลังธาราแกร่งในมือก็เสียการควบคุมและสลายไปในตอนนี้เองข้าจึงได้รู้ว่าตามร่างกายและใบหน้าเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อที่ผุดออกมาจนดวงตาพร่ามัว
ตอนนี้เป็เวลาประมาณตีสองแล้วการฝึกฝนใช้เวลาผ่านไปกว่าสามชั่วโมงโดยที่ข้าไม่รู้ตัวเลยแต่กลับบรรลุได้เพียงระดับหนึ่งเท่านั้น จู่ๆ ความหิวก็เข้าครอบงำข้าอีกครั้งคงเป็เพราะพลังลมปราณที่กระจายไปตามส่วนต่างๆจนรู้สึกได้ถึงความเบาหวิวไปทั่วร่างกายและอีกหนึ่งสาเหตุอาจมาจากการฝึกฝนเคล็ดวิชาการต่อสู้ขั้นที่หนึ่งจึงทำให้สูญเสียพลังไปมากเช่นกัน
ในแผ่นดินใหญ่แห่งนี้หลายพรรคต่างก็มีประวัติที่ยาวนานและซับซ้อนไม่ต่างกันแต่เมื่อร้อยปีก่อนทางวิหาริญญาวรยุทธ์ได้กำหนดกฎเกณฑ์ขึ้นมาโดยแบ่งเคล็ดวิชาของแต่ละพรรคเป็ขั้นๆตามอานุภาพความแข็งแกร่งและผลกระทบของพลัง โดยจะแบ่งตามขั้นจากต่ำไปสูง คือขั้นธรรมดา ขั้นสาม ขั้นสอง ขั้นหนึ่ง ขั้นสูง และขั้นสุดยอดส่วนเคล็ดวิชาการต่อสู้ของตระกูลปู้ก็เป็อีกหนึ่งเคล็ดวิชาที่มีการสืบทอดกันมาแต่โบราณเล่าขานกันว่าเคยโด่งดังเป็ที่เลื่องลืออย่างมากเมื่อพันปีก่อน แต่แตกต่างจากตอนนี้อาจจะด้วยคนในตระกูลปู้ไม่ได้โอ้อวดสักเท่าไร จึงเป็เหตุให้ซบเซาลงตามกาลเวลาแต่ถึงอย่างไร เคล็ดวิชาขั้นหนึ่งนี้ก็ยากที่จะใครจะฝึกได้
ข้าเอนตัวลงบนเตียงแต่ยังหลับได้ไม่ถึงห้าชั่วโมงนาฬิกาปลุกก็ดังขึ้น
หลังจากล้างหน้าล้างตาเสร็จแล้วเสียงฝีเท้าของใครบางคนก็กำลังใกล้เข้ามาพร้อมกับกลิ่นหอมอบอวลจากหญิงงามที่พัดผ่านตามลมเข้ามาเช่นกันและนางก็คือผู้ช่วยของรองเ้าสำนักสวี่ลู่นั่นเองนางหอบตำราที่ค่อนข้างเก่าเข้ามาด้วยรอยยิ้ม “ปู้อี้เชวียนอยู่หรือเปล่า?”
“อยู่ขอรับ พี่สวี่ลู่เองเหรอ!”
“อืม รองเ้าสำนักมาไม่ได้ก็เลยบอกให้ข้าเอาของมาให้พร้อมกับส่งข่าวเ้าแทน”
“อ้อ?”
ข้ารับกองตำราที่แสนหนักอึ้งนั้นมาก่อนจะถามอย่างสงสัย “พวกนี้มัน...คืออะไร?”
“ตำราเรียนไงถึงแม้จะเป็ศิษย์สำรองเ้าก็ถือว่าเป็ศิษย์ใหม่ของสำนักอยู่ดีก็เลยต้องมีตำราเรียนของสำนักหมื่นิญญายังไงล่ะ!”
เมื่อมองดูเผินๆก็เห็นว่ามีอยู่ทั้งหมดห้าเล่ม ทั้งทักษะกระบี่ขั้นต้นเพลงกระบี่วายุสังหารโดยละเอียด ใจความหลักของกระบี่ลม ปืนผาหน้าไม้สมัยใหม่และวิชาลมหายใจั แต่เล่มสุดท้ายกลับต่างออกไปจากเล่มอื่นๆตรงที่ใช้วิธีการเขียนแทนการพิมพ์ อีกทั้งหน้าปกยังเขียนด้วยข้อความที่สั้นลึกซึ้ง ซึ่งเป็ลายมือของพี่เสวียนยินด้วย
สวี่ลู่ที่เหมือนจะรู้ว่าข้ากำลังสงสัยนางจึงถามพลางยิ้มให้ “เ้าน่าจะรู้จักวิชาลมหายใจัใช่ไหม?”
“อืม มันคือวิชาประจำสำนัก”
“ไม่เลวนี่วิชาลมหายใจัเป็วิชาที่ผู้ก่อตั้งสำนักหมื่นิญญาคิดค้นเพื่อเป็พื้นฐานในการเรียนวรยุทธ์ผู้คนใต้หล้าต่างก็้าวิชาขั้นสูงแบบนี้แต่ว่าสำนักของเรามีกฎให้แค่ศิษย์ของสำนักเท่านั้นที่สามารถฝึกฝนวิชานี้ได้ส่วนพวกหัวขโมยที่แอบลักลอบเรียนก็จะถูกตักเตือนหรือถึงขั้นลงไม้ลงมือจากคนในสำนักเลยทีเดียวฉะนั้นเ้าควรจะคว้ามันเอาไว้ดีๆ”ว่าแล้วพูดจบนางก็เปลี่ยนน้ำเสียงให้เบาลงเพื่อให้ได้ยินกันแค่สองคน“เล่มนี้พี่สาวของเ้าแอบลอกมาเลยนะ ในนี้มีสิ่งที่นางฝึกฝนแล้วเขียนอย่างละเอียดเอาไว้ในโลกมีเพียงเล่มเดียว ดังนั้นนางก็เลยบอกกับข้าให้นำมาให้เ้า”
ข้าดีใจจนออกนอกหน้าแล้วพูดขึ้น“อ้อ...ขอบคุณท่านมากนะพี่สวี่ลู่”
“มาเกรงใจอะไรกัน พี่ของเ้ายังฝากคำพูดมาอีกด้วยนะ”
“หืม ท่านพี่นางฝากท่านมาบอกกับข้าอย่างนั้นเหรอ?”
“นางบอกว่า....” สวี่ลู่หยุดคิดพักหนึ่งก่อนจะพูดต่อ“เห็นนางว่าเคล็ดวิชาการต่อสู้ของตระกูลปู้ยังมีพลังที่ได้รับการขนานนามว่าเป็หนึ่งในวิชาที่ล้ำเลิศที่สุดในใต้หล้าแต่ก็มีผลเสียกับผู้ที่ฝึกฝนไม่น้อยเหมือนกันก็เลยไม่อยากจะให้เ้ารีบร้อนกลับไปเรียนแต่ให้เรียนวิชาลมหายใจันี้จนถึงขั้นหกก่อนมีเพียงการฝึกวิชาลมัจนถึงขั้นหกเท่านั้น ถึงจะสามารถตีแตกพลังในตัวของเ้าและเรียนเคล็ดวิชาการต่อสู้ในระดับที่สูงขึ้นได้”
“แบบนี้นี่เอง...”
พอได้ยินนางพูดมาแบบนี้ข้าก็เข้าใจขึ้นมาทันทีว่าเมื่อคืนที่ข้าไม่สามารถทะลวงขั้นสองของระดับธาราแกร่งได้เป็เพราะกำลังภายในได้หายไปเมื่อครั้งที่ถูกเผาทำลายลมปราณด้วยอีกอย่างพื้นฐานวิชาของข้าก็เป็เพียงวิชาธรรมดาอย่างวิชาหมีคำรามที่ข้ากับซ้งเชียนไปเจอเข้าบนชั้นตำราและแอบเรียนกันเองเท่านั้น จึงทำให้ไม่สามารถตีแตกกำลังภายในได้อย่างแท้จริง
สุดท้ายเมื่อท่านพ่อรู้พวกเราก็ถูกท่านตีจนเกือบตายมาถึงวันนี้แม้ปราณิญญาจะถูกเผาไหม้จนสิ้นแล้วแต่กลับได้ฝึกฝนวิชาขั้นสูงอย่างลมหายใจัก็ถือว่าคุ้มกับสิ่งที่เสียไปแล้วล่ะ!
“ขอบคุณท่านมากนะพี่ลู่!” ข้ารู้สึกดีใจจนเผลอพูดขอบคุณนางกลับหลายครั้ง
นางยิ้มบางก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ“ไม่ต้องเกรงใจๆ พี่เ้าออกไปทำงานที่อื่น่สามถึงห้าวันนี้น่าจะยังกลับมาไม่ได้ ถ้าเ้าอยากได้อะไรก็บอกข้าแล้วกันแต่ข้าอาจจะมาหาได้ไม่บ่อยนักนะ เพราะถ้ามาบ่อยเกินไป คนอื่นจะสงสัยเอาได้”
“อืม ข้ารู้แล้วล่ะ ท่านกลับดีๆ ล่ะ”
...
หลังจากที่สวี่ลู่กลับไปข้าก็กอดตำราเล่มนั้นไว้แน่นราวกับเป็ของล้ำค่า!
แม้จะอยู่ในอาการสะลึมสะลือแต่ข้ากลับรู้สึกถึงความท้าทายที่อย่างไม่เคยเป็มาก่อนแม้ว่าการฝึกฝนจะง่ายแต่ก็สูญเสียพลังไปมากเหมือนกันยิ่งราคาของยาสำหรับฟื้นฟูลมปราณก็ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาอย่างข้าจะซื้อได้ซะด้วย