ลมสารทฤดู [1] พัดซู่ๆ โชยกลิ่นผกาหอม ค่อยๆเข้ามาในหัวใจที่ห่อเหี่ยวอยู่แต่เดิมของหลิ่วจิ้ง
นางก้าวช้าๆ ไปตามทางสายคดเคี้ยวที่อยู่ท่ามกลางทะเลบุปผาฤดูนี้เป็่เวลาที่ดอกเบญจมาศบานสะพรั่ง สองข้างทางเต็มไปด้วยดอกเบญจมาศที่มีทั้งทรงดอกและสีสันหลากหลายไปหมดใต้ต้นไม้เขียวมีดอกเบญจมาศทั้งแดงขาวเหลืองเบ่งบานประชันกันนางเห็นแล้วอารมณ์ดีนัก
“อิ๋งเหอ ข้าอยากกินไข่ตุ๋นดอกเก๊กฮวย เ้าไปสั่งให้ห้องครัวทำให้ข้ากินก่อน ข้าจะไปรอเ้าอยู่ที่ชิงช้า”
หนนี้หลิ่วจิ้งตั้งใจอย่างยิ่งว่าจะต้องได้ทานอาหารเลิศรส จึงจงใจไม่มองสายตาไม่ค่อยเชื่อใจของอิ๋งเหอที่มองมาหาตน แล้วเร่งให้อีกฝ่ายรีบไปเตรียมอาหารมา
หลังจากหลิ่วจิ้งสาบานหนแล้วหนเล่ารับรองว่านางจะไม่เดินไปทั่วอิ๋งเหอจึงยอมเดินย้อนกลับไปทางเดิมอย่างฝืนใจเป็ที่สุด
เมื่อไม่มีอิ๋งเหอคอยพูดร่ำไรบอกให้นางระวังนั่นนี่แล้วนางก็รู้สึกว่าสบายหูขึ้นมากจึงก้าวเท้าไปข้างหน้าเร็วกว่าเดิม
ยามนี้สามารถมองเห็นเสาชิงช้าที่มีดอกไม้สดบานเต็มไปหมดอยู่ลิบๆแล้ว หลิ่วจิ้งนึกถึงครั้งแรกที่ตนมาที่ชิงช้านี้นางเคยคิดอยู่ในใจว่าหากไม่มีหนี้แค้นของครอบครัวจะดีเพียงใดนางก็จะได้เป็สตรีที่ไม่มีเื่ให้ต้องคิดมากมายวิ่งไล่จับผีเสื้ออยู่ในสวนดอกไม้ วิ่งเล่นอยู่ท่ามกลางภูผาสายธาร
ไม่ทันรู้ตัวหลิ่วจิ้งก็เดินมาถึงชิงช้าแล้ว นางนั่งลงเบาๆไกวชิงช้าพลางขมวดคิ้วน้อยๆ ใคร่ครวญเื่ราวในใจ
นางคิดถึงคำสัญญาที่หั่วอี้ให้ไว้กับนางครั้งมาที่ชิงช้านี้เป็หนแรกเขาบอกว่าต่อไปขอให้เขาได้ปกป้องนาง คำสัญญาเหล่านี้ยังคงดังก้องอยู่ในหูน่าเสียดายที่เวลานี้ความคิดอ่านของนางไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
นางคิดจนใจลอย ไม่รู้สึกตัวว่าหั่วอี้มาอยู่ข้างกายแล้วหั่วอี้ไม่พอใจที่เมื่อครู่หลิ่วจิ้งทิ้งให้เขารอเก้อจึงคิดเอาคืนด้วยการแกล้งหยอกนางเขาอาศัย่ที่นางไม่ทันรู้ตัวอ้อมไปข้างหลังโดยไม่ให้ซุ่มให้เสียงแล้วผลักตัวนางไปข้างหน้าเต็มแรง
ชิงช้าแกว่งขึ้นไปสูงลิ่วอย่างรวดเร็วดั่งลูกธนู พร้อมกับเสียงกรีดร้องของหลิ่วจิ้งจากนั้นนางก็เป็เหมือนกับว่าวเชือกขาดหลุดออกจากที่นั่งของชิงช้า ร่วงลงมาจากกลางอากาศ
ความสนใจของหลิ่วจิ้งไม่ได้อยู่ที่ชิงช้านางเอาแต่ใคร่ครวญว่าขั้นตอนต่อไปควรทำเช่นใดแล้วนางจะไปนึกคิดได้อย่างไรว่าหั่วอี้จะมาไม้นี้
เพราะไม่ได้ตั้งตัวแม้แต่น้อยจึงทำให้นั่งไม่มั่นคงตัวหลุดออกจากชิงช้าลอยอยู่ท่ามกลางอากาศร่วงลงมาที่พื้น นางกำลังจะชนพื้นอยู่แล้วจึงกรีดร้องลั่นตามสัญชาตญาณด้วยความใ
หลิ่วจิ้งเตรียมตัวรับกับความเ็ป ทว่าทันใดนั้นเองนางกลับตกลงมาอยู่ในอ้อมแขนของหั่วอี้ไม่ได้รู้สึกถึงความเจ็บแต่กลับถูกโอบกอดเอาไว้ในอ้อมอกอุ่นนางโอบรอบต้นคอของคนผู้นั้นเอาไว้โดยไม่รู้ตัว เมื่อเบิกตาทั้งคู่ขึ้นด้วยความรู้สึกเกินคาดก็พบว่าหั่วอี้กำลังหัวเราะร่ากระเซ้านางอยู่
เมื่อเห็นสีหน้าซีดเผือดของหลิ่วจิ้งในยามนี้หั่วอี้ก็นึกเสียใจขึ้นมาแต่เบื้องหน้ายังคงมีรอยยิ้มราวกับไม่เกิดเื่ใดเช่นนั้น
เมื่อคิดขึ้นมาว่าตนเป็ถึงแม่ทัพใหญ่กลับมีเพียงหลิ่วจิ้งที่อาจหาญชาญชัยมาต้มเขาจนเปื่อย เขาสู้อุตส่าห์ว่านอนสอนง่ายนั่งรอนางอยู่ในห้องกระทั่งรู้สึกว่าหลิ่วจิ้งออกไปนานเกินไป ตอนแรกเขายังตื่นตระหนกเสียด้วยซ้ำนึกว่านางจะไม่สบายหมดสติไปอีกหรือไม่
จนเมื่อเขารีบปรี่มาในทิศทางของห้องน้ำและได้พบกับอิ๋งเหอที่กำลังจะไปทำของว่างให้หลิ่วจิ้งจึงเพิ่งรู้ว่าตนเสียแรงห่วงไปเปล่าๆ เสียแล้ว
เขาไม่มีแก่ใจไปสนใจใบหน้าซีดเผือดของของอิ๋งเหอแล้วรีบวิ่งตรงไปทางสวนหลังจวนเมื่อเห็นว่าหลิ่วจิ้งกำลังนั่งสบายใจอยู่ที่ชิงช้า พอย้อนนึกถึงความกังวลหวาดกลัวเมื่อครู่ของตนเขาจึงตัดสินใจว่าจะต้องแกล้งให้หลิ่วจิ้งใ แต่นึกไม่ถึงว่าพอแกล้งนางจนใได้กลับทำให้ตัวเขาเองต้องใจนเหงื่อท่วมตัวตามไปด้วย
ซึ่งแน่นอนว่าเขาต้องเก็บงำความรู้สึกเหล่านี้เอาไว้ภายในใจอย่างแเีไม่อาจให้หลิ่วจิ้งล่วงรู้ได้มิเช่นนั้นความน่าเกรงขามของแม่ทัพใหญ่เช่นเขาก็คงไม่หลงเหลืออยู่
“ท่านแม่ทัพ… อย่าเล่นพิเรนทร์น่าใเช่นนี้อีกได้หรือไม่เมื่อครู่หากท่านแม่ทัพรับไว้ไม่ทัน มายามนี้ถ้าท่านแม่ทัพไม่ตามท่านหมอมาให้ข้าก็ต้องไปจัดเตรียมงานสำหรับวาระสุดท้ายแล้วนะเ้าคะ”
หลิ่วจิ้งตื่นใจนหน้าซีดไปหมด แต่ปากนางก็ยังไม่ยอมปล่อยต่อว่าหั่วอี้จนเขาคิดว่าทำผิดไปแล้วจริงๆ
พวกเขาหารู้ไม่ว่าอาหนูกำลังพาจื่อเซียวมาเดินเล่นในสวนหลังจวนอาหนูเห็นหลิ่วจิ้งอยู่นานแล้ว ทว่านางยังไม่ทันเตรียมตัวให้ดีๆว่าจะเข้าไปสร้างไมตรีกับหลิ่วจิ้งอย่างไร ในขณะที่กำลังจะจากไปกลับเห็นว่าท่านแม่ทัพเดินมาแต่ไกลพอดี
อาหนูยินดีนักจนล้มเลิกความคิดจะกลับไประยะนี้หั่วอี้ล้วนไม่ไปที่เรือนของนางยามนี้การจะได้พบกับท่านแม่ทัพก็นับว่าเป็เื่ที่ไม่ง่ายดายเลยจริงๆ
นางจึงซ่อนตัวอยู่หลังต้นไม้ใหญ่เงียบๆคิดว่าจะรอจนหั่วอี้เดินมาใกล้ค่อยออกไปสร้างความประหลาดใจให้เขา
เดิมทีหั่วอี้เดินไปตามทางที่ตรงไปหาอาหนูแต่นางจะไปรู้ได้อย่างไรว่าหั่วอี้คิดจะแกล้งหลิ่วจิ้ง จู่ๆ เขาก็เปลี่ยนเส้นทางไปใช้ทางเดินอีกเส้นที่อ้อมไปข้างหลังหลิ่วจิ้งแทนก่อนจะผลักหลิ่วจิ้งเข้าเต็มแรง
ตอนที่หลิ่วจิ้งตกลงมาจากกลางอากาศ อาหนูยังไม่ทันได้ยินดีก็กลับเห็นหั่วอี้หน้าเสียตื่นตระหนก
อาหนูจึงยิ่งชิงชังต่อความอาทรร้อนใจที่หั่วอี้มีต่อหลิ่วจิ้งจนขบฟันกรอดๆมือก็คว้าเอากิ่งไม้ที่อยู่ข้างกายโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นเสียงร้อง “โอ๊ย” อย่างใของอาหนูก็ไปขัดจังหวะบรรยากาศหวานชื่นของหั่วอี้และหลิ่วจิ้ง
หั่วอี้ช้อนตาขึ้นมามองตามเสียง เห็นจื่อเซียวกำลังจับมืออาหนูขึ้นมาดูอย่างร้อนใจทั้งเอ่ยด้วยเสียงสั่นเครือว่า “ฮูหยิน มือท่านเืออกแล้ว”
อาหนูไม่ได้สนใจมือที่ยังเืออกอยู่แต่อย่างใดความพยาบาทปรากฏอยู่บนใบหน้าเกรี้ยวกราดของนางนางใช้กิ่งกุหลาบเป็ตัวแทนหลิ่วจิ้งจึงหักมันอย่างแรงจินตนาการว่ากิ่งไม้นี้ก็คือหัวของหลิ่วจิ้ง เมื่อหักกิ่งไม้นี้ก็รู้สึกสะใจราวกับได้หมุนคอหลิ่วจิ้งจนหัก
“ฮูหยิน ท่านแม่ทัพกำลังมองอยู่นะเ้าคะ”จื่อเซียวเอ่ยเตือนอาหนูโดยไม่แสดงสีหน้าอารมณ์
อาหนูที่ได้ฟังคำเตือนของจื่อเซียวก็เหมือนเพิ่งตื่นจากฝันแอบหวังอยู่ในใจว่าท่านแม่ทัพคงมองความอาฆาตแค้นของตนไม่ออก
อาหนูเงยหน้าที่เต็มไปด้วยน้ำตาขึ้นมองหั่วอี้ดวงตานางมีหยาดน้ำตาวิบวับ ดวงหน้าดั่งดอกหลีต้องพิรุณของนาง ผู้ใดพบเห็นล้วนอดสงสารขึ้นมามิได้
ไฟโทสะลุกโชนในแววตาของหั่วอี้ แต่เมื่อเห็นดวงตาอาบน้ำตาของอาหนูที่สุดเขาก็เดินเข้ามาหานาง
อาหนูยิ่งทำท่าน่าสงสารเข้าไปอีกเพียงแต่ยามนางมองหั่วอี้กำลังเดินมาทางตน ทว่ามือเขายังคงอุ้มหลิ่วจิ้งเอาไว้ไม่ยอมปล่อยเห็นดังนั้นใจของอาหนูก็ยิ่งเ็ปราวถูกเข็มทิ่มแทงหนแล้วหนเล่า
“ท่านแม่ทัพวางข้าลงก่อนเถิด”หั่วอี้ไม่ได้สนใจเื่เล็กน้อยเหล่านี้แต่หลิ่วจิ้งกลับไม่อาจเอนตัวนอนอยู่ในอกเขาต่อไปได้ ในขณะที่สองมือของนางโอบรอบลำคอของหั่วอี้จึงอาศัยแรงที่เกาะอยู่นี้ดันตัวออกจากอ้อมแขนเขา
หั่วอี้ก็ไม่ได้ขืนจะอยู่ในท่าทางไม่เหมาะควรนี้ต่อปล่อยให้หลิ่วจิ้งออกไปจากอ้อมแขนตน
หั่วอี้ก้าวเท้ายาวๆ ด้วยระยะทางไม่ไกลนี้จึงเดินมาถึงตัวอาหนูอย่างรวดเร็ว
เขาดึงมืออาหนูจากมือของจื่อเซียวมาดูอย่างละเอียด
อาหนูดีใจล้นเหลือที่เห็นว่ามือขาวนวลของตนถูกหั่วอี้เกาะกุมอยู่พลันมีความเอียงอายปรากฏในสีหน้า
นางจำได้ว่าหั่วอี้เคยชมว่าเขาชอบดูท่าทีเอียงอายของนางเป็ที่สุด มองแล้วเหมือนลูกผิงที่สุกเต็มที่ทำให้เขาอยากกลืนนางลงท้องไปเสียยิ่งเมื่อคิดถึงความเร่าร้อนดั่งเพลิงที่หั่วอี้ปฏิบัติต่อนางทุกครั้งที่เขาเอ่ยเช่นนั้นใบหน้าของอาหนูก็ยิ่งแดงขึ้นมาอีก
“เหตุใดจึงไม่ระวังเช่นนี้ มือมีาแห้ามให้ถูกน้ำอีกสักพักไม่สะดวกเอาเสียเลย” ไม่บ่อยนักที่หั่วอี้จะใช้น้ำเสียงอ่อนโยนเช่นนี้พูดจากับอาหนูนางฟังจนรู้สึกหวานราวน้ำผึ้งอยู่ในหัวใจ
“ท่านแม่ทัพ เมื่อครู่อาหนูเห็นท่านเดินเข้ามาหาจากไกลๆกำลังคิดจะเข้าไปทักทายท่าน แต่กลับเห็นว่าฮูหยินหล่นลงมาจากกลางอากาศอาหนูในัก ไม่ทันมองรอบตัวให้ดีจึงเผลอถูกกิ่งไม้บาดมือเอาเ้าค่ะ”
_____________________________
เชิงอรรถ
[1] สารทฤดู หมายถึง ฤดูใบไม้ร่วง
