“ก็นั่นน่ะสิ สกุลลู่อาจจะไม่ได้ลงมือเอง แต่เป็อันธพาลตู้ที่หาเื่ใส่ตัว เขาไม่ดูหน่อยหรือว่าหุบเขาหมีเป็สถานที่เช่นไร ตอนเด็กๆ ยามข้าซุกซนแม่ข้าก็มักจะขู่ว่าหากไม่เลิกดื้อ จะเอาข้าไปทิ้งที่หุบเขาหมีให้หมีกิน”
“นั่นน่ะสิ นั่นเป็สถานที่แสนอันตราย อันธพาลตู้ถูกขีดข่วนแค่นี้ถือว่าโชคดีมากแล้ว หากว่าเจอหมีตัวเป็ๆ เข้าไป...ฮ่าฮ่า คงจะเป็เื่ใหญ่”
ทุกคนพากันวิพากษ์วิจารณ์ ยามปกติอันธพาลตู้ชอบยกตนข่มท่าน ทำตัวโอหังเสียยิ่งกว่าคุณชายที่เป็บุตรชายตัวจริงของท่านเ้าเมืองเสียอีก ยามนี้เขาประสบเคราะห์ ทุกคนต่างรู้สึกสาแก่ใจกันไม่น้อย เื่นี้ถึงได้เล่าลือไปทั่วเมืองอย่างรวดเร็ว
เรือนพักของท่านที่ปรึกษาสุยอยู่หลังศาลาว่าการ เพื่อให้สะดวกเวลาที่ท่านเ้าเมืองจะเรียกเข้าพบ
นี่เองเป็เหตุผลที่ตู้โหย่วไฉมักจะไปกร่างที่ศาลาว่าการบ่อยๆ ก็เพราะใกล้มือใกล้เท้าเขา
ยามนี้ท่านที่ปรึกษาสุยเพิ่งจะช่วยท่านเ้าเมืองจัดการงานเสร็จ กำลังประคองจอกชาลายหินสีม่วงลิ้มรสชาพลางฟังดนตรีไปด้วย แต่จู่ๆ กลับเห็นหลานชายสุดที่รักถูกหามเข้ามาเืท่วมตัว
เขาใจนโยนจอกชาในมือทิ้ง เสียงจอกชาแตกกระจายดังบาดหู “นี่มันเื่อะไรกัน? ใครลงมือ?”
ชั่วขณะนั้น เขาแทบจะคิดถึงศัตรูทุกคนขึ้นมาในหัวจนครบ แต่ก็ยากเหลือเกิน เพราะยามปกติเขาผูกความแค้นกับผู้คนมากมาย หลานชายเองก็ไม่ได้ดีเด่อะไร สุดท้ายจึงเดาไม่ถูกว่าเป็ศัตรูคนไหนกันแน่
ตู้โหย่วไฉเห็นท่านน้าตัวเองก็รู้ว่าที่พึ่งของเขามาแล้ว จึงลืมความเจ็บไปชั่วขณะ เขาพลิกตัวลงมาคลานไปกอดขาท่านน้า
“ท่านน้า ท่านต้องแก้แค้นให้ข้านะขอรับ ฮือฮือ ข้าเกือบจะตายด้วยน้ำมือคนพวกนั้นแล้ว”
“ใครกันที่ทำให้เ้าตกอยู่ในสภาพเช่นนี้?” ที่ปรึกษาสุยคิดอยากจะประคองหลานชายขึ้นมา แต่ก็ไม่กล้ายื่นมือออกไป เพราะร่องรอยาแทั่วร่างของหลานชายนั้นน่าหวาดกลัวเกินไป
“ฮือฮือ ท่านน้า ข้านึกว่าจะต้องไปพบบิดามารดาที่ปรโลกเสียแล้ว ท่านต้องแก้แค้นให้ข้านะขอรับ เป็พวกคนเถื่อนที่หมู่บ้านเขาหมีนั่นแหละที่ลงมือ พวกเขาเป็คนเลี้ยงเ้าสัตว์ประหลาดสีดำนั่น แล้วปล่อยมันออกมากัดข้า”
“เขาหมี?” ที่ปรึกษาสุยรู้ว่าหลานชายตัวเองไปแย่งซื้อูเาที่หุบเขาหมีมา เพื่อคิดจะหลอกเอาเงินจากคนสกุลลู่ เื่นี้พูดให้ชัดจริงๆ ก็เป็เขาเองก็ที่พยักหน้าอนุญาต ครั้งนี้หลานชายไปติดหนี้พนันมา แต่ภรรยาที่บ้านไม่ให้เงินเขาเพื่อนำไปใช้หนี้คืน เพราะไร้หนทางเขาจึงทำได้แค่ปล่อยให้หลานชายไปหาวิธีด้วยตนเอง
ในสายตาของเขาคนหมู่บ้านเขาหมีก็เป็แค่พวกนายพราน ไม่มีใครหนุนหลัง จะบังคับขู่เข็ญหรือหลอกลวงอย่างไรก็ย่อมได้
คิดไม่ถึงว่าจะทำให้หลานชายเขากลับมาในสภาพน่าอนาถเช่นนี้ได้ หรือว่าบนหุบเขาหมีมีคนที่ร้ายกาจอยู่?
ตอนที่เขากำลังขบคิด พ่อบ้านผู้รู้ใจก็พาหมอเข้ามา
ถึงแม้รอยข่วนรอยกัดจากเฟยเตียวจะไม่ถึงแก่ชีวิต แต่การจะเย็บาแทั้งหมดนั้นก็เป็เื่ลำบากพอสมควร ต้องตัดเสื้อผ้าออกและล้างแผลให้สะอาด และระหว่างทางที่หนีเข้าเมืองมานี้ก็ทำให้คราบเืแห้งติดเสื้อผ้าไปหมดแล้ว จะล้างให้สะอาดก็มีแต่ต้องใช้น้ำเกลือเช็ดให้ชุ่ม ทั้งห้องจึงได้ยินแต่เสียงโอดครวญด้วยความทรมาน คนในบ้านสกุลสุยได้ยินกันโดยทั่ว
ฮูหยินสุยและบุตรสาวบุตรชายแสร้งทำเป็หูหนวกตาบอดอย่างเต็มที่ ที่ควรอ่านตำราก็อ่านตำราไป ที่ควรทำงานเย็บปักก็ทำงานเย็บปักไป ไม่ห่วงหาอาทรแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าลูกพี่ลูกน้องคนนี้เป็ที่รังเกียจแค่ไหน
แต่ที่ปรึกษาสุยในฐานะน้าชายของเขาจะไม่สนใจก็ไม่ได้ อย่างน้อยเขาก็ต้องไม่ผิดต่อพี่หญิงที่อยู่ในปรโลก ยิ่งไปกว่านั้นหากจัดการไม่ดี จะเป็การเสื่อมเสียมาถึงหน้าตาของเขา
ผู้ติดตามของตู้โหย่วไฉอดทนความเ็ปคุกเข่าเล่าเื่ที่เกิดขึ้นออกมาอย่างครบถ้วน
เมื่อได้ยินว่าหลานชายของเขาบอกราคาูเาลูกละร้อยตำลึงนั่นไปถึงหมื่นตำลึง ถึงขนาดโอหังอยากแม่นางสกุลลู่ ที่ปรึกษาสุยก็อยากจะซัดหน้าพวกเขาจริงๆ ต่อให้จะหลอกเอาเงินผู้อื่นแต่ก็ต้องมีขอบเขตบ้าง นี่มันเรียกว่าหลอกเอาเงินที่ไหน นี่มันบีบบังคับให้สกุลลู่ตอบโต้ชัดๆ
วันนี้สัตว์ประหลาดสีดำที่โจมตีตู้โหย่วไฉถึงแม้จะมาจากป่าเขา แต่เชื่อว่าคงเป็ฝีมือคนสกุลลู่แน่
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าที่ปรึกษาสุยจะแก้แค้นให้หลานชายอย่างไร ตัดภาพกลับมาที่หุบเขาหมี คนที่นี่รู้สึกเหมือนความแค้นได้ถูกชำระแล้วก็สะใจกันอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อวกกลับมาคิดถึงสถานะของตู้โหย่วไฉก็อดกังวลไม่ได้
เมื่อออกมาจากบ้านพักแล้ว ทุกคนจึงไม่ได้แยกย้ายไปไหน
นายท่านเฝิงกระแอมเบาๆ สองที กล่าวกับบิดาลู่ว่า “คนหุบเขาหมีเรานับว่าเป็อันหนึ่งอันเดียวกัน ถึงแม้ทุกคนจะไม่มีความสามารถอะไร แต่ขอแค่เป็เื่ที่เราช่วยได้ ก็ให้เอ่ยปากมา ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดก็แค่ทุกคนต้องย้ายออกไปจากเขาแห่งนี้ แต่ตราบใดที่ทักษะการล่าสัตว์ของเรายังมีอยู่ ก็ไม่มีทางอดตาย”
“ขอบคุณนายท่านเฝิง ขอบคุณพี่น้องทุกท่าน”
บิดาลู่และพวกเสี่ยวหมี่ประสานมือคารวะทุกคนด้วยหัวใจที่อบอุ่น
เราจะได้เห็นน้ำใจของคนใน่เวลายากลำบาก คนในหมู่บ้านยอมโยกย้ายจากแหล่งทำมาหากินและอยู่อาศัยมาหลายปี เพื่อปกป้องสกุลลู่
นี่ถือเป็น้ำใจยิ่งใหญ่ที่ยากจะอธิบายออกมาด้วยคำพูดเพียงไม่กี่คำได้
เฝิงเจี่ยนกวาดสายตามองทุกคนด้วยสายตาอ่อนโยน เกาเหรินเองก็เรียบร้อยอย่างผิดปกติ ส่วนผู้เฒ่าหยางนั้นยิ้มกว้างอย่างอ่อนโยน
คนในหมู่บ้านเห็นคนสกุลลู่ขอบคุณอย่างจริงจังเช่นนี้ก็รู้สึกเขินอายไม่น้อย พากันลูบหลังศีรษะแล้วโบกๆ มือ จากนั้นก็แยกย้ายกันไปทำงานของตัวเอง
คนที่ไถพรวนดินก็ไถพรวนดิน ที่เรียงหินก็เรียงหิน ส่วนบางคนก็ไปเด็ดวัชพืชที่ไร่มันฝรั่ง
บิดาลู่สีหน้าเคร่งขรึมแล้วอดสั่งสอนบุตรสาวไม่ได้ “เื่ใหญ่ขนาดนี้เ้าถึงกับหลอกลวงและปิดบังพ่อ? เ้าเป็แค่แม่นางคนหนึ่งจะจัดการเื่นี้ได้อย่างไร?”
จากนั้นก็บอกบุตรชายคนโต “ไปเตรียมรถ พ่อจะเข้าเมืองไปร้องเรียน”
ถึงแม้พี่ใหญ่ลู่จะเป็คนซื่อและกตัญญูเป็อย่างมาก แต่เขาก็รู้ดีว่าบิดาของตนมีความสามารถแค่ไหน ดังนั้นจึงรับคำแต่ปากแต่สายตากับส่งไปทางน้องสาว
กลับเป็พี่รองลู่ที่ตรงไปตรงมา เขาเอ่ยห้ามบิดาไว้ “ท่านพ่อ ท่านเป็แค่ซิ่วไฉคนหนึ่ง ต่อให้จะไปร้องเรียนที่ศาลาว่าการ ท่านเ้าเมืองไม่แน่ว่าจะยอมพบท่าน อีกอย่าง คิดว่าท่านที่ปรึกษาคนนั้นคงจะต้องล้างแค้นแทนหลานชายแน่ หากเขาจับท่านเข้าคุกขึ้นมา...”
ไม่รอให้เขาพูดจบฝ่ามือจของบิดาลู่ก็เข้ามาทักทาย “เ้าลูกบ้า เ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังพูดกับใครอยู่ หากข้าไม่ไปฟ้องร้อง เช่นนั้นจะให้เ้าเป็คนไปหรือ ยังรังเกียจว่าบิดาเ้าเป็แค่ซิ่วไฉ เ้ามีความสามารถสอบเป็จวี่เหรินได้หรืออย่างไร?”
“ข้าไม่สอบหรอก แค่อ่านตำราข้าก็ปวดหัวแล้ว ให้เ้าสามไปสอบสิ เขาทำได้แน่นอน”
ยากนักที่จะเห็นพี่รองลู่ฉลาดกับเขาบ้าง เขารีบไปหลบหลังน้องสาวของตน จากนั้นก็ลากน้องสามของตนเองที่ตอนนี้ไม่อยู่บ้านออกมา
ส่วนเฝิงเจี่ยนกลัวว่าเสี่ยวหมี่จะโดนลูกหลงไปด้วย จึงเอ่ยปากโน้มน้าวว่า “ท่านลุงระงับโทสะก่อนเถิดขอรับ ข้าให้คนไปสืบความมาแล้ว หากว่าราบรื่น เื่นี้คงจัดการได้ไม่ยาก”
“จริงหรือ?” คนสกุลลู่พากันมองไปทางเขา เฝิงเจี่ยนไม่พูดอะไรอีกเพียงแค่พยักหน้า
แต่ท่าทีเช่นนี้ของเขากลับทำให้คนสกุลลู่เชื่อถือเป็อย่างมาก
“เช่นนั้นก็ดียิ่งนัก หากว่าพี่ใหญ่เฝิง้ากำลังคนไปจับท่านที่ปรึกษาสุนัขนั่นก็อย่าลืมเรียกข้าเชียวนะ”
แน่นอนว่าพี่รองลู่ถูกบิดาลู่ตบหลังศีรษะอีกครั้ง
บิดาลู่ดึงหูลูกชายกลับขึ้นเขา โดยมีเสี่ยวเอ๋อแอบตามอยู่ด้านหลัง ส่วนพี่ใหญ่ลู่ไปช่วยคนในหมู่บ้านทำงาน
เหลือเพียงเสี่ยวหมี่เดินทอดน่องกลับพร้อมกับเฝิงเจี่ยน ระหว่างทางนางอดพูดขึ้นมาไม่ได้ว่า “พี่ใหญ่เฝิง หากว่าเื่นี้จัดการได้ยากก็ช่างเถอะ อย่างมากข้าก็ไม่ซื้อที่บนูเาแล้ว บ้านเราเองก็มีพื้นที่ถึงสามสิบหมู่ จะอย่างไรก็คงไม่อดตายหรอกเ้าค่ะ”
ถึงแม้ปากจะพูดเช่นนี้แต่สายตาของนางยามที่มองูเาทั้งสองฝั่งนั้นก็เต็มไปด้วยความเสียดาย อย่างไรเสียนางก็ออกแบบและวางแผนไว้เสร็จสรรพแล้ว ยามนี้ต้องมาพับโครงการทิ้งก็รู้สึกเสียดายไม่น้อย
เฝิงเจี่ยนรักความสดใสร่าเริงของนางเป็ที่สุด จึงไม่อาจทนเห็นนางขมวดคิ้วอย่างเป็ทุกข์ได้ เขาจึงยื่นมือออกไปเด็ดดอกหญ้าริมทางมาส่งให้นาง “วางใจเถอะ มีข้าอยู่ทั้งคน เ้าคิดวางแผนรังสรรค์หุบเขาในความคิดของเ้าต่อไปก็พอ”
เสี่ยวหมี่มองดอกไม้สีเหลืองสดในมือด้วยอาการเขินอายน้อยๆ
นี่เป็ครั้งแรกที่นางได้รับดอกไม้เช่นนี้ ถึงแม้จะเป็แค่ดอกเล็กๆ แต่ก็ทำให้หัวใจนางหวานล้ำ
“เ้าค่ะ”
เสียงสดใสของแม่นางน้อยกังวานสะท้อนอยู่ในหุบเขา คล้ายเป็เสียงตอบรับรักชายอันเป็ที่รักของนาง
ทั่วทั้งหุบเขามีชีวิตชีวาขึ้นมาทันที ดอกไม้ชูช่อโบกไสว ใบไม้หวีดหวิว ทุกอย่างหวานล้ำราวกับน้ำผึ้งจากรังผึ้งป่าบนหน้าผา
…
เกาเหรินที่หนีหายไปทั้งวัน ในที่สุดก็กลับมาตอนท้องฟ้าเริ่มมืดสนิท
เสี่ยวหมี่เข้าไปบิดหูเขาเป็คนแรก “เ้าหายไปไหนมา? ไม่อยากกินพะโล้แล้วหรือไร ข้าเตรียมไว้ให้เ้าเสร็จแล้ว แต่เ้ากลับหายไปไม่เห็นเงา หากไม่ใช่เพราะข้าปกป้องไว้อย่างดีคงจะถูกพี่รองกินไปแล้ว”
“หา ไม่ได้นะ เนื้อตุ๋นของข้า”
เกาเหรินร้อนใจรีบรีบโยนปล้องไม้ไผ่ให้เฝิงเจี่ยน ส่วนตัวเองมุดเข้าห้องครัวไปหาเนื้อตุ๋นทันที
เสี่ยวหมี่ช่วยเขาตักข้าวชามใหญ่ แล้วจึงหันไปสนใจปล้องไม้ไผ่นั่น ตอนที่กำลังลังเล เฝิงเจี่ยนก็ดึงกระดาษที่อยู่ภายในออกมาแล้ว
เป็นาน ในที่สุดมุมปากเขาก็ยกขึ้น เงยหน้ามองเสี่ยวหมี่ “แบ่งเนื้อตุ๋นให้พี่รองครึ่งหนึ่งเถิด เกรงว่าเขาจะต้องเดินทางไกล”
“เดินทางไกล เกิดอะไรขึ้นเ้าคะ”
เสี่ยวหมี่อดเดินเข้าไปใกล้ไม่ได้ ส่วนคนสกุลลู่คนอื่นๆ ก็สนใจเช่นกัน
เฝิงเจี่ยนโบกกระดาษในมือไปมาเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “ข้าให้คนไปสืบข่าวมา ผู้ตรวจการมณฑลทางเหนือหลี่หลินกำลังเดินทางมาพักแรมที่เฟิงโจว คนผู้นี้เป็ขุนนางตงฉิน เกลียดชังคนชั่วเข้ากระดูกดำ หากเรานำเื่นี้ไปรายงานเขา คิดว่าคงจะจัดการได้อย่างง่ายดาย”
“ได้ ข้าจะตามหาตัวผู้ตรวจการคนนั้นเดี๋ยวนี้”
เมื่อบิดาลู่รู้ว่ามีคนที่สามารถช่วยแก้ปัญหาเื่นี้ได้มาอยู่ใกล้ๆ แล้วก็รีบยืนขึ้นแทบอยากจะวิ่งไปร้องเรียนเื่ของบ้านเขาเสียประเดี๋ยวนี้
น่าเสียดายที่เฝิงเจี่ยนห้ามเขาเอาไว้
“ท่านลุง ให้ลู่เชียนเป็คนไปพบท่านผู้ตรวจการหลี่จะเหมาะกว่าขอรับ”
“เพราะเหตุใด?” คนสกุลลู่ต่างก็สงสัย อย่างน้อยบิดาลู่ก็เป็ถึงซิ่วไฉ หากว่าขอพบผู้ตรวจการ คิดว่าคงจะให้เข้าพบอย่างง่ายดาย
“เพราะผู้ตรวจการจางผู้นี้เองก็เป็กรรมการคุมสอบในการสอบฤดูใบไม้ผลิปีหน้า เมื่อคุณชายสามสอบได้ตำแหน่งจวี่เหรินแล้วก็สมควรต้องมีอาจารย์ที่คอยชี้แนะเขา ข้าคิดว่าผู้ตรวจการหลี่คนนี้เหมาะสมที่สุด”
ไม่รอให้เฝิงเจี่ยนพูดอะไร ก็เป็ผู้เฒ่าหยางที่อธิบายต้นสายปลายเหตุให้ทุกคนฟังด้วยรอยยิ้มอบอุ่น
เช่นนี้เองทุกคนถึงได้เข้าใจ ที่แท้ที่ให้เ้าสามไปเพราะมีเป้าหมายเช่นนี้นี่เอง
“ขอบคุณหลานชายมากที่คิดเผื่อถึงขนาดนี้” บิดาลู่ขอบคุณอย่างจริงใจ กลับเป็พี่รองลู่ที่ได้ยินว่าตนเองต้องเดินทางไปรับน้องชายอีกแล้ว จึงรีบะโบอกน้องสาวว่า “เสี่ยวหมี่ ไม่ว่าเ้าเตรียมของกินอะไรให้เ้าสาม ต้องทำเผื่อข้าด้วยหนึ่งชุด เพราะระหว่างทางข้าคงจะหิวมาก หากไปไม่ถึงที่ที่เ้าสามอยู่จะทำอย่างไร”
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้