Chapter sixteen: The past
และแล้วสิ่งที่แพทริเซียไม่้าให้เกิดขึ้นที่สุดก็เกิดขึ้นจนได้ ตัวเขาเองก็เกือบจะลืมเื่ราวของสี่ตระกูลที่คุณแม่เล่าให้ฟังก่อนที่จะเข้าคฤหาสน์ควินท์เรลแล้วซะอีก แต่พอได้มาเจอกับตัวแบบนี้ก็เล่นเอาเขาทำตัวแทบไม่ถูกเลยเหมือนกัน
แพทริเซียยืนนิ่งราวกับถูกสาปให้ตัวแข็งเป็หินอยู่ระหว่างอัลฟ่าเ้าของดวงตาสองสีและอัลฟ่าหนุ่มผิวสีน้ำผึ้งที่กำลังจ้องมองกันอย่างไม่วางตา บรรยากาศคุกรุ่นทำให้โอเมก้าตัวเล็กยิ่งรู้สึกตัวเล็กลงไปยิ่งกว่าเดิม ใบหน้าหวานมองเ้าของสายตาดุดันของทั้งสองฝ่ายด้วยความประหม่า ถึงแม้ในใจนึกอยากจะถอยหลังออกจากไปจากสถานการณ์แบบนี้แต่ขาเ้ากรรมกลับกลัวจนขยับไปไหนไม่ได้
พวกอัลฟ่าเวลาน่ากลัวมันเป็แบบนี้นี่เอง
“จุ๊ ๆ.. อะไรกันเจซ ไม่เจอกันตั้งนาน ไม่ดีใจที่ได้เจอฉันหน่อยเหรอ?”
“ทำไมฉันต้องดีใจที่ได้เจอคนอย่างนายด้วยอีแวนส์?”
“แล้วมีเหตุผลอะไรที่จะต้องไม่ดีใจล่ะ?” อัลฟ่าผิวสีน้ำผึ้งเลิกคิ้วถามจนเจซกัดฟันกรอด
เสียงถอนหายใจเบา ๆ ของเจซดังขึ้นก่อนเขาจะหันหน้ากลับมาพยักพเยิดหน้าให้คนขับรถของตัวเองอย่างออกคำสั่ง
“ขึ้นรถ เดี๋ยวผมไปส่ง”
“คุณแมคคอยด์ คือเร-”
“ขึ้นรถ” เขากดเสียงต่ำจนริมฝีปากเล็กต้องปิดสนิทลงทันที แพทริเซียพยักหน้ารับคำสั่งของคุณชายแมคคอยด์อย่างเชื่อฟัง ถึงแม้เขาจะไม่ได้ตะคอกหรือขึ้นเสียงอะไรที่มันดูน่ากลัวขนาดนั้นก็เถอะ แต่เพียงแค่อีกฝ่ายพูดน้ำเสียงนิ่งเรียบพร้อมจ้องมองมาแบบนั้นก็ทำแพทต้องรีบก้มหน้างุดเดินตามแผ่นหลังคนขับรถไปทันที
“ไม่เคยรู้มาก่อนว่าแมคคอยด์จะมีคนน่ารักขนาดนั้น”
“มันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของนาย” เจซตวัดสายตามองจนอีกฝ่ายกระตุกยิ้มร้ายขึ้นมา
“หรือไม่ใช่คนของแมคคอยด์?”
น้ำเสียงของอัลฟ่าผิวสีน้ำผึ้งทำเจซคิ้วกระตุกขึ้นมาโดยอัตโนมัติ ถึงเขาจะรู้อยู่แล้วก็เถอะว่าคนตรงหน้ามักจะใช้วิธีกวนประสาทแบบนี้ให้เขาหงุดหงิดมาโดยตลอดแต่พอเจอกับตัวทุกที เจซก็ไม่เคยจะควบคุมอารมณ์หงุดหงิดของตัวเองได้เลยสักครั้ง
“นั่นก็ไม่ใช่เื่ของนายอีกเช่นกันอีแวนส์”
“ไม่เอาน่าเจซ อย่าทำเหมือนรำคาญฉันขนาดนั้นเลย”
“กับนายมันมากกว่ารำคาญไปแล้ว” เจซเอ่ยขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเบื่อหน่าย
“โอเมก้าคนนั้นชื่ออะไร?”
ดูท่าทางแล้ว
แพทริเซียน่าจะไปถูกใจอีแวนส์ซะแล้วละ
“นายไม่จำเป็ต้องรู้”
“แล้วถ้าฉันจำเป็ล่ะ?”
“นั่นมันก็เื่ของนาย”
“แมคคอยด์” อีกฝ่ายยกมือขึ้นกอดอกพร้อมมองหน้าเขาอย่างไม่สบอารมณ์
“ฉันจะกลับแล้วและหวังว่าจะไม่เจอนายอีก..
ไม่ว่าชาตินี้หรือว่าชาติไหน”
เจซเอ่ยขึ้นเพื่อตัดบทสนทนาที่ไม่ควรจะมีต่อ แม้เสียงจิ๊ปากของคู่สนทนาจะดังขึ้น เขาก็ไม่ได้สนใจ เขามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเรียบนิ่งพร้อมหมุนตัวกลับไปที่รถของตัวเองทันที สายตาของแพทริเซียที่กำลังมองมาทางเขายิ่งทำให้เจซอยากขอบคุณตัวเองขึ้นมาซะเฉย ๆ หากในวันนี้เขาไม่ได้ไปที่คฤหาสน์ควินท์เรลก่อนคงไม่มีทางที่เขาจะมาเหยียบตัวเมืองเอดมันตันในวันหยุดแบบนี้
ลางสังหรณ์ที่มักจะมีขึ้นมากวนใจเวลาจะเกิดเื่อะไรมันเคยเป็เื่ที่เจซเกลียดและไม่เคยเชื่อมาตลอดทั้งชีวิต แต่เมื่อโตขึ้นและได้พบกับเื่ราวต่าง ๆ ที่ยิ่งย้ำเตือนว่าลางสังหรณ์ทุกอย่างของเขามักจะเป็จริงตลอดยิ่งทำให้เขาเชื่อมันมากขึ้นไปทุกครั้ง และในครั้งนี้ก็เป็อีกครั้งที่ทำให้เขาขอบคุณตัวเองที่เชื่อลางสังหรณ์ของตัวเอง
เพราะเขาก็ไม่รู้เลยว่าถ้าเขามาถึงตัวแพทริเซียช้ากว่านี้
คนของอีแวนส์จะเล่นสกปรกอะไรอีก
ฝ่ามือหนาเปิดประตูรถคันหรูก่อนจะส่งสายตาให้แพทริเซียเขยิบไปนั่งอีกฝั่ง เสียงปิดประตูรถดังขึ้นพร้อมกับเสียงพรูลมหายใจยาวของคุณชายแมคคอยด์ที่ทำให้แพทยิ่งนั่งตัวเกร็งเข้าไปใหญ่ จากที่แทบไม่ได้คิดอะไรกับการที่ไปเที่ยวกับคนแปลกหน้ามาทั้งวัน ในตอนนี้คนตัวเล็กกลับมีความรู้สึกผิดก่อขึ้นมาในใจจนต้องนั่งกุมถุงขนมในมือไว้แน่น
แต่แล้วเสียงเคาะกระจกจากด้านนอกก็ทำให้แพทริเซียสะดุ้งและหันไปมอง ใบหน้าหล่อคมของอัลฟ่าผิวสีน้ำผึ้งที่อยู่ห่างจากเขาเพียงแค่กระจกเพียงเท่านั้น แพทริเซียถอยตัวห่างออกมาจากกระจกรถช้า ๆ คนที่อยู่หลังกระจกอีกฝั่งเคาะเบา ๆ อีกครั้งก่อนจะชี้นิ้วเป็เชิงบอกให้เขากดกระจกรถลง ใบหน้าหวานหันกลับไปมองเ้าของรถและได้คำตอบกลับมาเพียงแค่การพยักหน้าอนุญาตเล็กน้อยก่อนที่เขาจะเบือนหน้าหนีไปนอกกระจกอีกฝั่ง
ดูท่าทางแล้วเขาคงจะเหม็นหน้ากันจริง ๆ นั่นแหละ
มือเล็กเอื้อมไปกดกระจกหน้าต่างรถให้ลดลงเพียงครึ่งเดียวก่อนจะมองใบหน้าคนแปลกหน้าที่เขาใช้เวลาร่วมมาด้วยทั้งวัน รอยยิ้มของอีกฝ่ายเผยออกมาบนใบหน้าทันทีที่กระจกถูกลดลง ฝ่ามือใหญ่ของเขาค้ำที่ประตูรถจนเจซที่ชำเลืองมองต้องจิ๊ปากด้วยความหงุดหงิด แต่ท่าทางแบบนั้นก็ดูเหมือนจะทำให้อัลฟ่าผิวสีน้ำผึ้งยิ่งอารมณ์ดีเข้าไปใหญ่
“จะกลับแล้วไม่ลาเลยเหรอ?”
“เราลาตรงนี้เลยได้ไหม?”
“ใจร้ายนะ คนไปเที่ยวมาด้วยกันทั้งวัน” น้ำเสียงยียวนและประโยคที่เอ่ยออกมาทำเจซหันขวับจนแพทต้องสะดุ้งเล็กน้อย แพทริเซียล้วงเงินที่เขาคิดว่าคงพอกับราคาของขนมที่อยู่ในถุงยื่นให้อีกฝ่ายแต่เขาก็ไม่ได้รับไปจนคนตัวเล็กต้องขมวดคิ้วมอง
“ทำไมมองแบบนั้น? ก็บอกแล้วไงว่าต้องรู้ชื่อก่อน”
“เราไม่สะดวกที่จะบอกชื่อแล้ว”
“ใจร้ายจังเลยคนสวย” น้ำเสียงตัดพ้อของอีกฝ่ายทำแพทต้องถอนหายใจยาว
“รับเงินไปเถอะคุณอีแวนส์ เราขอบคุณสำหรับวันนี้ด้วย”
“ใครให้เรียกอีแวนส์?”
เขาค้ำศอกทั้งสองข้างพร้อมกับจ้องมองแพทริเซียด้วยสายตาเ้าชู้ อีกฝ่ายยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้จนแพทนั่งจ้องมองกลับไปด้วยความไม่เข้าใจ ดูท่าทางแล้วอัลฟ่าตรงหน้าคงใจกล้าไม่ใช่น้อยจริง ๆ นั่นแหละ
“ขอโทษครับ”
“ลุค อีแวนส์”
“ครับ?”
“ครั้งหน้าถ้าจะเจอกันก็เรียกผมว่าลุคนะครับ” เขาส่งยิ้มมาให้อีกครั้ง
และไม่ทันที่อีกฝ่ายจะได้เอ่ยอะไรขึ้นมาอีก เ้าของรถอย่างเจซก็ถือวิสาสะดึงเงินจากในมือเล็กโยนไปนอกหน้าต่างฝั่งของแพทด้วยความหมั่นไส้ เจซกดกระจกขึ้นพร้อมบอกให้คนขับรถเคลื่อนรถออกทันที ถึงแพทจะไม่ได้หันกลับไปมองว่าลุคจะหงุดหงิดมากแค่ไหนกับการกระทำเ่าั้ของเจซแต่เขาเองก็พอจะเดาความไม่พอใจของอีกฝ่ายออกเช่นกัน
สีส้มของท้องฟ้าทำให้แพทรู้ว่าเขาเสียเวลากับการอยู่ในเมืองเอดมันตันจนทำให้เวลาล่วงเลยมาถึงตอนเย็นแล้ว ดวงตากลมโตชำเลืองไปมองอัลฟ่าหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างกันอย่างประหม่า หากจะเอ่ยปากขออีกฝ่ายให้กลับรถตอนนี้ แพทเองก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามันจะเป็ความคิดที่ดีหรือเปล่าเพราะความหงุดหงิดก่อนหน้านี้ของเจซที่แพทไม่เคยได้เห็นมาก่อนมันทำให้เขาย้อนกลับไปนึกถึงวันแรกที่ได้เจอกัน
เขาดูนิ่งซะจนไม่กล้าไปทักท้วงอะไรเลยสักนิด
แพทริเซียกลืนน้ำลายลงคอที่แห้งผากอย่างยากลำบากเมื่อมองป้ายข้างทางและพบว่าอีกไม่เกิน 5 นาทีก็จะถึงทางแยกที่จะกลับคอตตอนเทลได้แล้ว แม้เขาจะไม่ได้กลับไปนอนที่บ้านในวันนี้ก็เถอะแต่อย่างน้อยเขาก็ต้องกลับไปกอดหอมพ่อแม่ให้ชื่นใจก่อนจะกลับไปทำงานอย่างหนักที่คฤหาสน์ควินท์เรลต่อให้ได้ ซี่ฟันขาวขบลงบนริมฝีปากสีสวยพลางมองถนนตรงหน้าและใบหน้าเรียบนิ่งของเจซสลับไปมาอย่างเป็กังวล จนสุดท้ายอัลฟ่าหนุ่มก็รู้สึกได้ถึงสายตานั้น
“มีอะไรเหรอคุณมอร์แกน?” เสียงทุ้มเอ่ยถาม
“คือเรา..”
“มีอะไร?”
“เราอยากกลับคอตตอนเทล” แพทริเซียเอ่ยเสียงแ่จนแทบหายไปในลำคอ
“แล้วจะกลับบ้านควินท์เรลไหม?”
“กลับครับ”
เจซไม่ได้ตอบอะไรเขากลับมาเพียงแต่พยักหน้ารับก่อนจะหันไปบอกคนขับรถด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“เฟรด ไปคอตตอนเทลก่อนแล้วค่อยไปส่งคุณมอร์แกนที่คฤหาสน์ควินท์เรล”
ตลอดทั้งทางไปยังคอตตอนเทลก็ไม่มีบทสนทนของเขากับเจซเกิดขึ้นอีกเลย ถึงแม้เขามีเื่ราวมากมายที่อยากจะถามอีกฝ่ายก็เถอะ แต่ปล่อยให้เจซจัดการกับความหงุดหงิดของตัวเองไปก่อนคงจะดีมากกว่า ดวงตากลมทอดมองไปยังนอกหน้าต่าง บรรยากาศทางไปคอตตอนเทลไม่ได้มืดเหมือนอย่างที่เคยเป็ แสงไฟที่ประดับอยู่ตลอดข้างทางไปจนพบกับหมู่บ้านที่แสนอบอุ่นที่เขารักยิ่งทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นขึ้นเป็กอง
ไม่มีที่ไหนอบอุ่นเท่าบ้านจริง ๆ นั่นแหละนะ
และก้าวแรกที่เขาได้เหยียบลงไปที่พื้นหินหน้าบ้านยิ่งทำให้รอยยิ้มกว้างที่แทบจะไม่ค่อยได้ปรากฎบนใบหน้าของโอเมก้าตัวเล็กเผยออกมาให้เห็นทันที ชายและหญิงวัยกลางคนที่ยืนรออยู่หน้าบ้านทำแพทแทบกลั้นน้ำตาของตัวเองไว้ไม่อยู่ คนตัวเล็กวิ่งเข้าไปหาอ้อมกอดคุณพ่อคุณแม่ทันทีที่ได้พบหน้าและไม่ได้สนใจคุณชายแมคคอยด์ที่ยืนอยู่ที่รถเลยสักนิด
แพทปล่อยให้ความอบอุ่นของอ้อมกอดพ่อและแม่โอบกอดตัวเองไว้จนเวลาผ่านไปเกือบสิบนาที และเมื่อผู้เป็แม่หันไปเห็นท่าทางของอัลฟ่าหนุ่มที่ยืนอยู่ที่รถก็ต้องสะกิดลูกชายตัวเองน้อย ๆ พร้อมส่งสายตาไปทางเจซเพื่อเตือนแพท โอเมก้าตัวเล็กปาดน้ำตาที่ซึมอยู่ที่หางตาเล็กน้อยก่อนจะหันไปมองเจซ
“เข้าบ้านเราไหมคุณแมคคอยด์?”
“ไม่เป็ไร สวัสดีทั้งสองท่านด้วยนะครับ”
“สวัสดีครับ / สวัสดีค่ะ” ชายและหญิงวัยกลางคนตอบกลับไปพร้อมกันด้วยรอยยิ้ม ถึงแม้แพทจะรู้ตัวว่ามีเวลาเพียงแค่เล็กน้อยก่อนจะต้องกลับคฤหาสน์ควินท์เรลก็เถอะแต่อย่างน้อยขอเข้าบ้านไปนอนโซฟานิ่ม ๆ กับกอดผ้าห่มผืนเล็กของแม่ให้เต็มปอดสักทีแล้วกันนะ
“แพทรอก่อนนะลูก แม่ขออุ่นสตูเนื้อให้ลูกก่อน”
“แม่ไม่ต้องรีบนะ”
ทันทีที่ก้าวเข้ามาในบ้าน กลิ่นหอมฟุ้งของซุปฟักทองและสตูเนื้อที่คุณแม่เตรียมให้เขาก็ลอยเข้ามาเตะจมูกชวนให้ท้องร้องทันที แพทริเซียล้มตัวลงที่โซฟาตัวเล็กอย่างหมดเรี่ยวแรงเพราะพลังงานที่ถูกใช้ไปจนหมดทั้งวันแท้ ๆ ถึงทำให้เขาต้องมานอนแหมะแบบนี้ แถมยังมีเื่ของอัลฟ่าเ้าชู้นั่นให้เขาหนักใจเข้าไปอีก
ลุค อีแวนส์
แค่คิดชื่อก็ขนลุกอีกแล้วละ
“เป็ยังไงบ้างลูก ไปเที่ยวไหนมาบ้างล่ะวันนี้?” เสียงทุ้มของคุณพ่อเอ่ยถามพร้อมเลื่อนถ้วยชาพีชของโปรดมาตรงหน้าเขา
“วันนี้แพทเจอเื่ประหลาดมาทั้งวันเลยพ่อ เหนื่อยจะแย่”
“เื่ประหลาด? มันมีอะไรประหลาดกว่าแพทด้วยเหรอ?”
“พ่ออ่ะ!”
เสียงหัวเราะที่ประสานกันของคุณพ่อและคุณแม่ทำคนที่กำลังจะหน้าบึ้งต้องหลุดยิ้มออกมาอย่างห้ามไม่ได้ มือเล็กเอื้อมไปประคองชาพีชอุ่น ๆ พร้อมคุกกี้ฝีมือคุณแม่เข้าปากอย่างเอร็ดอร่อย ถึงแม้ตัวเขาจะไม่ได้ชอบของหวานมากมายขนาดนั้นก็เถอะแต่พอเป็ฝีมือคุณแม่ทีไร เขาก็มักจะทานจนหมดจานทุกที แต่ในขณะที่มือกำลังจะเอื้อมไปหยิบคุกกี้อีกชิ้น จู่ ๆ ใบหน้าของไซม่อนก็ลอยขึ้นมาจนทำให้แพทชะงัก
“ทำไมล่ะลูก ฝีมือแม่เขาตกแล้วหรือไง?”
“คุณพูดอะไรคะ บอกว่าฝีมือใครตกนะ?”
“ก็ลูกกินไปแค่ชิ้นเดียว มันแปลกนะเนี่ย”
แพทส่ายหน้าเล็กน้อยก่อนจะลุกไปหยิบกล่องใบเล็กมาหยิบคุกกี้ที่อยู่ในถาดอบใส่ไว้จนเต็ม ขนาดเขาได้กินคุกกี้ชิ้นนี้เข้าไปยังรู้สึกชอบมากขนาดนี้ ถ้าหากคนที่ชอบขนมมาก ๆ อย่างไซม่อนได้ชิมสักคำ เขาเองก็พอจะนึกสีหน้าของอีกฝ่ายออกเลย
ยิ้มจนตาปิดแน่ไซม่อน
เพียงแค่คิดแพทริเซียก็มีรอยยิ้มตามจนต้องเดินไปกอดซุกใบหน้าลงที่หลังของผู้เป็แม่อย่างออดอ้อน ถึงคุณนายมอร์แกนจะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยกับการกระทำของลูกชายบ้างแต่เพราะความคิดถึงที่มีอยู่มากเหมือนกันจึงไม่ได้เอ่ยทักท้วงอะไรออกไปและปล่อยให้แพทกอดอยู่อย่างนั้น และทุกอย่างก็อยู่ในสายตาของหัวหน้าครอบครัวอย่างคุณพ่อ ชายหนุ่มวัยกลางคนเดินเข้าไปหาสองแม่ลูกช้า ๆ พร้อมโอบกอดทั้งสองคนและโยกตัวไปมาอย่างอบอุ่น
“เก่งมากเลยนะแพท” แค่คุณพ่อเอ่ยพูดขึ้นมาเบา ๆ ก็ทำให้รอยยิ้มสวยปรากฏบนหน้าได้อย่างง่ายดายอีกครั้ง ถึงแม้เขาจะเหน็ดเหนื่อยจากการที่ต้องออกไปใช้ชีวิตข้างนอกคนเดียวแบบนั้นตั้งหลายเดือนและมีเื่ราวมากมายที่ทำให้ต้องกลับมาทบทวนกับตัวเองอยู่หลายครั้งว่าตัดสินใจถูกหรือเปล่า แต่เพียงแค่เขาได้กลับมาอยู่ในอ้อมกอดของคนที่รักมากที่สุดแบบนี้ หลังจากนี้แพทก็คิดว่าแพทคงไม่มีอะไรให้กลัวอีกต่อไป
เพราะไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
อย่างน้อยก็มีพ่อแม่ที่คอยรอกอดเขาที่บ้านหลังนี้อยู่เสมอ
การที่มีคนอยู่เคียงข้างและพร้อมจะเข้าใจกันตลอดเวลามันดีอย่างนี้นี่เอง
- Simon’s theory -
หลังจากที่แพทใช้เวลาร่วมครึ่งชั่วโมงที่บ้านของตัวเอง สุดท้ายก็ถึงเวลาที่เขาต้องกลับคฤหาสน์ควินท์เรลเสียที เขาใช้เวลาบอกลาพ่อกับแม่เพียงไม่นานเพราะต้องรีบเดินทางออกจากคอตตอนเทลก่อนที่จะกินเวลาไปมากกว่านี้ แพทก้มมองนาฬิกาข้อมือของตัวเองและพบว่าอีกไม่กี่นาทีจะสองทุ่มแล้ว ถึงแม้มันจะไม่ใช่เวลาที่ดึกอะไรมากมายนักแต่ความเกรงใจของเขาที่มีต่อเจซนี่สิ เพราะอีกฝ่ายทั้งไปช่วยเขาให้หนีพ้นจากลุคและยังพาเขากลับมาที่บ้านอีก
จริง ๆ แล้วมันก็ไม่ใช่หน้าที่เจซด้วยซ้ำ
แต่จะให้แพทไปขอบคุณเขายังไงดีล่ะ
ในเมื่ออีกฝ่ายยังดูตึง ๆ จากเื่ก่อนหน้านี้อยู่เลย
เสียงบนรถยนต์คันหรูของบ้านแมคคอยด์ยังคงเงียบสงัด ในตอนนี้มีเพียงเสียงเครื่องปรับอากาศในรถเท่านั้นที่ยังคงส่งเสียงให้ได้ยินอยู่ ไร้ซึ่งบทสนทนาของคนที่นั่งอยู่ข้างกันอย่างแพทริเซียและเจซเหมือนอย่างเคย ถึงแม้แพทจะคอยชำเลืองมองอีกฝ่ายเหมือนที่เคยทำก่อนหน้าแต่ในครั้งนี้เจซก็ไม่ได้สนใจสักนิด ริมฝีปากเล็กเม้มเข้าหากันแน่นด้วยความประหม่า เพราะความรู้สึกเกรงใจและคำถามที่มีอยู่มากมายเต็มอกทำแพทแทบจะนั่งนิ่ง ๆ ไม่ไหว หากเขาไม่ได้รู้วันนี้ แพทคิดว่าตัวเองก็คงอกแตกตายก่อนจะได้เจอเจซอีกครั้งแน่ ๆ
แพทริเซียชำเลืองมองอัลฟ่าหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างกันอีกครั้งก่อนจะกระแอมเบา ๆ เป็เชิงให้อีกฝ่าย และก็ได้ผล ครั้งนี้เจซหันกลับมามองเขาแววตาเรียบนิ่งเหมือนเดิม ไร้ซึ่งความหงุดหงิดเหมือนที่เคยมีก่อนหน้าแล้ว แค่นั้นก็ทำให้แพทริเซียรู้สึกหายใจโล่งขึ้นมาซะเฉย ๆ เ้าของใบหน้าหวานส่งรอยยิ้มจาง ๆ ไปให้ก่อนอีกฝ่ายจะขมวดคิ้วมองกลับมาด้วยความสงสัย
“อะไรคุณมอร์แกน?”
“คือเราแค่อยากขอบคุณ”
“ขอบคุณ?” เจซเอ่ยถามพร้อมเลิกคิ้วขึ้นหนึ่งข้าง
“ขอบคุณที่ช่วยเราวันนี้แล้วก็พาเรากลับไปที่บ้านก่อนที่จะกลับคฤหาสน์ควินท์เรลด้วย”
“มันไม่ใช่เื่ใหญ่อะไรนักหรอก”
“ขอบคุณนะคุณแมคคอยด์”
เขาพยักหน้ารับก่อนจะเบือนหน้าไปมองนอกหน้าต่างอีกครั้ง ถึงแม้เจซจะดูเหมือนไม่สนใจอะไรนักก็เถอะ แต่การกระทำวันนี้ของเจซก็ทำให้อคติที่มีต่ออัลฟ่าของแพทลดลงมานิดหน่อยจนตัวเขาเองก็รู้สึกได้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยยอมรับการช่วยเหลือจากอัลฟ่าหน้าไหนเลยด้วยซ้ำ แต่หลังจากได้เจอไซม่อนกับเจซ ความคิดของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปนิดหน่อยแล้วละ
เว้นไว้แค่ลุค อีแวนส์ก่อนแล้วกันนะตอนนี้
รายนั้นดูแล้วอันตรายซะเกินกว่าจะเชื่อใจ
“คุณแมคคอยด์”
“ว่าไง?”
เขาปรายตามามองแพทริเซียเพียงครู่หนึ่งก่อนจะก้มลงไปมองหน้าจอโทรศัพท์ต่อ
“เราขอถามอะไรเกี่ยวกับคุณลุคได้ไหม?”
“..”
“อ่า คุณอีแวนส์น่ะ”
“อยากรู้ไปทำไม?”
“เราแค่อยากรู้ว่าทำไมคุณถึงดูไม่อยากให้เราเข้าใกล้เขานัก เขาเป็ตัวอันตรายเหรอ?”
เสียงถอนหายใจยาวจากเจซที่ดังขึ้นเป็รอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของวันทำแพทริเซียนั่งตัวแข็งทื่อทันที อัลฟ่าหนุ่มเก็บโทรศัพท์มือถือลงในกระเป๋าก่อนจะหันกลับมาสบตาแพทในความมืด และนั่นก็ทำให้แพทเดาสายตาของอีกฝ่ายไม่มองเลยสักนิด
“คุณมอร์แกน”
“ครับ?”
“ผมไม่ได้อยากให้คุณไปเข้าใกล้เขาแต่ผมพยายามปกป้องให้เขาออกห่างจากคุณ และสิ่งที่คุณสงสัยว่าเขาเป็ตัวอันตราย ถ้าในฐานะของคุณที่เป็คนของควินท์เรลอยู่ในตอนนี้ ผมก็ตอบได้เลยว่าใช่ เขาอันตรายสำหรับคุณและควินท์เรล”
ประโยคยาวที่ถูกเอ่ยออกมาจากริมฝีปากของคุณชายแมคคอยด์ทำแพทริเซียเงียบสนิท คำถามที่เคยมีอยู่มากมายก็ถูกกลืนลงไปในลำคอทันที จริง ๆ แล้วแพทไม่ได้คาดหวังคำตอบหรือคำอธิบายยาวขนาดนี้จากเจซด้วยซ้ำ แต่ดูท่าทางแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้น่าจะมีปมมาจากเื่ที่คุณแม่เคยเล่าอย่างแน่นอน
ยังไงก็ ทำเป็ไม่รู้ไปก่อนแล้วกัน
“งั้นเราถามได้ไหมว่าทำไมเขาถึงเป็ตัวอันตรายของควินท์เรล?”
“ก่อนจะเข้ามาทำงานให้ควินท์เรล คุณมอร์แกนไม่ได้ศึกษาเื่นี้มาเลยเหรอครับ?”
“ไม่เลยครับ” ไม่ได้อยากโกหกหรอกนะ แต่เอาไว้ไปสารภาพบาปทีหลังก็แล้วกัน
“จริง ๆ เื่นี้คุณควรรู้ด้วยซ้ำ”
“..”
“ช่างมันเถอะ มันไม่ใช่เื่ของผมที่ควรจะพูด”
“ได้โปรดคุณแมคคอยด์ เราต้องอยู่ที่คฤหาสน์ควินท์เรลอีกตั้งเจ็ดเดือนเลยนะ”
แพทริเซียเอื้อมมือไปแตะแขนอัลฟ่าหนุ่มอย่างถือวิสาสะพร้อมจ้องมองเจซด้วยสายตาอ้อนวอน ถึงแม้ในใจเขาจะไม่ได้กลัวอะไรขนาดนั้นก็เถอะแต่อย่างน้อยวันนี้เขาก็ต้องทำทุกวิถีทางให้รู้เื่ราวของสี่ตระกูลจากปากของคนในตระกูลให้ได้
“นะคุณแมคคอยด์ เราขอร้องละ”
“..”
“ถ้ามันอันตรายขนาดนั้นก็เท่ากับว่าชีวิตเราก็อยู่ในอันตรายด้วยไม่ใช่เหรอ? เรามีสิทธิ์ที่จะรู้นะ คุณเองก็รู้ว่าเราไม่มีทางรู้เื่แบบนี้จากคนในบ้านควินท์เรลอยู่แล้ว..”
เสียงหวานแ่ลงตอนเอ่ยประโยคสุดท้ายยิ่งทำให้เจซหนักใจเข้าไปใหญ่ ทั้ง ๆ ที่ปกติแล้วเขาไม่เคยคิดจะเล่าเื่อะไรเกี่ยวกับตระกูลของตัวเอง ตระกูลของเพื่อนสนิทอย่างไซม่อน หรือเื่ราวของทั้งสี่ตระกูลให้คนนอกฟังด้วยซ้ำ และขนาดไซม่อนที่สมควรจะรู้บางเื่ก็ยังไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้จนเขาเองก็อึดอัดในใจอยู่เหมือนกัน เฝ้ารอแค่สักวันเขาจะได้บอกเื่ราวทั้งหมดกับเพื่อนสนิทของตัวเองและไม่มีอะไรต้องปิดบังอีกต่อไป
แต่เหมือนในวันนี้จะต้องมีคนที่ได้รู้ก่อนไซม่อนซะแล้วละ ถึงแม้เขาจะได้พบกับแพทริเซียเพียงครั้งที่สามเท่านั้นแต่แววตาและการกระทำของอีกฝ่ายที่แสดงออกต่อไซม่อนก็ทำให้เจซเชื่อใจได้ว่าโอเมก้าตรงหน้าจะไม่มีทางทำร้ายเพื่อนสนิทของเขาอย่างแน่นอน ไม่อย่างนั้น คนอย่างไซม่อนก็คงไม่เปิดใจให้แพทริเซียก้าวเข้าไปในพื้นที่ส่วนตัวได้ขนาดนั้นหรอก
“สัญญาก่อนว่าจะไม่ให้เื่นี้ถึงหูของไซม่อนจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม”
“หมายถึง ไซม่อนเองก็ไม่รู้เื่นี้เลยเหรอ?”
“ไซม่อนรู้ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด”
“โอเค เราสัญญา”
และเื่ราวทั้งหมดที่เจซได้เล่าตลอดทั้งการเดินทางกลับคฤหาสน์ควินท์เรลก็ทำให้คนตัวเล็กนั่งหน้าชาอย่างบอกไม่ถูก เสียงทุ้มที่บอกเล่าเื่ราวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่งนั้นยิ่งทำให้แพทไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปากถามอะไรขึ้นมาทั้งนั้น
เื่ราวที่ผ่านมายี่สิบปีแล้วแต่ทุกความทรงจำยังคงฝังอยู่และไม่ถูกลบเลือนจางหายไปจากใจของคนทั้งสี่ตระกูลเลยแม้แต่วินาทีเดียว ในคืนวันที่จัดงานครบรอบหนึ่งร้อยปีเพื่อเฉลิมฉลองให้แก่ตระกูลของผู้ก่อตั้งเมืองเอดมันตันทั้งสี่ตระกูล ได้แก่ ควินท์เรล, แมคคอยด์, อีแวนส์, และริเวอร่า งานเฉลิมฉลองครบรอบหนึ่งร้อยปีที่จัดอย่างยิ่งใหญ่ ณ คฤหาสน์ของตระกูลริเวอร่า ห้องจัดงานเลี้ยงใหญ่โตที่ถูกสร้างอยู่นอกสวนของคฤหาสน์ที่ทุกคนในงานชมกันไม่ขาดปากถึงความงดงามของกระจกใสทั้งหลังที่ทำให้มองเห็นสวนขนาดใหญ่ของคฤหาสน์ริเวอร่าได้รอบทิศ ไฟดวงเล็กที่ถูกตกแต่งอย่างดีในทุกจุดยิ่งทำให้บรรยากาศในคืนนั้นยิ่งอบอุ่นเข้าไปใหญ่ งานเฉลิมฉลองที่เต็มไปด้วยอาหารชั้นหรูและเครื่องดนตรีบรรเลงตลอดทั้งคืนยิ่งทำให้ทุกคนต่างเพลิดเพลินกับงานเลี้ยงจนไม่ได้คิดว่าจะมีโศกนาฏกรรมเกิดขึ้น ในคืนนั้นนั่นเองที่เป็คืนที่คุณแม่ของไซม่อนถูกยิงจนเสียชีวิตและควินท์เรลก็ได้เสียคุณโรสซีลีนไปตลอดกาล เพราะงานเฉลิมฉลองนั้นเป็งานปิดและทุกคนเองก็รู้ดีว่ามีเฉพาะคนในตระกูลเท่านั้นที่สามารถเข้าไปในงานได้ และในตอนนั้นก็มีเพียงแค่พ่อของลุค อีแวนส์เท่านั้นที่ไม่ได้อยู่ตรงนั้น ถึงคำแก้ต้วมากมายที่ว่าไม่ได้อยู่ตรงนั้นเป็เพราะเขาไปเข้าห้องน้ำก็เถอะแต่ยังไงการที่เขาเป็คนเดียวที่ไม่ได้อยู่ที่นั่นในตอนที่คุณโรสซีลีนถูกยิงมันก็แทบจะชัดเจนทุกอย่างอยู่แล้ว แต่โชคร้าย เพราะหลักฐานที่มีไม่เพียงพอจึงทำให้เอาผิดอะไรกับเขาไม่ได้ หลังจากนั้นทั้งสี่ตระกูลเก่าแก่ก็แตกหัก ตระกูลอีแวนส์กลายเป็ตราบาปของสี่ตระกูลนับั้แ่วันนั้น เหลือเพียงแค่ควินท์เรลและแมคคอยด์เท่านั้นที่ยังคงความสัมพันธ์ดีที่ดีกันไว้อยู่ และสุดท้ายตระกูลริเวอร่าที่ไม่มีผู้สืบทอดต่อก็ห่างหายไปอย่างเงียบ ๆ
ความแค้นและความบาดหมางของควินท์เรลและอีแวนส์ที่ยังมีต่อกันแบบไม่อาจจบสิ้นได้ทำให้ทายาทคนสำคัญเพียงคนเดียวจึงถูกปกป้องและเก็บซ่อนไว้เพื่อจะไม่ให้เื่เลวร้ายแบบนั้นเกิดขึ้นซ้ำรอยอีกจนกว่าจะถึงเวลาที่จะได้ขึ้นเป็ผู้สืบทอดตระกูลตัวจริง
- Simon’s theory -