หลินฟู่อินยกมือขึ้นมาเกี่ยวผมไปทัดไว้หลังใบหู จากนั้นริมฝีปากก็โค้งขึ้นเป็รอยยิ้ม “ใช้ดีแน่นอนอยู่แล้ว มิเช่นนั้นวันนี้ข้าคงไม่มาที่นี่แน่ ชาดที่บ้านข้าหมดแล้ว ข้าจึงต้องมาซื้อเพิ่ม”
แม่นางฉินได้ยินว่านางมาเพื่อซื้อชาดของนางจริงๆ ก็ยิ้มหน้าบานออกมา การเปิดร้านแต่เช้าเช่นนี้นับว่าคิดถูกแล้วจริงๆ!
“เช่นนั้นก็เชิญคุณหนูมาทางนี้ ข้ามีสินค้าใหม่ๆ หลายตัวที่ข้าได้ทดลองใช้เองไปแล้ว คุณภาพก็ดีกว่าตัวที่คุณหนูซื้อไปเมื่อคราวก่อน แต่ราคาไม่ได้แพงกว่ากันมากนัก” แม่นางฉินพาหลินฟู่อินเข้าไปชมชั้นวางสินค้าอย่างมั่นใจ
ตรงนั้นมีไหและกล่องที่เป็เครื่องเคลือบตั้งอยู่ ประดับประดาด้วยลวดลายฤดูกาลทั้งสี่
หลินฟู่อินได้ยินคำพูดของนางแล้ว จึงกล่าวออกไป “ไม่แปลกใจเลยที่แม่นางฉินจะอารมณ์ดีเช่นนี้ หากสินค้าใหม่มีทั้งคุณภาพที่สูงและราคาที่ต่ำเช่นนี้แล้ว การที่การค้าขายจะรุ่งเรืองก็ย่อมเป็เื่แน่นอนอยู่แล้วเ้าค่ะ”
นางมาเพื่อสอบถาม ดังนั้นแล้วแน่นอนว่านางต้องซื้ออะไรติดไม้ติดมือก่อนถึงจะเริ่มคุยได้
แต่ที่นางซื้อไปเมื่อคราวก่อนมันก็เหลือไม่มากแล้วจริงๆ
ส่วนของหลินเฟินและหลินฟางนั้นเหมือนจะยังเหลืออีกมาก คงเพราะทั้งสองทำใจใช้ไม่ลงด้วยความเสียดาย
แต่นางก็ยังเลือกที่จะซื้อเพิ่ม
“สินค้ากระปุกนี้ทำจากดอกอวี้หลัน [1] ทำได้แค่ในฤดูใบไม้ผลิเท่านั้น โดยคนผลิตได้ลองแจกจ่ายให้สาวใช้ในบ้านได้ใช้กันดูก่อน จนได้รับคำยืนยันมาแล้วว่ามันดีจริงจึงยอมให้นำมาปล่อยขายได้” แม่นางฉินเปิดกระปุกเครื่องเคลือบกระปุกหนึ่งให้หลินฟู่อินดู “เ้าลองปาดไปใช้สักปลายนิ้วดูสิ”
หลินฟู่อินมองชาดในกระปุก เมื่อเห็นว่ามีรอยนิ้วมากมายในนั้นจึงได้รู้ว่าแม่นางฉินคงให้คนทดลองไปเยอะแล้ว หลินฟู่อินจึงใช้ปลายนิ้วปาดขึ้นมาป้ายลงบนหลังมือ ถูเล็กน้อย จากนั้นก็ก้มหน้าลงไปสูดกลิ่น
เป็กลิ่นดอกอวี้หลันจริงๆ แม้จะเพียงจางๆ ก็ตาม
ฟู่อินเดาว่าต้องมีการผสมน้ำดอกไม้ชนิดอื่นเข้าไปด้วยแน่ ไม่อย่างนั้นกลิ่นดอกอวี้หลันคงไม่จางถึงเพียงนี้
นามลองดมอย่างพิถีพิถันดู ตัวกลิ่นแฝงไปด้วยดอกไม้หลายชนิด ดอกอวี้หลันนี่แน่นอน แต่น่าจะมีดอกกล้วยไม้อยู่ด้วย…
แต่เื่นี้เป็ความลับทางการค้า คงไม่มีใครโง่พอจะยอมเผยสูตรให้แค่เพราะถูกถามแน่
สิ่งที่ทำให้หลินฟู่อินดีใจที่สุดคือการที่ชาดของต้าเว่ยนั้นมีการเสริมกลิ่นเข้าไปด้วย เช่นนั้นก็แปลว่านางน่าจะทำชาดที่ดียิ่งขึ้นไปอีกได้ไม่ใช่หรือ?
“กลิ่นหอมดีหรือไม่?” แม่นางฉินถามด้วยรอยยิ้ม สีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“กลิ่นหอมน่าใช้มากเ้าค่ะ” หลินฟู่อินเลือกตอบในสิ่งที่แม่นางฉินอยากฟังออกไป
แม่นางฉินดีใจมาก “คุณหนูหลินมีตาจริงๆ แม้ข้าจะเสนอชาดนี้ให้ลูกค้าหลายคนแล้ว แต่กลับมีบางส่วนที่คิดว่าข้าแค่อยากได้เงินจึงเสนอขาย ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่เลย!”
การพบลูกค้าเช่นนั้นในการทำธุรกิจถือว่าเป็เื่ธรรมดา ไม่จำเป็ต้องใส่ใจ
หลินฟู่อินคลี่ยิ้มบาง “หากมีคนที่ดูสินค้าเป็ ก็แปลว่าต้องมีคนที่ดูไม่เป็อยู่ด้วยเช่นกัน ลูกค้าเ่าั้คงไม่รู้จริงๆ”
“ใช่ ใช่ ใช่ ถูกต้องเลย” แม่นางฉินยิ้มกว้าง “คุณหนูเข้าใจอะไรง่ายนัก” นางว่าต่อ แล้วถามด้วยสีหน้าคาดหวัง “สนใจจะรับกลับไปสักกี่กระปุกดีหรือคุณหนู? สองคนที่มาด้วยกันกับเ้าเมื่อคราวก่อนเองก็ใช้ชาดเช่นกันใช่หรือไม่?”
นี่เป็การบอกอ้อมๆ ให้หลินฟู่อินซื้อเพิ่ม
แต่ความจริงแล้วนางไม่จำเป็ต้องทำเช่นนั้นเลย เพราะหลินฟู่อินมีแผนจะซื้อเพิ่มอยู่แล้ว และไม่ใช่แค่ส่วนของหลินเฟินหลินฟาง แต่ยังเผื่อเฟิงซื่อ แม่นมฉินและย่าหลี่คนละกระปุกอีกด้วย
ยิ่งซื้อเยอะ ก็ยิ่งมีอำนาจในการสอบถามเยอะ
“นอกจากกลิ่นอวี้หลันแล้ว ยังมีกลิ่นอื่นอีกหรือไม่?” หลินฟู่อินไม่ชอบกลิ่นอวี้หลันนัก
”มี มี มี!”แม่นางฉินไปหยิบกระปุกเครื่องเคลือบมากระปุกหนึ่ง “กระปุกนี้เป็กลิ่นดอกมะลิ แต่พวกลูกค้าเห็นว่ากลิ่นมันเบาบางเกินไป จึงไม่ซื้อกัน”
หลินฟู่อินชอบกลิ่นมะลิมาก เมื่อได้ยินเช่นนี้จึงกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม “งั้นข้าขอกลิ่นมะลิหนึ่งกระปุก แล้วเอาอวี้หลันมาอีกห้า”
“หกกระปุกเลยหรือ?” แม่นางฉินตะลึงไปและเผลอเตือนออกมา “คุณหนูหลินซื้อเยอะไปแล้ว ชาดเหล่านี้ควรใช้ให้เร็วที่สุดหลังซื้อกลับไปแล้ว เพราะมันเก็บไว้ได้ไม่นาน!”
นี่คือความจริงใจของเหล่าพ่อค้าแม่ค้าในต้าเว่ย หากเป็ยุคปัจจุบันนั้นขอแค่ซื้อไปเยอะๆ ก็พอแล้ว จะมีสักกี่คนที่จะมาเตือนเช่นนี้?
“ข้าจะเอาไปให้ครอบครัวน่ะ แม่นางฉินช่างน่านับถือนัก ข้าจึงจะซื้อเพิ่มเพื่อเอาไปให้เหล่าผู้าุโที่บ้านใช้” หลินฟู่อินอธิบายด้วยรอยยิ้ม
“คุณหนูหลินช่างกตัญญูนัก!” ครั้งก่อนก็ซื้อให้เด็กสาวทั้งสองที่มิใช่แม้แต่พี่น้องแท้ๆ และครั้งนี้ยังจะซื้อไปให้ผู้าุโที่บ้านอีก
แม่นางฉินยิ่งประเมินค่าหลินฟู่อินสูงขึ้นอีก
“สินค้าใหม่นี้ขายกระปุกละหกสิบห้าอีแปะ คุณหนู้าหก ดังนั้น…” แม่นางฉินเดินไปยังโต๊ะเก็บเงินเพื่อหยิบลูกคิดออกมาดีด จนได้ตัวเลขออกมา “เป็สามตำลึงกับเก้าสิบอีแปะถ้วน”
หลินฟู่อินยิ้ม พยักหน้ารับ
เกือบสี่ตำลึง… ถึงจะค่อนข้างแพง แต่สี่ตำลึงนี้ก็อาจกลายเป็เงินก้อนใหญ่ได้ในอนาคต อีกทั้งนี่ยังเป็สินค้าเสริมความงามอีก ถือว่าคุ้มค่าแล้ว!
“อยากได้อะไรเพิ่มอีกหรือไม่?” แม่นางฉินถามด้วยรอยยิ้ม และอธิบายต่อ “เช่นชาดสำหรับทาปาก หรือเขียนคิ้ว ร้านข้ามีทุกแบบเลย”
หลินฟู่อินเห็นว่านางพยายามเสนอขาย จึงกล่าวว่า “เช่นนั้นก็ขอดูชาดสำหรับทาปากและสำหรับเขียนคิ้วที่ว่านี้หน่อย”
ชาดทาปากคือลิปสติก ส่วนชาดเขียนคิ้วก็คือดินสอเขียนคิ้ว
ในเมื่ออยากทำกิจการด้านนี้ การรู้จักสินค้าหลายๆ แบบไว้ย่อมเป็เื่ดี
แม่นางฉินพานางไปดูสินค้า ทั้งยังช่วยเขียนคิ้วให้หลินฟู่อินด้วยตัวเอง “โอ คิ้วของคุณหนูหลินงดงามขึ้นมาก ขับใบหน้าของเ้าให้ยิ่งทรงเสน่ห์มากขึ้น!”
เพราะมีวัยสิบสามสิบสี่ นางจึงไม่ใช้การแต้มปากด้วยจุดแดง แต่เลือกใช้การเขียนคิ้วแทนเพื่อขับรูปทรงของใบหน้าซึ่งให้ผลดีกว่า
ทั้งชาดทาปากนี้ยังมีคนลองใช้ไปเยอะแล้ว นางจึงไม่อยากใช้มันนัก เลยปฏิเสธไป
“และร้านข้ายังมีแป้งหอมคุณภาพสูงด้วยนะ คุณหนูอยากลองหรือไม่?” แม่นางฉินถามต่อโดยไม่เว้น่
แป้งหอมหรือก็คือรองพื้นในยุคปัจจุบัน หรืออย่างน้อยๆ ก็เป็ของที่ใช้แทนรองพื้นได้
แต่แป้งหอมในยุคโบราณนั้นมีโอกาสที่จะใช้ตะกั่วเป็ส่วนผสม ดังนั้นอย่าลองจะดีกว่า
หลินฟู่อินยิ้มออกมาแล้วส่ายหน้า อายุของนางยังน้อยอยู่ ไม่ทำให้หน้าพังจะดีกว่า แม่นางฉินจึงไม่กล่าวอะไรอีก
แล้วหลินฟู่อินจึงนึกถึงหลินเฟินและหลินฟางขึ้นมาอีกครั้ง ครั้งก่อนนางพยายามจะซื้อชาดทาปากให้ทั้งสอง แต่ทั้งสองกลับคัดค้านหัวชนฝา แต่คราวนี้ไม่มีใครมาหยุดนางได้แล้ว
“ขอชาดทาปากและแป้งหอมให้ข้าด้วยอย่างละสอง และชาดเขียนคิ้วอีกสาม”
ชาดเขียนคิ้วในต้าเว่ยถูกบรรจุลงในกระปุกและขายพร้อมกันทั้งกระปุก นางจึงซื้อมาสามกระปุกเพื่อให้สองพี่น้องคนละกระปุก และของนางเองอีกหนึ่ง
เมื่อเห็นว่าหลินฟู่อินใช้จ่ายอย่างล่ำซ่ำ ถึงแม่นางฉินจะเป็คนใจเย็นและรู้จักรักษาอาการแต่นางก็อดตื่นเต้นขึ้นมาไม่ได้เมื่อเห็นลูกค้าคนเดียวซื้อมากขนาดนี้
“ชาดทาปากตกกระปุกละสามสิบอีแปะ ส่วนแป้งเก้าสิบอีแปะ” แม่นางฉินเหลือบมองหลินฟู่อินเพราะกลัวราคามันจะแพงเกินไป ก่อนจะอธิบายต่อ “แป้งที่ข้าเสนอให้คุณหนูเป็สินค้าขายดีของร้านเราที่เหล่าลูกค้าประจำนิยมใช้กัน แต่ราคามันออกจะสูงกว่ามาตรฐานไปสักเล็กน้อย…”
เก้าสิบอีแปะนั้นยังไม่ใช่ราคาที่สูงที่สุดในร้าน หลินฟู่อินเองก็เข้าใจดีว่าของที่แม่นางฉินนำมาเสนอให้นางน่าจะเป็สินค้าราคาสบายกระเป๋าแล้ว
นางเชื่อในตัวแม่นางฉิน
“ไม่เป็ปัญหาเ้าค่ะ แม่นางฉินเคาะราคามาได้เลย”
ใจของแม่นางฉินชื้นขึ้น จากนั้นจึงดีดลูกคิด “ชาดเขียนคิ้วกระปุกละสามสิบห้าอีแปะ… ทั้งหมดเป็สามตำลึงและสี่สิบห้าอีแปะ รวมกับสามตำลึงเก้าสิบอีแปะจากเมื่อครู่แล้ว เป็เจ็ดตำลึงกับอีกสามสิบห้าอีแปะ”
เท่ากับที่หลินฟู่อินคำนวณในใจ แต่แม่นางฉินใช้เวลาคำนวณไปถึงสามนาที
หลินฟู่อินหยิบถุงเงินขึ้นมา แล้วหยิบเงินพอดีให้แม่นางฉิน
แม่นางฉินรับมาแล้วจึงห่อของให้หลินฟู่อิน โดยห่อใส่กระดาษน้ำมันอย่างดีก่อนส่งห่อทั้งสี่ให้หลินฟู่อินพร้อมรอยยิ้ม “ขอให้คุณหนูใช้อย่างคุ้มค่า หมดแล้วเชิญใหม่ได้เสมอ”
หลินฟู่อินพยักหน้า ตามองห่อกระดาษน้ำมัน แล้วถามขึ้นมา “แม่นางฉินพอจะรู้จักสถานที่ที่ผลิตสบู่เช่นนี้บ้างหรือไม่?”
--------------------------------------------------
เชิงอรรถ
[1] ดอกอวี้หลัน หมายถึง ดอกแมกโนเลีย
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้