งานที่โรงเกลากระบี่เป็งานง่ายๆหน้าที่ส่วนใหญ่ก็แค่นำกระบี่ไปส่งยังสนามฝึกซ้อมโดยไม่ต้องรอเก็บส่วนเื่ฝีมือนั้น หากฝีมือดีและสามารถเกลากระบี่ได้ครั้งละมากๆสองถึงสามวันจึงจะส่งกระบี่สักครั้งก็ย่อมได้ ต่างจากข้าที่เคยชินกับการส่งและเก็บกลับมาเช่นทุกวันและวันนี้ก็เช่นกัน งานของข้าเสร็จแล้วแม้จะยังไม่ถึงบ่ายสามโมงก็เลยเปลี่ยนชุดใหม่แล้วออกไปเที่ยวยังนอกสำนักดูบ้าง
ข้าอยู่ด้านนอกประตูทางฝั่งเหนือบนถนนที่มีชื่อว่า“เป่ยเหมินเจีย” สองข้างทางคราคร่ำไปด้วยร้านรวงมากมาย ทั้งร้านขายผักร้านรับตัดเย็บเสื้อผ้า ร้านขายอาวุธ และอีกหลากหลายร้านตั้งเรียงรายตลอด่ถนนซึ่งตอนนี้ข้าก็กำลังตามหาร้านขายยาละแวกนี้ดูผู้ฝึกทุกคนในสำนักต่างรู้กันดีว่าจะต้องเตรียมยาเพื่อฟื้นฟูพลังลมปราณอยู่เสมอขืนฝึกแบบสุ่มสี่สุ่มห้าแล้วสูญเสียพลังในลมปราณมากเกินไปก็จะเป็อันตรายจนทางเดินลมปราณเสียหายได้ หรือไม่สามารถกลับมาฝึกได้อีกเลย
ร้านยาแถวนี้มีอย่างน้อยสิบร้านส่วนมากก็เตรียมไว้สำหรับศิษย์ของสำนักหมื่นิญญาโดยเฉพาะยาจำพวกฟื้นฟูและเพิ่มพละกำลัง และยังรวมไปถึงยาคุมกำเนิดด้วย
...
ข้าเดินเข้าไปในร้านที่มีพนักงานชายวัยกลางคนคนหนึ่งยืนอยู่พอได้เห็นชุดศิษย์ของข้าก็ยิ้มออกมาจนหน้าบานแล้วถามขึ้น“เ้ามาซื้อยาอะไรล่ะพ่อหนุ่ม?”
ข้าเดินตรงไปยังหน้าตู้แล้วมองชื่อยาที่ตั้งเรียงรายอยู่ก่อนจะถามขึ้น“ยาเพิ่มพลังลมปราณของที่นี่ขายยังไง?”
“อ้อ อันนี้มันก็มีเยอะ ยาที่ร้านของเรามีมากมายให้เลือกส่วนยาเพิ่มพลังลมปราณนั่น...”เขาหันไปมองยาในตู้ที่วางเรียงเป็ชั้นขึ้นไปก่อนจะพูดต่อ “เนื้อเสือัแห้งขีดละแปดพันเหรียญ เนื้องูพิษดำขีดละห้าพันเหรียญ กระดูกขีดละสามพันเหรียญงาโลกันตร์ขีดละสามพันเหรียญ และยังมีพวกเส้นหญ้าเงินกับงายอดวิหคที่ราคาขีดละหนึ่งพันห้าร้อยเหรียญ...”
ข้าถามขึ้นอย่างเก้อเขิน“ท่านลุงมีอันที่...ถูกลงกว่านี้หรือเปล่า?”
“ถูกกว่านี้งั้นเหรอ...” พนักงานปรายตามองคำว่าศิษย์สำรองตรงหน้าอกก่อนจะมีสีหน้าเปลี่ยนไปราวกับเข้าใจอะไรบางอย่าง เขายิ้มออกมาอย่างมีนัยแล้วหยิบยาขวดหนึ่งออกมาจากมุมตู้เป่าฝุ่นที่เกาะอยู่้า สายตาก็อ่านฉลากบนขวดอย่างพินิจก่อนจะพูดขึ้น“นี่เป็หญ้าร้อยิญญา ราคาขีดละห้าสิบเหรียญหลงหลิง ข้าคิดเ้าแบบถูกๆเอาไปกิโลละแปดร้อยแล้วกัน เ้าจะเอาหรือเปล่า?”
หญ้าร้อยิญญามันถูกก็จริงแต่สรรพคุณก็น้อยสมกับราคาคงจะมีแต่ผู้ฝึกในสำนักที่จนๆ เท่านั้นแหละที่ใช้กันแต่เพราะความจนจึงไม่มีทางเลือกมากนักและตอนนี้ข้าเองก็มีเพียงสองพันเหรียญที่พี่เสวียนยินให้มาเพราะนางก็คงไม่คิดว่าข้าจะใช้ไปกับการซื้อยาอย่างแน่นอน ข้าเลยพยักหน้ารับแล้วพูดขึ้น“งั้นข้าเอากิโลครึ่งแล้วกัน ขอบคุณท่านมากนะ...”
“ไม่เป็ไร”
“ต้องขอบคุณท่านจริงๆ”
เมื่อจ่ายเงินเรียบร้อยแล้วข้าก็ออกมาพร้อมกับหญ้าร้อยิญญาที่หนักอึ้งในมือข้าก็ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าฝึกวิชาลมหายใจัแล้ว หญ้านี้จะใช้ได้นานแค่ไหนแต่ขอให้นานทีเถอะ เพราะยิ่งนานเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น!
...
กลับมาถึงโรงเกลากระบี่ก็รีบปิดประตูเหล็กแล้วเริ่มฝึกวิชาลมหายใจั
แต่เมื่อพลิกหน้าปกเก่าๆนั่นออกก็เจอกับตำราของพี่เสวียนยินที่มีลายมือของนางเต็มไปหมดส่วนมาตรฐานขั้นที่หนึ่งของวิชานี้ก็มีรูปภาพแสดงการเคลื่อนไหวพลังอย่างชัดเจนมันก็ดีเหมือนกัน เพราะข้าเองก็ไม่มีอาจารย์คอยสอนพอพี่เสวียนยินเขียนไว้ละเอียดขนาดนี้จึงเป็ผลดีต่อข้าไม่น้อย
เคล็ดวิชาการต่อสู้คือการเพิ่มความเร็วในการหมุนเวียนของพลังิญญาในร่างกายต่างจากวิชาลมหายใจัที่ควบคุบพลังิญญาให้หมุนเวียนช้าลงโดยรวบรวมพลังไว้กลางหน้าอกเหมือนัที่นอนขดตัวอย่างสงบและแข็งแกร่งแต่ไม่ได้แสดงพลังออกมาให้เห็น
ทว่าการทำให้พลังิญญาไหลเวียนช้าลงไม่ได้หมายความว่าจะทำให้สูญเสียพลังลมปราณน้อยลงในทางกลับกันยิ่งพลังิญญาไหลเวียนช้าก็จะทำให้ลมปราณในร่างกายยิ่งร้อนขึ้นกว่าเดิมจนร้อนรุ่มไปทั้งตัวราวกับว่าลมปราณทั้งหมดจะระเหยกลายเป็ไอเสียอย่างนั้น
ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไรแต่ตอนนี้ทั้งร่างของข้ากลับชุ่มชื้นไปด้วยเหงื่อโดยเฉพาะตรงหน้าอกที่มีเม็ดเหงื่อไหลออกมาไม่หยุด ขณะเดียวกันพลังลมปราณก็ค่อยๆ กลายเป็ไอและระเหยหายไปในอากาศอย่างรวดเร็วแต่แปลกไปกว่านั้นเมื่อเช็ดเหงื่อที่หลังมือออก ก็มีสิ่งสกปรกบางๆหลุดออกมาเผยให้เห็นชั้นใต้ิัที่สดใสเปล่งประกายขึ้นมา
มันเป็ผลมาจากการหลอมรวมพลังของวิชาขั้นสุดยอดที่ล้ำเลิศสมคำร่ำลือเมื่อเทียบกับวิชาหมีคำรามที่ข้าเคยฝึกฝนก็ดูเด็กไปเลยเป็ดั่งที่ท่านพ่อเคยบอกไว้ว่า ‘อย่านึกสนุกจนทำลายอนาคตตัวเอง’จะว่าไปก็จริงอย่างที่ท่านกล่าวไว้ไม่มีผิดนี่ถ้าไม่มีปราณิญญาขั้น์ช่วยแล้วละก็ข้าก็คงไม่มีทางประสบความสำเร็จและมาถึงขั้นนี้เป็แน่
เพราะแบบนี้ก็เลยทำให้สิ่งสกปรกที่อยู่ในร่างกายโดนวิชาลมหายใจัขับออกจนหมดข้าไม่รู้ว่าขั้นตอนนี้กินเวลาไปนานเท่าไรกระทั่งฟ้าเริ่มมืดลง แต่จู่ๆข้ารู้สึกเสียใจเพราะเลยเวลาอาหารเย็นของโรงอาหารแล้วนั่นเท่ากับว่าข้าจะต้องอดไปหนึ่งมื้อเลยทีเดียว
เวลาหนึ่งชั่วโมงผ่านไปอย่างรวดเร็วผลจากการที่สูญเสียลมปราณทำให้ร่างกายเบาหวิวและอ่อนล้าอย่างมากข้ารีบนำหญ้าร้อยิญญาไปล้างให้สะอาดก่อนจะยัดเข้าปากอย่างไม่ใส่ใจเท่าไรเพียงครู่เดียวความเผ็ดร้อนก็พุ่งขึ้นในลำคอและจมูกจนแทบจะร้องไห้ออกมาแต่ก็ทนให้ได้เพราะนี่มันราคาตั้งขีดละห้าสิบเหรียญ และด้วยสภาพการเงินในตอนนี้ข้าจะใช้อย่างสุรุ่ยสุร่ายไม่ได้!
ฟู่วววว...
ข้าพ่นลมหายใจทอดยาวคล้ายกำลังถอนหายใจขณะที่กำลังกักเก็บพลังอยู่นั้นข้ากลับรู้สึกถึงลมหายใจที่รวดเร็วและแข็งแกร่งของัที่หลับใหลนานนับพันปีแทรกซึมออกมาจากร่างกายรวมทั้งพลังิญญาตรงต้นแขนทั้งสองข้าง และพละพลังก็เพิ่มขึ้นจากเดิมด้วย
และนี่ก็คือพลังห้าสิบชั่งของวิชาลมหายใจัขั้นหนึ่ง!
แม้ไม่ต้องอธิบายความหมายคนในสำนักหมื่นิญญาต่างก็รู้ดีว่าวิชาขั้นสูงอย่างลมหายใจัสามารถเพิ่มพละกำลังแก่ผู้ฝึกเป็อย่างมากยิ่งถ้าได้ฝึกฝนจนบรรลุขั้นแรกสำเร็จ ก็จะมีพละกำลังเพิ่มขึ้นถึงห้าสิบชั่งซึ่งเทียบไม่ได้กับวรยุทธ์ธรรมดาทั่วไป ที่น้อยคนนักจะสามารถฝึกฝนจนบรรลุได้และนี่คือหนึ่งในเหตุผลว่าทำไมผู้คนถึงได้พยายามฝึกฝนวิชาของสำนักหมื่นิญญากันนัก
หลายตระกูลใหญ่อย่างบ้านตระกูลซูแห่งเขตตะวันออกบ้านตระกูลถังแห่งเขตเหนือ รวมไปถึงชนชาติขุนนางและจักรพรรดิต่างๆก็เข้ามาเรียนที่นี่เพื่อฝึกฝนวิชาลมหายใจัด้วยกันทั้งนั้นนี่คงเป็หนึ่งเหตุผลที่ซูเหยียนเข้ามาร่ำเรียนวิชาในสำนักหมื่นิญญาเช่นกันเพราะฉะนั้นวิชาขั้นพื้นฐานจึงมีความสำคัญกว่าสิ่งใด ในบางรายแม้จะมีกำลังภายในอยู่แล้วก็เลือกที่จะทำลายแล้วเริ่มฝึกฝนในวิชาลมหายใจัใหม่อีกครั้ง
...
จังหวะที่ข้ากำลังลุกจากเก้าอี้ร่างกายก็ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงจนเกือบจะล้มกะทันหันข้าทั้งหิวและเหนื่อยล้า ก่อนจะบรรเทาด้วยการกินหญ้าร้อยิญญาและความรู้สึกแสบร้อนก็ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
ปังปัง...
เสียงเคาะผ่านประตูเหล็กสภาพซอมซ่อดังขึ้นเมื่อมองผ่านรูที่ประตูออกก็เห็นเป็หญิงสาวร่างเล็กยืนอยู่คงจะเป็ใครไปไม่ได้นอกจากซูเหยียนนางก็ตรงเวลาไม่เบาเหมือนกันเพราะพอสามทุ่มก็มาพอดี นอกจากนางแล้วข้ายังได้กลิ่นหอมจางๆ ของขาหมูต้มถั่วเหลืองลอยมาเตะจมูกด้วย ใช่ต้องใช่อย่างแน่นอน!
เพียงพริบตาเดียวข้าก็รีบพุ่งตัวไปเปิดประตูอย่างรวดเร็ว
ซูเหยียนเดินเข้ามาพร้อมกับกลิ่นหอมอ่อนๆแต่พอเห็นข้าในสภาพที่เหงื่อชุ่มก็หัวเราะแล้วถามขึ้น“เ้า...กำลังฝึกวรยุทธ์อยู่งั้นเหรอ?”
“ก็ใช่ไง ข้าไม่ละทิ้งความพยายามเพียงเพราะตัวเองไม่ได้เื่หรอกนะ”ข้าพูดเพื่อให้ตัวเองดูดี
นางอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอีกครั้งและครั้งนี้ก็ยิ่งทำให้นางน่ารักและดูร่าเริงขึ้นไปอีกเพราะซูเหยียนมาจากตระกูลที่สูงศักดิ์ในแผ่นดินใหญ่ นางได้รับการเลี้ยงดูที่ดีทำให้นางรู้จักการเคารพและไม่ซ้ำเติมาแของผู้อื่นโดยไม่สมควร“วันนี้เ้าต้องสอนทักษะปลายพู่กันขั้นที่สองให้ข้าแล้วนะ”
“อืม”
ข้าตอบรับแต่สายกลับมองไปยังกล่องข้าวในมือนางแล้วพูดขึ้น “มันคือ...คืออะไรเหรอ?”
“เ้าเปิดดูเองสิ” นางว่าแล้วยื่นให้
ข้ารับมาเปิดอย่างรวดเร็วแล้วก็เป็ไปตามคาดเมื่อด้านในมีทั้งขาหมูต้มถั่วเหลืองซุปปลาดุกและข้าวชามใหญ่เพิ่มมาอีกด้วยแม้ว่าข้าวจะเยอะกว่าของคนปกติถึงสามเท่าแต่ข้าก็ยังรู้สึกว่าน้อยอยู่ดี
“เอาเป็ว่าเ้ากินให้เสร็จก่อนแล้วค่อยสอนข้าดีกว่าไหม?” นางพูดอย่างเข้าอกเข้าใจ
ข้าพยักหน้ารับแล้วหันไปตักข้าวคำใหญ่เข้าปากเพราะเมื่อ่เย็นยังไม่ได้กินอะไรจนรู้สึกหิวจนแทบจะกินชามกับกล่องข้าวได้เลยไม่นานอาหารทุกจานก็ถูกข้ากินจนหมดในเวลาอันรวดเร็ว
“เสร็จแล้ว...”
ข้าปัดมือเพื่อทำความสะอาดแล้วหยิบกระบี่ที่ใช้ฝึกขึ้นมาเล่มหนึ่งก่อนจะพูดต่อ“เ้าดูให้ดีแล้วกัน ข้าจะแสดงให้ดูก่อนสองสามรอบแล้วเ้าก็จับทักษะกระบวนท่าเอาไว้ให้ดี”
“อืม!”
นางยืนอยู่ด้านในดูข้าแสดงเพลงกระบี่อย่างตั้งใจกระทั่งครบทั้งสอบรอบข้าวางกระบี่และกลับไปล้างจาน ส่วนซูเหยียนก็เรียกกระบี่เพลิงกัลป์ออกมาพลางครุ่นคิดถึงกระบวนท่าเมื่อครู่แล้วเริ่มฝึกอย่างเอาจริงเอาจังพร้อมกับนึกถึงเพลงกระบี่ของตระกูลซูไปด้วยข้าคิดไม่ถึงว่านางจะสามารถปรับเพลงกระบี่ของตัวเองได้ในเวลาเพียงไม่กี่นาที!ไม่เสียแรงที่เป็ถึงอัจฉริยะ ขนาดใช้เพียงทักษะการจดจำยังทำได้ดีขนาดนี้นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะทำได้แน่
ส่วนข้าที่ยืนดูอยู่ไม่ห่างจู่ๆ ท้องเ้ากรรมก็ดันร้องขึ้นมาอีกครั้ง ข้ารู้สึกเขินจนอยากจะเอาก้อนดินใหญ่ๆยัดลงไปให้รู้แล้วรู้รอด
ซูเหยียนหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้น“อะไรกัน?นี่เ้ายังไม่อิ่มอีกเหรอ...มิน่าล่ะ อาเหยาถึงบอกว่าเ้าน่ะกินจุ!”
“ไม่เป็ไร...”
“ไว้คราวหน้าข้าจะเอามาเยอะกว่านี้แล้วกัน...”
“อืม ดีเลย ยังไงก็ขอบใจเ้ามากนะ”
“ไม่เป็ไร”
บทสนทนาของเราทั้งคู่เริ่มลึกซึ้งมากขึ้นแต่ก็ถูกขัดจังหวะด้วยเสียงทุบประตูจนแทบจะพังครืนลงมาตามด้วยเสียงะโของใครคนหนึ่งดังขึ้น
“พี่เชวียน ข้าเอาของดีมาฝาก!”
ซ้งเชียนนี่เองเ้าเด็กนี่สุดท้ายก็กลับมาเยี่ยมข้าจนได้!!
พอประตูถูกเปิดออกซ้งเชียนที่ถือกระต่ายป่าตัวอ้วนไว้ในมือก็เดินเข้ามาก่อนจะพูดพลางยิ้ม“ท่านดูกระต่ายตัวนี้สิว่ามันอ้วนขนาดไหน จะต้องประมาณสามสี่กิโลแน่ๆกว่าจะได้มันมาข้าเสียเงินไปตั้งแปดร้อยเหรียญแน่ะ!”
ทันทีที่พูดจบซ้งเชียนก็เหลือบไปเห็นซูเหยียนจนสะดุ้งใตัวโยน “เฮ้ย! เ้ามัน...”
แต่เหมือนเขาจะรู้ว่าน้ำเสียงและสรรพนามที่ใช้จะไม่สุภาพจึงรีบเปลี่ยนคำพูดทันที “ทำไมเ้าถึงมาอยู่ที่โรงเกลากระบี่นี่ได้ล่ะ ซู เหยียน”
นางยิ้มอ่อนก่อนจะยิ้มออกมาอย่างจริงใจและเป็กันเองทั้งๆ ที่ไม่รู้จักกับซ้งเชียนมาก่อน“ข้ามาขอให้ปู้อี้เชวียนช่วยสอนและแก้ไขเพลงกระบี่ของข้าน่ะแล้วเ้าคือ?”
“อ้อ ข้าชื่อซ้งเชียน สหายรักของพี่เชวียน เราสองคนโตมาด้วยกันเลยนะ!”เ้าเด็กนั่นปรายตามองข้าแล้วพูดต่อ “พี่เชวียน ท่านนี่ไม่เลวเหมือนกันนี่นา...”
ข้าอยากจะอัดมันให้จมดินสักทีหนึ่งก่อนจะกระแอมสองสามทีแล้วพูดขึ้น “นางฝึกกระบี่อยู่เ้าห้ามไปรบกวนเด็ดขาดเอากระต่ายตามข้ามานี่”
“ได้เลย”
...
ผ่านไปไม่กี่นาทีกองไฟสำหรับทำอาหารก็ก่อเสร็จ ส่วนกระต่ายป่าที่ชำแหละไว้ก็ถูกโยนลงหม้อในเวลาต่อมาควันไฟที่ลอยคลุ้งไปทั่วยิ่งสร้างบรรยากาศให้โรงเกลากระบี่แห่งนี้เงียบสงบและหงอยเหงาอย่างบอกไม่ถูก