Chapter fifteen: Stranger
คนที่สามารถััได้ทันทีั้แ่แรกพบว่าเป็อัลฟ่าแบบนี้ ไม่ได้ดูน่าปลอดภัยสำหรับโอเมก้าธรรมดาอย่างแพทเลยสักนิด เ้าของผิวสีน้ำผึ้งที่ถูกสวมทับแจ็กเก็ตหนังสีดำตรงหน้าทำเอาเขายืนนิ่งไปชั่วครู่ จริง ๆ แล้วแพทไม่ได้ชอบการมองคนั้แ่หัวจรดเท้าแบบนี้หรอกนะแต่คนตรงหน้ามีเสน่ห์จนชวนให้มองจริง ๆ
แต่มีเสน่ห์จนดูอันตรายไปในตัว
อัลฟ่าผิวสีน้ำผึ้งยืนมองแพทที่กำลังสำรวจตนเองพร้อมยิ้มมุมปากอย่างเต็มใจ สายตาเ้าชู้ที่มองมาไม่ได้ทำให้แพทประทับใจอีกฝ่ายเลยสักนิด ในตอนนี้คนตัวเล็กมีเพียงแต่ความไม่เข้าใจว่าทำไมอีกฝ่ายถึงมองคนที่ไม่รู้จักกันครั้งแรกด้วยสายตาแบบนั้นกัน
จริง ๆ แพทอยากจะเดินหนีอีกฝ่ายไปั้แ่แรกด้วยซ้ำแต่เพราะข้อเสนอที่เขาให้มาในตอนแรกนั่นแหละจึงทำให้แพทต้องชั่งใจ เพราะถ้าหากเขาต้องไปยืนรอคิวที่ได้รับมา เขาคงต้องอยู่ตรงนี้ไปจนถึงเวลาร้านปิดอย่างที่เคยมีคนบอกมาแน่ ๆ และนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าขนมในร้านจะไม่หมดก่อนที่จะถึงคิวเขาอีก
หากต้องรอไปจนถึงตอนเย็นและแถมยังไม่ได้ขนมอีก
นอกจากจะเหนื่อยกายแล้ว ไซม่อนก็คงต้องเสียใจแน่ ๆ
“ว่ายังไงครับ? สนใจฝากผมซื้อมั้ย?” เขายิ้มเ้าชู้ส่งมาให้พร้อมกับเลิกคิ้วหนึ่งข้าง
“เอ่อ.. แล้วคุณไม่ซื้อครบจำนวนที่เขาให้ซื้อเหรอ? ..ครับ”
“ไม่ต้องพูดเพราะกับผมขนาดนั้นก็ได้ ดูแล้วเราน่าจะรุ่นเดียวกัน?”
“แต่คุณเป็คนแปลกหน้า”
“ซี้ด.. เจ็บจัง” เขาสูดปากทำท่าเหมือนเจ็บแสบนักหนาจนแพทริเซียต้องเบือนหน้าหนีเพื่อกลั้นขำท่าทางที่ดูจะเกินจริงของอีกฝ่าย
“ผมซื้อตามจำนวนที่เขากำหนดให้นั่นแหละแต่ผมแบ่งให้คุณได้”
“ทำไมถึงต้องมาแบ่งให้เรา?”
“แลกกับการไปดื่มกาแฟเป็เพื่อนผมจนกว่าจะได้ขนมแหละมั้ง”
อยากจะบ้าตาย
นี่มันลักษณะอัลฟ่าที่เขาเกลียดชัด ๆ
การโปรยเสน่ห์ที่ดูจะไม่อ้อมค้อมของอัลฟ่าผิวสีน้ำผึ้งตรงหน้าทำแพทริเซียต้องส่ายหัวน้อย ๆ ด้วยความหงุดหงิดในใจ เพราะเป็อย่างนี้เขาเลยไม่ค่อยเปิดใจกับพวกอัลฟ่าแปลกหน้านัก ในขณะที่เขากำลังยืนพูดคุยอยู่กับคนตรงหน้า ลูกค้าที่เริ่มมาต่อแถวเรื่อย ๆ ก็ทำให้แถวยาวเร็วขึ้นจนแพทใ
“เห็นไหม? คนเยอะแล้วนะครับ”
“เราไม่ได้ตาบอดสักหน่อย”
“ไม่ได้ตาบอดก็อย่าใจหนวกสิ เปิดรับน้ำใจผมหน่อย”
“ใจหนวกอะไรของคุณ มันมีที่ไหนกัน”
“ก็ไม่เปิดใจรับฟังอะไรไง”
อยู่ ๆ ก็มาว่ากัน ไอ้บ้านี่
แพทริเซียขมวดคิ้วเรียวสวยเข้าหากันก่อนจะมองค้อนคนตรงหน้าไปหนึ่งทีจนอีกฝ่ายหลุดหัวเราะออกมา แพทชะเง้อมองปลายแถวสลับกับสินค้าในร้านที่กำลังถูกเติมเข้าชั้นวางก่อนจะถึงเวลาเปิดร้าน
หากเขายอมแลกเวลาไม่กี่ชั่วโมงเพื่อไปดื่มกาแฟกับอัลฟ่าผิวสีน้ำผึ้งตรงหน้าและแถมได้ขนมไปฝากไซม่อนด้วยมันก็คงดีกว่าการที่เขามายืนต่อคิวรอทั้งวันและไม่ได้ขนมสักชิ้นติดมือกลับไป เพียงแค่เขานึกถึงดวงตาเศร้า ๆ ของไซม่อนก็ทำเอาใจที่แข็งอยู่อ่อนยวบลงทันที
อัลฟ่าหน้าหมาจะรู้บ้างไหมว่าเขาต้องยอมลดศักดิ์ศรีตัวเองขนาดไหน
ทั้ง ๆ ที่บอกกับตัวเองไว้เสมอว่าจะไม่ยุ่งกับคนแบบที่ตัวเองไม่ชอบแท้ ๆ
แต่ในเมื่อเขามีคิวที่ดีกว่าอยู่ในมือ แพทริเซียก็ต้องยอมละนะ
ดวงตากลมโตหันไปมองชายในชุดสูทสีดำที่กำลังยืนต่อคิวรออย่างมุ่งมั่น ถึงแม้คนในแถวจะมีอยู่นับร้อยคนแต่เพียงแค่เขามองปราดเดียวก็รู้ได้เลยว่าจะต้องเป็ลูกน้องของคนตรงหน้าที่เขาเอ่ยถึงแน่ ๆ ลักษณะของการแต่งตัวที่ไม่เหมือนกับชาวเมืองทั่วไปแบบนี้ ต่อให้มองจากบนคฤหาสน์ควินท์เรลลงมาเขาก็มองออก
คนบ้าที่ไหนจะแต่งตัวเต็มยศขนาดนี้มาซื้อขนมกัน
“แค่กินกาแฟใช่ไหม?” แพทเอ่ยถามขึ้นแล้วก็เรียกรอยยิ้มของคนตรงหน้าออกมาได้อย่างง่ายดาย
“ครับ หรือคุณอยากจะไปไหนมากกว่านั้น?”
“ไม่ละ เราอยากได้แค่ขนมแล้วก็จะกลับ”
“งั้นคุณจดเมนูที่อยากได้ให้ลูกน้องผมสิ แล้วเราไปดื่มกาแฟกันเถอะ”
สุดท้ายแพทก็ต้องยอมอัลฟ่าเ้าชู้คนนี้จนได้
เพราะสัญญากับไซม่อนแท้ ๆ เลย
- Simon’s theory -
ทั้งสองคนใช้เวลาเพียงไม่นานก็เดินมาหยุดที่ร้านกาแฟร้านดังที่แพทริเซียเป็คนแนะนำอีกฝ่าย เขาปล่อยให้ชายหนุ่มอีกสองคนที่เขาเรียกว่าเป็ลูกน้องเป็คนไปสั่งเมนูที่เขาได้บอกและเขากับแพทก็มานั่งที่โต๊ะที่อีกฝ่ายเป็คนไปกระซิบผู้จัดการร้านให้ช่วยเคลียร์คนเพื่อที่เขาจะได้นั่งพื้นที่ส่วนนั้นเป็ส่วนตัว
และสิ่งที่ทำให้แพทยิ่งงงเข้าไปใหญ่ก็คือ
ผู้จัดการร้านยอมทำตามเขาทุกอย่างเหมือนกับเขาเป็เ้าของร้านยังไงอย่างนั้น
แพทริเซียนั่งมองชายหนุ่มตรงหน้าเงียบ ๆ แบบที่ไม่พูดอะไรออกมา ใจดวงน้อยเริ่มหวั่นกับสิ่งที่อัลฟ่าผิวสีน้ำผึ้งตรงหน้าทำขึ้นมาทีละนิด เพราะเซ้นส์ในครั้งแรกที่รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ พอได้เห็นการกระทำที่เขาทำก็ยิ่งทำให้แพทมั่นใจเข้าไปใหญ่
ถ้าเกิดเขาเป็คนปกติก็คงไม่มีบอดีการ์ดเดินตามขนาดนี้
ยิ่งไปต่อปากต่อคำกับเขาอยู่ด้วยแพทเอ้ย
“คุณเป็อะไรไป หนาวเหรอ? เอาเสื้อผมไหมล่ะ?”
“เปล่า เราไม่ได้หนาว”
“มือสั่นเชียว”
อีกฝ่ายพูดพร้อมกับยิ้มออกมาทำแพทยิ่งใจแป้วเข้าไปใหญ่ ฝ่ามือเล็กถูกดึงกลับมาจากบนโต๊ะและกุมมือกันอยู่บนตักเหมือนเดิม ตอนนี้แพทไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเขาคิดผิดหรือคิดถูกที่ตัดสินใจมากับอัลฟ่าตรงหน้า ดวงตากลมโตชำเลืองไปมองนาฬิกาบนผนังของร้านและพบว่าเขายังนั่งอยู่ตรงนี้ไม่ถึงสิบห้านาทีด้วยซ้ำ กว่าเขาจะได้ขนมก็คงกินเวลาไปเกือบสองชั่วโมง จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรขนาดนั้นหรอกเพราะก็ยังมีคนพลุกพล่านอยู่ภายในร้าน แต่ถ้าหากเขาเกิดโดนข่มขู่แล้วจับตัวไปแบบในหนังเนี่ยสิ แบบนั้นใครจะช่วยเขาได้กันล่ะ
“คุณ”
“หือ?”
“ปกติอยู่แถวนี้หรือเปล่า?” อัลฟ่าหนุ่มเท้าคางจ้องมองมาและสายตาคู่นั้นก็ทำให้แพทขนลุกไปทั้งตัวอย่างห้ามไม่ได้ ไม่รู้ว่าเป็เพราะที่อีกฝ่ายนั้นเป็อัลฟ่าหรือเพราะความน่ากลัวที่แฝงอยู่ในแววตาของเขาจึงทำให้แพทรู้สึกอย่างนี้ แล้วไหนจะสายตาของบอดีการ์ดทั้งสองคนของเขาที่นั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ นั่นอีก
จะไม่ให้เกร็งได้ยังไงกัน
เมื่ออัลฟ่าหนุ่มสังเกตอาการของแพทที่ดูเกร็งที่จะตอบ เขาจึงส่งสายตาไปทางบอดีการ์ดทั้งสองคนพร้อมพยักพเยิดหน้าเป็เชิงให้รู้กัน บอดีการ์ดตัวโตทั้งสองคนจึงลุกขึ้นมาโค้งให้เขาพร้อมกับเดินออกไปทันที
“หายเกร็งหรือยัง?” เขาเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่น
“ก็นิดหน่อย”
“ปกติอยู่แถวนี้เหรอ?”
“ปกติ.. เราไม่ได้อยู่”
“แล้วอยู่ไหนครับ?”
“คุณจะอยากรู้ไปทำไม?”
“ก็ไม่เคยเห็นคนน่ารักแบบคุณเลย”
คิ้วสวยขมวดเข้าหากันทันทีที่ได้ยินประโยคหยอดคำหวานชวนเลี่ยนจากอีกคน เมื่อแพทริเซียเบ้หน้าหน่อย ๆ ก็เรียกเสียงหัวเราะจากคนตรงหน้าได้ทันที ถึงแม้แพทจะไม่เข้าใจก็เถอะว่าอีกฝ่ายตลกอะไรกับที่เขาพูดนักหนา แต่อย่างน้อยบรรยากาศตึงเครียดก่อนหน้านี้ก็ค่อย ๆ ลดลงนิดนึงแล้วแหละนะ
แต่ยังไงก็ยังบอกข้อมูลส่วนตัวกับอีกฝ่ายไม่ได้อยู่ดี
เพราะในตอนนี้เขาเป็คนกุมความลับของทายาทควินท์เรลอยู่ด้วย
เขาต้องระวังและคิดเื่คำพูดที่จะพูดออกไปให้ได้มากที่สุด
“สรุปว่าคุณไม่ได้อยู่แถวนี้จริง ๆ เหรอ?”
“ใช่น่ะสิ ”
“งั้นวันนี้ผมคงโชคดีที่ยอมมาซื้อขนมด้วยตัวเอง”
“หรืออาจจะเป็โชคร้ายของเรา”
“คุณ”
“เราล้อเล่น”
แพทริเซียหัวเราะออกมาน้อย ๆ พร้อมมองไปรอบร้าน บรรยากาศคาเฟ่ที่พวกเขานั่งอยู่ค่อนข้างคึกคัก ถึงแม้ในบริเวณที่เขานั่งอยู่จะไม่มีคนมานั่งใกล้ ๆ ก็เถอะ แต่อีกส่วนก็ยังมีผู้คนเข้าออกอยู่ตลอดจนทำให้เขาหวนนึกถึง่เวลาที่ตัวเองเคยได้เข้ามาในตัวเมืองเอดมันตันทุกวัน
ดวงตากลมโตมองไปนอกกระจกใสของร้านและเขาก็พบกับอาคารที่สูงที่สุดของมหาวิทยาลัยที่ตั้งอยู่ไม่ไกลจากในตัวเมืองมากนัก บรรยากาศเก่า ๆ ที่เขาได้ใช้เวลากับเพื่อน ๆ ทำให้เขารู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก เมื่อก่อนเขาเคยคิดว่าตัวเขาคงชอบการที่ได้เข้ามาในตัวเมืองทุกวัน ได้เห็นแสงสี บรรยากาศที่ตกแต่งแบบคนเมือง เสื้อผ้าการแต่งตัวที่ไม่ได้มีทุกบ้านในย่านคอตตอนเทล ทั้งหมดนี้เคยเป็อะไรที่ทำให้เขาตื่นตาตื่นใจมาก่อน แต่ในตอนนี้ที่เขาต้องไปอยู่คฤหาสน์ที่อยู่ห่างไกลในตัวเมืองอย่างคฤหาสน์ควินท์เรลมันกลับทำให้ความคิดของเขาเปลี่ยนไป จริง ๆ แล้วเขาชอบความสบายหูสบายตาในการดููเาและทะเลสาบมากกว่าการนั่งดูแสงสีอะไรแบบนี้เสียอีก
“เหม่ออะไรอีกแล้วครับ?”
“อ๋อ ขอโทษที เราแค่มองไปเรื่อย”
“อยากไปนั่งรถม้ารอบเมืองกันไหมล่ะ?”
“รถม้า?”
“เห็นตรงหัวมุมนั่นไหม?”
อัลฟ่าหนุ่มยืนขึ้นพร้อมใช้ฝ่ามือค้ำโต๊ะเข้ามาใกล้จนแพทต้องรีบถอยหนีอัตโนมัติ เขาหลุดหัวเราะออกมาก่อนจะยื่นนิ้วชี้ไปทางหัวมุมของถนนอีกฝั่งที่มีรถม้าจอดอยู่สี่ถึงห้าคัน ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยได้ยินเกี่ยวกับรถม้าในตัวเมืองเอดเมนตันหรอกเพราะม้าที่เขาเอามาขี่กันก็เป็ม้าจากฟาร์มของเพื่อนคุณพ่อทั้งนั้น แต่จะให้พูดจริง ๆ ั้แ่เกิดมาจนถึงตอนนี้เขายังไม่เคยคิดจะนั่งรถม้าชมรอบเมืองสักครั้งและก็ไม่เคยมีใครเคยเอ่ยปากชวนเขาเลยด้วย แพทได้แต่ขมวดคิ้วมองตามมืออีกคนพร้อมพยักหน้ารับไปเพื่อให้อีกคนได้กลับไปนั่งทีตัวเองสักที
“ไปไหม?”
“คุณเหงามากหรือไง?”
“ก็นี่เป็ครั้งแรกที่ผมมาเอดมันตันนี่..” เสียงของเขาแ่พร้อมใบหน้าที่เจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
แพทริเซียชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินประโยคนั้นจากอีกฝ่าย ความรู้สึกผิดก่อตัวขึ้นมาในใจทีละนิดเมื่อเขาได้มองใบหน้าจ๋อย ๆ ของคนตรงหน้า แต่เขาจะไปรู้ได้ยังไงกันว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนแถวนี้ก็ในเมื่อวางท่าทางราวกับเป็คนในเมืองเอดมันตันซะขนาดนั้น แพทได้แต่ส่งยิ้มแห้ง ๆ ไปให้เขาแทนคำตอบ
“แต่ถ้าคุณจะไม่นั่งเป็เพื่อนผมก็ไม่เป็ไรหรอก”
“คือว่-”
“ผมก็แค่ต้องไปนั่งเหงา ๆ คนเดียวบนรถม้าแค่นั้นแหละ”
“คุณ”
“ไม่เป็อะไรหรอกครับ ผมเข้าใจดี”
- Simon’s theory -
สุดท้ายเขาก็ต้องมานั่งปั้นจิ้มปั้นเจ๋ออยู่บนรถม้าที่เขาไม่เคยคิดจะนั่งมาก่อนเลยทั้งชีวิตจนได้ แต่ในครั้งนี้ก็ทำให้เขารู้ว่าการนั่งรถม้าชมเมืองไม่ได้ราคาถูกอย่างที่เขาคิดเลยสักนิดแถมการนั่งหนึ่งครั้งก็ต้องเหมาเป็ชั่วโมงตามเส้นทางที่เลือกอีกด้วย และอัลฟ่าผิวสีน้ำผึ้งที่กำลังทำตาโตกับสิ่งที่คนขับรถม้าพูดรายละเอียดให้ฟังก็ทำแพทอยากกุมขมับเขาไปใหญ่
เหมือนกับว่าแค่คนขับรถม้าพูดอะไร อีกฝ่ายก็จะเอาทั้งหมด
นี่มันเด็กได้ของเล่นหรือยังไงกันนะ
“คุณ แค่รอบเมืองก็พอแล้วมั้ง จะนั่งไปถึงวู้ดแลนด์ทำไมกัน”
“ก็ผมไม่เคยไปวู้ดแลนด์สักครั้งเลยนี่” เขาเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงน้อยใจ
และนั่นก็เป็อีกครั้งที่เขายอมใจอ่อนให้อีกฝ่ายทำอะไรตามที่้าไป ทั้ง ๆ ที่เขาเองก็ไม่ได้รู้จักอะไรอีกฝ่ายมากมายเลยด้วยซ้ำ ถ้าเกิดเื่นี้ถึงหูคุณพ่อคุณแม่ขึ้นมาเมื่อไหร่ เขาต้องซวยแน่ ๆ ถึงแม้คุณพ่อและคุณแม่จะคอยพร่ำบอกเขาให้เลือกคนที่จะใจดีด้วยหน่อยแต่ทุกครั้งที่เขาโดนคำพูดตัดพ้อหรือถูกใช้น้ำเสียงแบบนั้นด้วย ใจของแพทก็มักจะอ่อนไปตามคำพูดเ่าั้ทันที
แต่จะให้เขาใจร้ายกับคนมันก็ไม่ใช่เื่นี่นา
แถมครั้งนี้อีกฝ่ายก็เป็คนช่วยเหลือเขาเื่คิวขนมปังด้วย
ถือซะว่าทดแทนบุญคุณก็แล้วกัน
หลังจากอัลฟ่าหนุ่มตกลงกับคนขับรถม้าอยู่นานเื่เส้นทาง ในที่สุดรถม้าของเขาทั้งคู่ก็ได้เคลื่อนออกจากจุดพักรถสักที บรรยากาศรอบเมืองยังคงถูกตกแต่งให้เข้ากับฤดูใบไม้ผลิถึงแม้อีกไม่กี่วันก็จะหมดฤดูอยู่แล้วแต่ทุกอย่างก็ยังคงอยู่เหมือนเดิมในวันแรกของฤดู พอนึก ๆ ดูแล้วเวลาก็ผ่านไปเร็วเหมือนกัน ในวันแรกของฤดูใบไม้ผลินั้นเขายังคงเดินทางไปที่คฤหาสน์ควินท์เรลอยู่เลย พอมาถึงวันนี้เวลาก็ผ่านไปเกือบจะเข้าเดือนที่สามอยู่แล้ว
เหลืออีกเพียงแค่เจ็ดเดือนกว่า ๆ ในการสอนไซม่อนสินะ
ในตอนแรกที่คิดว่าเวลาสิบเดือนมันช่างยาวนานเหลือเกินในคฤหาสน์ควินท์เรล แต่เมื่อความรู้สึกหลาย ๆ อย่างเริ่มเปลี่ยนไป เวลาสิบเดือนมันก็สามารถผ่านไปได้เพียงแค่พริบตาเดียวจริง ๆ แพทริเซียถอนหายใจยาวพร้อมเหม่อมองไปตามข้างทางในตัวเมือง อัลฟ่าหนุ่มที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ไม่ได้เอ่ยถามอะไร เขาทำเพียงแค่นั่งชมบรรยากาศเงียบ ๆ เท่านั้น
รถม้าค่อย ๆ เคลื่อนออกไปนอกตัวเมืองเอดมันตันและป้ายข้างทางที่เขียนไว้ว่าอีกหนึ่งกิโลเมตรจะเข้าสู่วู้ดแลนด์ นั่นก็ทำให้แพทริเซียหลุดจากภวังค์และหันไปมองคนข้าง ๆ ทันที และเขาก็ได้รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองเขาอยู่แล้ว
“คุณมองเราทำไม?”
“เห็นคุณเหม่อ ก็เลยอยากรู้ว่าเหม่ออะไรนัก”
“เราคิดเื่งานนิดหน่อย”
“งาน? ดูเหมือนคุณยังเด็กกว่านั้นอยู่เลยนะ”
“เรากำลังอยู่ใน่ฝึกงาน”
“คุณอายุเท่าไหร่ล่ะ?” เขาเอียงคอพร้อมเอ่ยแพทด้วยความสงสัย
ถึงแม้แพทจะไม่ได้อยากบอกข้อมูลส่วนตัวอะไรเกี่ยวกับตัวเองมากมายนัก แต่เขาก็คิดว่าเพียงแค่อายุก็คงไม่ทำให้อีกฝ่ายมารู้อะไรเกี่ยวกับเขามากมายนัก ถ้าหากเขาจะรู้จักและสืบหาแพทได้เพราะอายุจริง ๆ นั่นมันก็คงน่ากลัวเกินไปหน่อย
“เราอายุยี่สิบเอ็ด”
“เท่ากัน แล้-”
“นี่ไง ถึงวู้ดแลนด์แล้ว”
แพทริเซียพูดขัดไปทันทีที่อีกฝ่ายกำลังจะถามอะไรต่อ เพราะเขาคิดว่าบทสนทนาที่เป็เื่ส่วนตัวมันควรจะจบที่ตรงนั้นแล้วล่ะ แพททำตัวไม่รู้ไม่ชี้เมื่ออัลฟ่าหนุ่มกำลังอมยิ้มมองที่เขาพูดขัดไปอย่างนั้น
บรรยากาศของวู้ดแลนด์ที่เขาไม่ได้มานานหลายปีก็ยังคงเหมือนเดิม ย่านเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยต้นไม้ที่เรียงรายเต็มทั้งสองข้างทางและบ้านทุกหลังก็ถูกปลูกด้วยไม้ให้สมชื่อวู้ดแลนด์อีกด้วย สถานที่ต่าง ๆ ก็จะถูกตกแต่งด้วยผลิตภัณฑ์และเฟอร์นิเจอร์ที่ทำมาจากไม้ซะส่วนใหญ่ และทั้งหมดก็ดูเป็เสน่ห์ที่ลงตัวมากสำหรับวู้ดแลนด์
ในตอนที่เขายังเด็ก เขาจำได้ว่าคุณพ่อมักจะพาเขามานี่วู้ดแลนด์ในทุก ๆ ปีเพื่อซื้อเฟอร์นิเจอร์ไม้ไปซ่อมบำรุงที่บ้าน ไม่ว่าจะร้านไหน ๆ ที่ผ่านตาแพทริเซียในตอนนี้มันก็ดูจะคุ้นเคยไปเสียหมด จากที่คิดว่าการนั่งรถม้ามันดูเสียเวลามากกว่าที่จะเอาเวลาไปทำอย่างอื่น แต่ในตอนนี้แพทก็เริ่มเห็นแล้วว่าการพาตัวเองกลับมาในบรรยากาศเก่า ๆ บ้างก็ดีเหมือนกัน
แต่อยากพาไซม่อนมานั่งแบบนี้ด้วยสักครั้งจัง
หากได้เห็นแววตาของไซม่อนเวลาดีใจที่ได้มาเที่ยวสถานที่ใหม่ ๆ ตัวเขาเองก็คงจะอดดีใจไปด้วยไม่ได้แน่ ๆ แค่แววตาที่ไซม่อนส่งมาให้เขาในตอนที่ได้ฟังเื่ราวที่เขาเล่าก็ทำให้เขาอิ่มใจไปอยู่หลายวันเหมือนกัน
ดวงตากลมเหมือนกับลูกหมา
รอยยิ้มที่เวลายิ้มก็จะยิ้มพร้อมกันทั้งตาและปาก
เพียงแค่นึกถึงก็อยากกลับไปแกล้งไซม่อนจะแย่แล้ว
“คุณเคยมาวู้ดแลนด์ไหม?”
“เมื่อก่อนก็มาทุกปีเลย”
“ดีจัง วู้ดแลนด์ก็สวยดีนะ”
“สวยแต่คุณทำหน้าเบื่อขนาดนั้นเนี่ยนะ”
แพทริเซียหลุดขำทันทีเมื่ออีกฝ่ายพูดประโยคชื่นชมทั้งที่แสดงสีหน้าเบื่อหน่ายแบบปกปิดไม่มิด อัลฟ่าหนุ่มไม่ได้ตอบอะไรกลับมาเพียงแต่ยิ้มเจื่อน ๆ ให้เขาเท่านั้น จริง ๆ แพทก็ได้ยินั้แ่แรกแล้วละว่าอีกฝ่ายอยากมาวู้ดแลนด์ ทั้งที่เขาก็ถามไปแล้วแท้ ๆ ว่าจะมาวู้ดแลนด์ทำไมกันเพราะถ้าหากไม่ได้อยู่ค้างเพื่อตั้งแคมป์หรือไม่ได้มีจุดมุ่งหมายว่าจะมาเพื่อซื้ออะไร เขาเองก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะออกจากเอดมันตันมาทำไม
รถม้าขับวนรอบวู้ดแลนด์อยู่เกือบครึ่งชั่วโมงจนคนขับรถม้าหันกลับมาบอกว่าจะกลับเข้าตัวเมืองเอดมันตันแล้ว และนั่นก็ทำให้รอยยิ้มของอัลฟ่าผิวสีน้ำผึ้งเผยออกมาทันที แพทริเซียส่ายหัวเล็กน้อยกับท่าทีที่อีกฝ่ายแสดงออกมา ถึงเขาจะไม่อยากตัดสินคนจากภายนอกแต่ดูแล้วยังไงอัลฟ่าที่นั่งอยู่ข้าง ๆ ก็ไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไปอย่างแน่นอน ไม่ใช่เพียงเพราะแค่เสื้อหนังราคาแพงที่เขาสวมใส่อยู่แต่เพราะแหวนและกำไลที่เขาสวมใส่อยู่นั่นแหละ มันดูคุ้นตาซะเหลือเกินแต่ตัวเขาเองก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าเคยเจอที่ไหนมา
ตลอดทั้งเส้นทางกลับไปยังเอดมันตันนั้นไร้บทสนทนาระหว่างเขากับอัลฟ่าหนุ่มโดยสิ้นเชิง มีเพียงแค่การที่ต่างฝ่ายต่างชำเลืองมองกันในระหว่างทางเป็ระยะ มันก็ควรจะเป็อย่างนั้นั้แ่แรกแล้วละ เพราะเขากับอัลฟ่าข้าง ๆ นั้นเพิ่งจะรู้จักกันวันนี้เป็วันแรกและแม้แต่ชื่อก็ยังไม่ได้รู้จักกันด้วยซ้ำ จริง ๆ เขาเองไม่ควรจะมานั่งรถม้ากับคนแปลกหน้าแบบนี้ด้วยซ้ำ แพทริเซียเอาแต่คิดเื่นี้ซ้ำ ๆ ั้แ่ในตอนที่ก้าวขึ้นไปบนรถม้าจนถึงตอนนี้ แต่เพราะขนมเ้าปัญหานั่นแหละที่ทำให้เขายอมข่มอารมณ์ทุกอย่างและไม่สติแตกไปก่อน
ในที่สุด รถม้าก็ถูกจอดอย่างระมัดระวังที่จุดพักรถม้าที่เดิม อัลฟ่าหนุ่มก้าวลงไปบิดไล่ความเมื่อยล้าที่มีก่อนจะยื่นมือไปรับแพทริเซียที่กำลังจะลงจากรถ แต่ก็เป็อย่างที่เขาคิดที่เ้าของใบหน้าหวานจะส่ายหน้าปฏิเสธและก้าวลงจากรถม้าอย่างคล่องแคล่ว
“ไม่คิดจะให้ช่วยเลยหรือไง?”
“เราลงเองได้”
เขาส่ายหัวพร้อมกับหัวเราะน้อย ๆ ก่อนจะล้วงมือในกระเป๋ากางเกงและทำท่าชะเง้อมองไปรอบ ๆ จนแพทริเซียต้องมองตาม
“ไหน ๆ ลูกน้องผมก็ยังไม่มา เราไปหาอะไรท-”
“คุณผู้ชายครับ! ได้ขนมมาแล้วครับ”
ยังไม่ทันที่อัลฟ่าผิวสีน้ำผึ้งจะพูดจบ บอดีการ์ดสองคนก็รีบวิ่งมาหาทันทีและนั่นก็ทำให้คนที่กำลังจะเอ่ยปากชวนแพทต่อต้องถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ เขาตวัดสายตาไปมองจนชายหนุ่มในชุดดำทั้งสองคนต้องกุมมือและก้มหน้าลงอย่างคนมีความผิดทันที
“ถ้าอย่างนั้น เราขอขนมของเราเลยได้หรือเปล่า?” แพทริเซียยกข้อมือขึ้นมองนาฬิกาและพบว่าถึงเวลาที่เขาควรจะกลับคฤหาสน์ควินท์เรลแล้ว
อัลฟ่าหนุ่มพยักพเยิดหน้าให้บอดีการ์ดที่กำลังถือถุงขนมอยู่ในมือยื่นให้แพทริเซียทันที และเมื่อถุงขนมที่อบอวลไปด้วยกลิ่นที่แพทคุ้นเคยก็ทำให้รอยยิ้มหวานเผยออกมาจนได้
คุ้มแล้วละนะ กับเวลาทั้งวันที่เสียไป
“คุณชอบขนมร้านนี้ขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“ชอบสิ ขนมร้านโปรดของเรา”
“ร้านโปรดแล้วทำไมไม่มาบ่อย ๆ?”
“ก็ตอนนี้เราไม่ได้อยู่แถวนี้แล้วไง”
“แล้วอยู่แถวไหนล่ะครับ? ผมจะได้ไปส่ง”
เขาก็ยังคงส่งสายตาเ้าชู้มาให้แม้คำถามและน้ำเสียงของเขาจะดูสุภาพอ่อนโยนเหลือเกิน แพทริเซียได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธกลับไปเพียงเท่านั้น
“เดี๋ยวเราโทรบอกให้คนมารับเอง”
“แล้วการที่ผมไปส่ง จุดหมายปลายทางมันไม่เหมือนกันเหรอ?”
“เรากลับเองได้คุณ เราขอถามราคาขนมหน่อยได้ไหม? เราจะได้จ่ายให้เลย”
“ผมซื้อให้”
“ไม่เอา เราเกรงใจ”
“ของมันราคาแค่นี้เอง”
“แต่ถ้าเทียบกับการรอคอยมันก็แพงอยู่ดีไม่ใช่เหรอ?” แพทเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงจังเมื่ออีกฝ่ายดูไม่ฟังความ้าของเขาเลยสักนิด
“ตอนคุณโมโหก็น่ารักดีเหมือนกัน”
“เราขอราคาขนมหน่อย”
“บอกชื่อคุณมาก่อนสิ”
ริมฝีปากบางเม้มแน่นเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยถามชื่อของตัวเองออกมาตรง ๆ แบบนั้น ถึงแม้แพทเองจะไม่ได้เป็ที่รู้จักหรืออะไรก็ตามเถอะ แต่พอมีคนมาถามชื่อแบบนี้แล้วมันดูประหลาดชะมัดเลย
“แค่อยากรู้ชื่อคุณ เผื่อครั้งหน้าเจอกันจะได้เรียกถูก”
“เราคงไม่ได้เจอกันอีกแล้วมั้ง”
“ใครจะไปรู้”
“เราชื่อแพ-”
ปัง!
เสียงปิดประตูรถที่ดังมาจากด้านหลังทำแพทสะดุ้งจนต้องหันกลับไปมอง และเขาก็ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเขาจะได้เจอกับอัลฟ่าเ้าของดวงตาสองสีที่นี่
“คุณเจซ?”
“ไง มาทำอะไรที่นี่?” เจซเอ่ยถามแพทด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งแต่มันช่างขัดกับการเดินก้าวเข้ามาหาเขาที่เต็มไปด้วยอารมณ์หงุดหงิดซะเหลือเกิน
เขาเผลอทำอะไรผิดไปหรือเปล่านะ
“คือเรามาซื้อขอ-”
“อ้าว ก็คิดว่าคนอื่นคนไกลที่ไหน คุณแมคคอยด์นี่เอง” เสียงยียวนของอัลฟ่าผิวสีน้ำผึ้งทำเสียงของแพทถูกกลืนหายลงไปในลำคอ
“คุณรู้จักกันเหรอ?” แพทเอ่ยถามขึ้นมา
“รู้สิครับ รู้จักอย่างดีเลยใช่ไหมล่ะเพื่อนเจซ?”
“ใครเป็เพื่อนนายไม่ทราบอีแวนส์?”
อีแวนส์?
อย่าบอกนะว่าชายแปลกหน้าที่เขาอยู่ด้วยทั้งวัน
คือทายาทของตระกูลอีแวนส์
พระเ้าโปรดทรงช่วยลูกด้วย
- Simon’s theory -