Chapter fourteen: Edmonton
ก๊อก ก๊อก..
เสียงหอบของอัลฟ่าหนุ่มแ่ลงเรื่อย ๆ ในตอนที่เขาเริ่มเคาะประตูห้องทำงานบานใหญ่ของคุณอามาร์คัส ความกังวลใจที่ไม่ได้มีในก่อนหน้าก็เริ่มคืบคลานเข้ามาแทนความตื่นเต้นที่มีแล้ว ฝ่ามือของเขาเริ่มมีเหงื่อชื้นซึมออกมา ความประหม่าที่มักจะมีบ่อย ๆ ในตอนที่พูดคุยเื่สำคัญกับคนในตระกูลเป็สิ่งที่ไซม่อนไม่ชอบเลยสักนิด
ในตอนที่เขายังเด็กนั้น เขาจำได้ว่าเขาแทบจะสนิทกับทุกคนในครอบครัวเลยด้วยซ้ำ ไม่ว่าจะเดินไปหาใคร ทุกคนก็พร้อมจะกอดและเล่นกับเขาอยู่เสมอ แต่พอเขาโตขึ้นเรื่อย ๆ ความสนิทและความผูกพันของคนในครอบครัวก็ดูจะจางหายไปตามกาลเวลาและทุกอย่างที่เขาเคยได้รับก็ถูกแทนที่ด้วยความรับผิดชอบที่เขาต้องทำ ความกดดันในทุก ๆ วันที่เขาต้องพยายามเรียนเพื่อให้ถึงจุดที่น่าพอใจสำหรับทุกคน นั่นคงเป็สิ่งที่ทำให้เขาค่อย ๆ รู้สึกห่างเหินกับคนในครอบครัวโดยที่ไม่รู้ตัว ถึงแม้จะมีคุณย่าที่คอยดูแลเอาใจใส่หลังจากที่คุณพ่อเสียไปก็เถอะ แต่เพราะคุณย่ามักจะเดินทางไปทำงานต่างประเทศและต่างเมืองอยู่บ่อย ๆ จึงทำให้เขาไม่ค่อยได้พบกับท่าน และแทบไม่ได้ใช้เวลาร่วมกันอย่างที่เคยทำเลยสักนิด
แต่เพราะทุกคนมีหน้าที่เป็ของตัวเอง
และเขาก็มีเช่นกัน
“เชิญครับ” เสียงทุ้มติดแหบของชายวัยกลางคนดังขึ้นมาจากในห้องทำไซม่อนต้องลอบกลืนน้ำลายอย่างประหม่า เขาค่อย ๆ กระซิบขออนุญาตอีกครั้งก่อนจะเปิดประตูห้องทำงานอย่างเบามือที่สุด
“อาก็นึกว่าใคร ไซม่อนเองเหรอ?”
“ครับ”
อัลฟ่าหนุ่มพยักหน้าส่งให้กับอีกฝ่ายก่อนจะก้าวช้า ๆ มาหยุดที่เก้าอี้หน้าโต๊ะทำงานของคุณอา ภายในห้องทำงานกว้างถูกประดับไปด้วยตู้หนังสือและเอกสารที่มีนับพันเล่ม ถึงแม้เขาจะชอบอ่านหนังสือแค่ไหนก็เถอะแต่การเข้ามาในห้องทำงานของคุณอาที่เต็มไปด้วยหนังสือแบบนี้ก็ทำให้เขารู้สึกกดดันเพราะความทรงจำในวัยเด็กที่ย้อนกลับมาทุกที
“มีอะไรหรือเปล่าไซม่อน? นั่งก่อนสิ”
“ไม่เป็ไรครับ ผมแค่อยากมาขออนุญาตนิดเดียว”
“ขออนุญาต?”
มาร์คัสวางปากกาในมือพร้อมปิดแฟ้มเอกสารตรงหน้าทันทีที่ได้ยินประโยคจากปากหลานชายของตัวเอง เขาเงยหน้าขึ้นมามองไซม่อนที่กำลังยืนกุมมืออย่างประหม่าด้วยแววตานิ่งเฉย และนั่นก็ทำให้อัลฟ่าหนุ่มยิ่งประหม่าเข้าไปใหญ่
“ขออนุญาตอะไรละเรา”
“คือว่า.. คือ”
“จะพูดอะไรก็รีบพูดสิไซม่อน อามีงานให้ทำอีกเยอะแยะเต็มไปหมด ไม่ได้ว่างเหมือนคนอื่นนะแล้วนี่เราไม่มีเรียนหรือไง?”
“เรียนกับคุณมอร์แกนเพิ่งเสร็จครับ”
“เป็ยังไงบ้าง?”
“ดีครับ สนุกดี”
“จริงจังหน่อยล่ะ พิธีแต่งตั้งผู้สืบทอดไม่ใช่เื่เล่น ๆ นะ”
ไซม่อนพยักหน้ารับน้อย ๆ ก่อนจะก้มหน้ามองพื้นเพื่อหลบสายตาชายวัยกลางคนตรงหน้า ถ้าหากคนที่ต้องขออนุญาตเป็คุณย่า เขาก็คงจะไม่ประหม่าขนาดนี้หรอกแต่เพราะคนที่เขามาขออนุญาตเป็คุณอานี่สิ แม้คุณอาจะดูใจดีแต่พอเป็เื่จริงจังเมื่อไหร่ก็กลับไม่ได้ใจดีอย่างทุกที ถึงนี่จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาขอออกไปนอกรั้วคฤหาสน์ก็เถอะ
ใช่ นี่มันไม่ใช่ครั้งแรก
ครั้งแรกที่เขาเคยขอออกจากคฤหาสน์มันเกิดขึ้นเมื่อตอนเขาอายุ 15 ปี วันนั้นเป็งานวันเกิดของเพื่อนสนิทอย่าง เจซ ถึงแม้เจซจะมาที่บ้านและใช้เวลาร่วมกับเขาบ่อยเหมือนปกติ แต่เพราะก่อนหน้านั้นเจซได้เล่าเื่ที่โรงเรียนของเ้าตัวให้ฟัง และนั่นก็ทำให้เขารู้ว่าเขาไม่ใช่เพื่อนคนเดียวของเจซเหมือนที่เจซเป็เพื่อนเพียงคนเดียวของเขา ให้คิดในตอนนี้มันก็อาจจะดูเป็เื่ตลกแต่เมื่อย้อนกลับไปตอนนั้น เขากลับรู้สึกน้อยใจและเสียใจมากเกินกว่าที่จะอธิบายออกมาด้วยซ้ำ ความรู้สึกที่ได้รับรู้ว่าเขาไม่ใช่คนเดียวที่เจซให้อยู่ในงานวันเกิดด้วยและความรู้สึกที่เจซมาบอกว่าในปีนั้นคงจะไม่ได้เอาเค้กมาเป่าด้วยกันอย่างเคยเพราะอีกฝ่ายต้องจัดงานวันเกิดที่บ้านของตัวเองนั้นมันโถมเข้ามาจนทำให้เขาต้องนั่งร้องไห้อยู่ร่วมชั่วโมง
หลังจากผ่านการร้องไห้ไปพักใหญ่ ไซม่อนในวัย 15 ปี ก็ตัดสินใจมาขอคุณย่าไปงานวันเกิดของเพื่อนสนิท
และนั่นก็เป็ครั้งแรก เป็สัญญาณเตือนครั้งแรก
ที่ทำให้เขารู้ว่า เขาไม่สามารถออกจากที่นี่ได้
ถึงแม้คุณย่าจะไม่ได้ใช้คำพูดที่รุนแรงหรือน้ำเสียงที่น่ากลัวแต่ทุกคำพูดกลับทำให้เขาชาไปทั้งตัว ไม่ใช่เพียงเพราะแค่เสียใจที่ไม่ได้ไปงานวันเกิดของเพื่อนสนิทแต่เพราะความรู้สึกที่เหมือนกับว่าเขากำลังถูกขังเอาไว้ ความน้อยใจที่เอาอิสระของตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ในขณะที่เขาเอาแต่นั่งเหม่ออยู่ที่ระเบียงในวันนั้น จู่ ๆ เขาก็ได้ยินเสียงเคาะเรียกที่ประตูห้องนอนและสุดท้ายเขาก็พบว่าเป็เจซที่มายืนอยู่ที่หน้าประตูพร้อมเค้กวันเกิดของเ้าตัว เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าเขาร้องไห้ระบายความในใจให้เจซฟังไปกี่รอบแต่เจซก็ยังคงเป็ผู้ฟังที่ดีมาเสมอ เจซไม่เคยบ่น ไม่เคยแสดงท่าทีรำคาญเขาสักครั้ง
ความเ็ปในวันนั้นก็พลันหายไปตามกาลเวลา
หลงเหลือเพียงแต่ความไม่เข้าใจที่เกือบจะถูกลืมไป
แต่ในวันนี้ความไม่เข้าใจเ่าั้ก็หวนกลับมาอีกครั้ง
“ไซม่อน”
“ครับ”
“จะขออนุญาตอะไรก็รีบขอ อาไม่ว่าง”
“คือ.. ผมขอออกไปข้างนอกกับคุณมอร์แกนได้ไหม?” เสียงทุ้มเอ่ยแ่เบาในลำคอ
“อะไรนะ?”
เพราะเสียงที่ฟังอู้อี้ของไซม่อนทำให้ชายวัยกลางคนต้องขมวดคิ้วก่อนจะถามย้ำเสียงดังออกมา และนั่นก็ทำให้คนที่ประหม่าอยู่แล้วยิ่งประหม่าเข้าไปใหญ่ ความรู้สึกที่เคยโดนปฏิเสธกลับมาในครั้งแรกมันถาโถมกลับมาซ้ำจนเขารู้สึกอยากจะร้องไห้ออกมาเหมือนตอนที่ยังเป็เด็ก แต่ในตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กที่จะสามารถร้องไห้กับเื่เล็ก ๆ แบบนี้ได้อีกแล้ว ถ้าร้องไห้ต่อหน้าคุณอาในตอนนี้ ตัวเขาเองก็คงยิ่งโดนดุเข้าไปใหญ่
รู้สึกเหมือนตัวเล็กลงกลับไปเป็เด็ก 15 ยังไงก็ไม่รู้
ไซม่อนเงยหน้าสบตากับคุณอาอีกครั้งก่อนจะแลบลิ้นเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตัวเอง ในตอนนี้เขาไม่ได้ตื่นเต้นกับการได้ออกจากรั้วคฤหาสน์แล้วด้วยซ้ำแต่ความรู้สึกของเขามีเพียงความคาดหวังจากคำตอบที่จะได้รับมา เขาอยากรู้เพียงแค่ว่าในเมื่อตอนนี้เขาโตขึ้นมากกว่าครั้งแรกที่เขาเคยขออนุญาตแล้ว เขาจะสามารถออกไปได้แบบคนปกติทั่วไปหรือไม่
ถ้าไม่ คนในบ้านหลังนี้จะมีเหตุผลให้เขาไหม
เหตุผลที่ขังเขาไว้โดยที่ไม่เคยบอกอะไรสักอย่าง
เขาเองก็รู้ว่าทุกอย่างมันมีเหตุผลของมัน แต่สิ่งที่เขาไม่เข้าใจมีแค่ทำไมคนที่ควรจะต้องได้รู้เหตุผลที่สุดกลับไม่เคยรับรู้อะไรเลยสักนิด ทั้งสองมือของเขาที่กุมกันอยู่เริ่มบีบเข้าหากันแน่นขึ้น ทั้งความกลัวและความคาดหวังกำลังทำให้เหงื่อของเขาเริ่มซึมออกมาอีกครั้ง
“ไซม่อน มีอะไ-”
“ผมขอออกไปข้างนอกกับคุณมอร์แกนได้ไหมครับ?” อัลฟ่าหนุ่มโพล่งถามออกไป
สีหน้าเรียบนิ่งของคุณอาแปรเปลี่ยนเป็ความตึงเครียดทันทีที่ได้ยินประโยคคำถามของเขา ใจของเขาเริ่มโหวงจนรู้สึกหายใจไม่ทั่วท้อง ในตอนแรกเขาคิดว่าถ้าหากเขาถามออกไป เขาคงจะโล่งมากเหมือนยกูเาออกจากอก แต่เมื่อได้เห็นสีหน้าของคนตรงหน้าแล้วก็ไม่ได้ทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้นอย่างที่คิดเลย
“คุณมอร์แกนชวนเหรอ?” เสียงทุ้มติดแหบเอ่ยถามด้วยนิ่งเรียบ
“เปล่าครับ ผมอยากไปเอง”
“เขาเล่าอะไรให้ฟัง?”
“ม.. ไม่มีครับ”
เขาตอบกลับไปด้วยเสียงสั่น ไซม่อนนึกอยากจะลงโทษตัวเองให้เข้าไปนั่งที่มุมห้องสักหนึ่งชั่วโมงสักที ความใจร้อนและความตื่นเต้นทั้งหมดมันทำให้เขาลืมคิดไปเลยว่าเขาอาจจะทำให้แพทริเซียซวยไปด้วยก็ได้ เพราะตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่เคยมีคุณครูคนไหนทำตัวสนิทสนมหรือพยายามที่จะเข้าใจเขาเลยสักคนจึงไม่เคยมีใครเล่าเื่ข้างนอกรั้วคฤหาสน์หรือเื่ราวของตัวเองให้เขาฟังเลยสักคน
มีเพียงแพทริเซียคนเดียว
และเขาคงไม่อาจปล่อยให้แพทริเซียตกในที่นั่งลำบากได้หรอก
“ไซม่อน” คุณอามาร์คัสกดเสียงต่ำ
“คุณมอร์แกนเขาไม่ได้ทำอะไรครับ มีแต่ผมที่สนใจประวัติและไปหาข้อมูลเกี่ยวกับบ้านเกิดของเขา พอเห็นว่ามีแต่สถานที่น่าสนใจก็เลยอยากลองไปดูสักครั้ง”
“แต่หลานไม่เคยขอออกไปไหน”
“เคยครับ”
“นั่นมันในตอนที่หลานยังเด็ก”
แล้วในตอนนี้ที่เขาโตมากขึ้นกว่าในตอนนั้นล่ะ?
ไซม่อนสูดลมหายใจลึกก่อนจะผ่อนออกมาช้า ๆ ในตอนนี้เขาเริ่มรู้สึกควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่อยู่อีกต่อไปแล้วเมื่อคนตรงหน้ายกเื่ที่ยังคงเป็ความทรงจำที่เ็ปของเขาขึ้นมา แม้ตัวเขาเองก็เข้าใจดีอยู่แล้วว่าธรรมชาติของผู้ใหญ่มักจะมองข้ามเื่ความรู้สึกของเด็กและเห็นว่าสิ่งเ่าั้เป็เพียงอาการงอแงหรือเอาแต่ใจ แต่จะห้ามไม่ให้เ็ปขึ้นมาได้ยังไงในเมื่อเขาก็มีความรู้สึกเหมือนกัน
เขาในตอนนี้ กับ เขาในตอนนั้น
ก็มีความรู้สึกเหมือนกันทั้งคู่นั่นแหละ
“อาให้หลานออกไปไม่ได้หรอกไซม่อน” ชายวัยกลางคนพูดพร้อมถอดแว่นออกมาวางบนแฟ้มที่อยู่ตรงหน้าเขา
ก็คิดไว้อยู่แล้วละ
ไซม่อนไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเพียงแต่พยักหน้ารับไปช้า ๆ เท่านั้น เสียงถอนหายใจดังมาจากคนที่อยู่ตรงหน้าทำให้ไซม่อนยิ่งรู้สึกแย่เข้าไปใหญ่ คุณอามาร์คัสลุกขึ้นและเดินเข้ามาหาเขาพร้อมเอื้อมมือมาแตะที่บ่าเขาน้อย ๆ
“มันเป็คำสั่งของคุณย่า”
“คุณอาครับ”
“อื้ม ว่ายังไง?”
“ผมขอถามเหตุผลที่ผมออกไปไม่ได้หน่อยได้ไหมครับ?”
อัลฟ่าหนุ่มหันไปมองใบหน้าของคนที่กำลังแตะไหล่ตัวเองอยู่อย่างเว้าวอน อย่างน้อยถ้าหากเขาไม่สามารถออกไปจากที่นี่ได้ ขอเพียงแค่เขาได้รู้เหตุผลมันก็คงเพียงพอแล้ว และเขาก็หวังว่าเหตุผลเ่าั้มันจะเพียงพอที่จะทำให้เขาหลุดพ้นจากการอยากมีอิสระเสียที
“อาบอกไม่ได้หรอกไซม่อน”
“ทำไมล่ะครับ?”
“แค่รู้ไว้ว่าทุกคนรักหลานมากและอยากให้หลานปลอดภัยจนถึงวันสืบทอดผู้แต่งตั้งแค่นั้นก็พอแล้ว”
ปลอดภัย?
ปลอดภัยจากอะไรกัน?
ทำไมคุณอาพูดเหมือนกับว่าโลกข้างนอกมันมีาอะไรทำนองนั้น ทั้ง ๆ ที่ยุคสมัยนี้ก็ไม่มีอะไรแบบนั้นแล้วด้วยซ้ำ ยิ่งได้ฟังสิ่งที่คนตรงหน้าพูด ตัวเขาก็ยิ่งไม่เข้าใจเข้าไปใหญ่หรือถ้าหากมีใครที่จ้องจะทำร้าย เขาก็ควรยิ่งรู้เพื่อปกป้องตัวเองไม่ใช่เหรอ? แล้วอย่างนั้นจะให้เขาหมั่นเรียนศิลปะการต่อสู้และยิงปืนไปทำไม
“ผมไม่เข้าใจ”
“มันไม่ใช่เื่ที่หลานต้องเข้าใจในตอนนี้”
“แล้วมันตอนไหนล่ะครับคุณอา?”
“ไซม่อน”
“ผมก็แค่อยากรู้ว่าทำไมผมถึงโดนขังอยู่ที่นี่ ทำไมผมถึงไม่มีสิทธิ์ออกไปข้างนอกเหมือนคนอื่นหรือถ้าหากจะขังผมไว้ที่นี่ก็ช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมว่าทำไมถึงต้องทำแบ-”
“หยุด!”
เสียงทุ้มถูกลืนหายไปในลำคอทันทีที่คุณอามาร์คัสขึ้นเสียงใส่ อัลฟ่าหนุ่มชะงักก่อนจะรีบเบือนหน้าหนีเพื่อข่มอารมณ์ของตัวเองไว้ ทั้ง ๆ ที่คุณอาไม่ใช่คนชอบใช้อารมณ์ด้วยซ้ำแต่ทำไมวันนี้เขาถึงกลับโดนในสิ่งที่เขาไม่ชอบมากที่สุด
ไซม่อนไม่ชอบคนขึ้นเสียง
ไซม่อนไม่ชอบคนไม่รับฟังคนอื่น
และในตอนนี้เขาก็เสียใจมากที่คุณอาเป็คนทำมัน
นอกเหนือจากคุณย่า คนในครอบครัวที่เขาสนิทและไว้วางใจที่สุดก็มีเพียงคุณอา คุณอาที่เห็นเขามาตลอดในทุกการเติบโต คุณอาที่มักจะคอยนั่งคุยเป็เพื่อนเล่นของเขาอยู่เสมอในตอนที่คุณพ่อและคุณย่าไม่อยู่ คุณอาที่คอยอธิบายทุกอย่างที่เขาอยากรู้และไม่เคยรำคาญใจเลยแม้เขาจะถามซ้ำ ๆ ไปมากเท่าไหร่ แต่ในตอนนี้อาจจะไม่เป็อย่างนั้นแล้ว
หรือเป็เพราะเขาเอาแต่ใจตัวเองมากเกินไป?
“ไซม่อน”
“ครับ”
“ช่วยมองเห็นความหวังดีของคนในครอบครัวบ้างเถอะนะ”
“..”
“ลองกลับไปทบทวนสิ่งที่ตัวเองทำวันนี้แล้วตั้งสติให้ได้ค่อยมาคุยกันใหม่”
“ครับ”
เสียงถอนหายใจของคุณอาดังขึ้นอีกครั้งก่อนเขาจะหมุนตัวกลับไปนั่งที่โต๊ะทำงานของเขาเหมือนเดิมเหมือนไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก่อนหน้า
ความสงสัยที่มีอยู่ในใจไซม่อนไม่ได้จางหายไปเหมือนในตอนที่เขายังเด็กและในครั้งนี้มันกลับยิ่งทวีคูณขึ้นเพราะสิ่งที่คุณอาพูดกับเขา ขายาวของอัลฟ่าหนุ่มก้าวออกมาจากห้องทำงานห้องใหญ่พร้อมพิงหลังกับประตูทันทีที่เขาปิดมันลง
ถึงแม้เขาจะรู้ว่าคนในครอบครัวรักเขามากแค่ไหนแต่การพรากอิสระไปจากเขาแล้วมาพูดว่ารักและเป็ห่วงมันก็ไม่ใช่เหตุผลที่เขาอยากจะได้ยินเลยสักนิด ในเมื่อเขาถามแล้วไม่ได้คำตอบ ในครั้งนี้อาจจะเป็ครั้งแรกที่ไซม่อนต้องหาคำตอบด้วยตัวเองโดยไม่ต้องพึ่งใคร
เขากำลังเติบโตขึ้น
และพร้อมดึงอิสระของเขากลับคืนมา
- Simon’s theory -
ใช่
เื่ราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในห้องนั้น
แพทริเซียได้ยินมันทั้งหมดั้แ่แรกจนจบ
ถึงแม้เขาอยากจะเดินเข้าไปหาไซม่อนทันทีที่อีกฝ่ายเดินออกมาจากห้องทำงานของคุณมาร์คัสแต่พอเขาได้เห็นแววตาสิ้นหวังและท่าทางอิดโรยของไซม่อนก็ทำให้เขาก้าวขาแทบไม่ออก แพทริเซียที่มั่นใจมาตลอดว่าตัวเองนั้นปลอบคนเก่งเหลือเกินแต่พอเป็เื่ของไซม่อนเขาก็กลับรู้สึกเหมือนตัวเองไม่เคยปลอบคนมาก่อนเลยทั้งชีวิต
แผ่นหลังของไซม่อนที่ห่างออกไปเรื่อย ๆ ยิ่งทำให้แพทใจหวิวขึ้นมาอย่างไม่รู้สาเหตุ ถึงแม้จะไม่ได้เห็นสีหน้าและแววตาของอีกฝ่ายแล้วแต่ความรู้สึกเสียใจมันก็แผ่ออกมาจนเขารู้สึกได้เลย
ทำไมจู่ ๆ ถึงรู้สึกได้กันล่ะ
แพทริเซียปล่อยให้อีกฝ่ายเดินไปจนสุดทางเดินและขึ้นไปบนห้องนอนของตัวเองโดยที่เขาเองก็ทำเพียงแค่มองจนเขาเดินลับหายไป ก่อนจะแน่ใจว่าอีกฝ่ายคงขึ้นไปบนชั้นสองแล้วเขาจึงเดินตามขึ้นไปเผื่อแยกไปฝั่งห้องนอนของตัวเองเหมือนกัน
รู้อยู่แล้วละว่ายังไงคนตระกูลควินท์เรลก็คงไม่ยอมให้ไซม่อนออกไปจากคฤหาสน์ง่าย ๆ แต่ที่เขาไม่เข้าใจสักนิดก็มีเพียงแค่เหตุผลแค่นั้นแหละ ขนาดตัวเขาที่เป็คนนอกยังสงสัยเลยแล้วเ้าตัวอย่างไซม่อนจะรู้สึกสับสนและมีข้อสงสัยในใจเยอะมากมายขนาดไหนกัน
คนตัวเล็กปิดประตูห้องนอนบานใหญ่ก่อนจะเดินมาทิ้งตัวลงบนเตียงนุ่มพร้อมถอนหายใจเสียงดังออกมา ต่อให้เขาถอนหายใจไปอีกสักร้อยรอบ เขาเองก็คงระบายความหงุดหงิดในใจที่มีอยู่ในตอนนี้ออกมาไม่หมดหรอก ใบหน้าหวานพลิกมาฟุบลงที่หมอนใบโตด้วยความหมดแรง ในตอนแรกความรู้สึกที่อยากกลับบ้านมันมีเยอะมากมายซะจนเขารอวันหยุดแทบไม่ไหวแต่แล้วทำไมตอนนี้เขาถึงไม่รู้สึกอยากกลับบ้านเลยสักนิด
จะบอกว่าอยากให้ไซม่อนไปด้วยก็คงไม่ใช่
หรืออาจจะเพราะแค่เขาห่วงและไม่อยากปล่อยให้ไซม่อนต้องอยู่คนเดียวแบบนี้
ถึงครั้งนี้จะเป็วันหยุดครั้งแรกที่เขาจะได้กลับบ้านก็เถอะแต่การกลับไปนอนที่บ้านในสถานการณ์ที่ไซม่อนยังรู้สึกแบบนี้อยู่มันคงไม่ดีเท่าไหร่นัก รู้ตัวอีกทีเขาก็แทบจะเหมือนพี่เลี้ยงไซม่อนอีกคนเข้าแล้วจริง ๆ นั่นแหละ แต่ถึงยังไงเขาก็ยังคงมีวันหยุดอีกตั้งหลายวันในเดือนต่อ ๆ ไป ไว้กลับไปนอนที่บ้านวันอื่นก็คงไม่เป็อะไรเพราะถึงยังไงคุณพ่อและคุณแม่ก็โทรหาเขาทุกวันอยู่แล้ว ในสถานการณ์แบบนี้เขาควรทำเพียงแค่เข้าไปซื้อขนมตามที่สัญญากับอีกฝ่ายไว้แล้วกลับมาอยู่กับไซม่อนจะดีกว่า
แพทริเซียเด้งตัวขึ้นจากเตียงและตัดสินใจเดินมุ่งหน้าไปยังอีกฝั่งของคฤหาสน์ชั้นสองทันที ขาเรียวยาวก้าวไวเสียจนเขาเองไม่รู้สึกตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังร้อนใจแค่ไหน แต่โถงกว้างของชั้นสองที่เขาเคยคิดว่ามันยาวนักหนา ในตอนนี้เขากลับเดินมาถึงหน้าห้องของไซม่อนราวกับเดินมาไม่ถึงสิบก้าวเท่านั้น
เสียงถอนหายใจเบา ๆ ของแพทดังขึ้นก่อนมือเล็กจะเอื้อมไปเคาะที่ประตูห้องนอนบานใหญ่ของไซม่อน แพทริเซียเคาะอยู่สองสามครั้ง ลูกบิดประตูก็ถูกบิดให้เปิดจากคนด้านในห้อง ดวงตาที่แดงช้ำพร้อมผมที่ยุ่งเหยิงโผล่ออกมาอย่างไม่ทันตั้งตัว
“คุณมอร์แกน?” ไซม่อนเอ่ยเรียกชื่อเขาเบา ๆ
“เราขอโทษที่มารบกวนนะคุณควินท์เรล”
“คุณมีอะไรหรือเปล่า?”
“พรุ่งนี้เราจะรีบไปซื้อขนมร้านอร่อยในเอดมันตันให้คุณแล้วจะรีบกลับมา”
“คุณไม่กลับไปนอนที่บ้านเหรอ?”
“ไม่”
“ทำไม?”
“รอเราหน่อยนะ เราจะกลับมาอยู่เป็เพื่อนคุณเอง”
“คุณมอร์แกน”
“ราตรีสวัสดิ์คุณควินท์เรล”
แพทริเซียเอ่ยประโยคสุดท้ายจบก็รีบเดินออกมาจากหน้าห้องทันที เสียงของอีกฝ่ายที่กำลังทักท้วงขึ้นมาก็ถูกเมินราวกับไม่เข้าหูของคนตัวเล็กเลยสักนิด ยิ้มหวานระบายน้อย ๆ ขึ้นบนใบหน้าของตัวเองอย่างไม่เข้าใจ
เขาเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคือสิ่งที่ไซม่อน้าไหม
แต่แววตาของอีกฝ่ายที่ฉายชัดออกมาในตอนที่เขาเอ่ยประโยคนั้นไป
มันก็ปิดบังความดีใจไม่ได้เหมือนกับที่เขากำลังยิ้มอยู่ในตอนนี้เหมือนกัน
- Simon’s theory -
เช้าวันเสาร์ที่แสนสดใสของแพทริเซียเริ่มต้นด้วยการที่เขาได้รับโดนัทและนมอุ่นร้อนที่วางหน้าประตูห้องเหมือนอย่างเคย ในตอนแรกเขาก็คิดว่าคงเป็เพราะเขาเขียนลงไปในประวัติว่าอาหารเช้าที่ชอบคือโดนัทและนมอุ่น แต่เมื่อเขาไปถามสาวใช้และคนครัว ทุกคนต่างก็บอกเป็เสียงเดียวกันว่าอาหารเช้าของควินท์เรลไม่เคยมีเพียงแค่โดนัทกับนมอุ่น แต่ก็ไม่มีใครสามารถบอกได้เลยว่าใครเป็คนเอามาวางให้เขาที่หน้าห้องแบบนั้น ถึงจะเป็เื่ที่ค่อนข้างน่าแปลกใจอยู่บ้างแต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกเหมือนคนปกติทั่วไปอยู่ก็คงมีแค่มื้อเช้านี้แหละ
อย่างน้อยก็ไม่ต้องทานอาหารบนจานทองั้แ่เช้าละนะ
ถึงแม้ในเช้าวันนี้เขาจะไม่ได้พูดคุยอะไรกับไซม่อนอีกแต่การที่ได้สบตากันก่อนเขาจะออกจากคฤหาสน์ควินท์เรลก็ทำให้เขาเข้าใจกันทั้ง ๆ ที่ไม่ต้องพูดอะไรกันด้วยซ้ำ รถคันหรูเคลื่อนตัวจากคฤหาสน์จึงทำให้เขาต้องหยุดมองแผ่นหลังของไซม่อนทันที ยังไม่ทันที่รถจะขับพ้นจากตัวคฤหาสน์เลยด้วยซ้ำแต่ความคิดฟุ้งซ่านของแพทริเซียก็ผุดขึ้นมาจนทำให้เขาแอบกังวลใจอยู่น้อย ๆ
หวังว่าจะไม่มีใครมาทำให้ไซม่อนเสียใจตอนที่เขาไม่อยู่นะ
เพราะเขาก็ไม่อยากกลับมาเห็นอีกฝ่ายเก็บตัวแบบก่อนหน้าอีกแล้ว
เวลาผ่านไปร่วมชั่วโมงบนรถคันหรู ในที่สุด ปลายทางที่แพทริเซียได้บอกกับคนขับรถไว้ก็อยู่ตรงหน้าเขาสักที ตัวเมืองเอดมันตันที่เขาหลงรัก เพราะวันนี้อากาศไม่ได้ร้อนมากนักอย่างที่เขาคิดไว้ ลมเย็นที่พัดมาปะทะกับผิวในตอนนี้เขาก้าวขาลงจากรถทำให้แพทริเซียยิ้มออกมาทันที
ผู้คนที่กำลังเดินขวักไขว่อยู่ตามท้องถนนทำให้แพทรู้สึกสดชื่นขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก หากจะบอกว่าเขาไม่ได้เจอผู้คนมานานก็คงจะเป็แบบนั้น ผู้คนที่ไม่ใช่สาวใช้และคนงานในคฤหาสน์ควินท์เรลแหละนะ
จุดหมายแรกที่แพทริเซียตั้งใจไว้ว่าเขาจะต้องรีบไปก่อนที่คิวจะยาวเหยียดจนสุดลูกหูลูกตาก็คือร้านขนมชื่อดังของเอดมันตัน ร้านขนมที่ขึ้นชื่อได้ว่าหากมาสายเพียงนิดเดียวก็อาจจะต้องต่อคิวรอจนร้านปิดเลยก็ได้ เพราะอย่างนั้นแหละจึงทำให้เขายอมตื่นั้แ่ฟ้ายังไม่สว่างเพื่อเตรียมตัวมาเข้าเมืองแบบนี้
และเมื่อได้เห็นคิวที่ยาวเหยียดก็ทำแพทลมแทบจับ ร่างเล็กเดินไปรับบัตรคิวก่อนจะหยุดมองปลายหางแถวที่อยู่ไกลจนต้องตัดออกมาเป็แถวโค้งที่เขาเองก็นับจากตาเปล่าได้เกือบสองสามแถวด้วยซ้ำ หากเป็เขาที่้าจะกิน เขาก็คงหมดอารมณ์กินไปแล้ว
แต่เพราะนี่เป็ไซม่อนที่อยากกินน่ะสิ
ทำยังไงดี สัญญาไว้แล้วด้วย
แพทถอนหายใจออกมายาว ๆ พร้อมมองบัตรคิวในมือสลับกับปลายแถวที่เขาพอจะมองเห็นได้ ถ้าหากเขาไม่มีขนมติดไม้ติดมือไปฝากไซม่อนอีกฝ่ายคงจะไม่มีทางรู้สึกดีขึ้นแน่ ๆ และเมื่อเขามองไปรอบเมือง เขาเองก็ไม่รู้เลยว่าจะมีร้านไหนอร่อยเท่าร้านนี้อีก
คนตัวเล็กยกมือกุมขมับด้วยความเครียดแล้วจู่ ๆ แรงสะกิดบนไหล่ที่มาจากด้านหลังก็ทำให้แพทริเซียหันไปด้วยความหงุดหงิดแต่เมื่ออีกฝ่ายเอ่ยประโยคนั้นออกมา แพทก็ต้องทำหน้างุนงงอีกครั้ง
“พอดีว่าผมให้ลูกน้องต่อคิวให้อยู่ ถ้าเกิดไม่รังเกียจจะฝากผมซื้อขนมไหมครับ?”
“ครับ?”
ใครอีกแล้วเนี่ย
- Simon’s theory -