หลิววั่นซานและเซียวจั้นพร้อมใจกันลงมาที่กลางเวทีประลอง แขนแต่ละข้างของพวกเขากดทับไปบนไหล่ซ้ายและขวาของหยวนจุน
“เ้าหนุ่ม เ้ามีพลังคู่จิตยุทธ์อย่างนั้นหรือ!?”
ใบหน้าของหลิววั่นซานเต็มไปด้วยความสุข ชัยชนะติดต่อกันสองครั้งของหยวนจุนอาจกล่าวได้ว่าเป็เื่ที่เขาไม่คาดคิด แม้แต่จะฝันก็ยังมิกล้า แต่ตอนนี้ เื่นั้นได้เกิดขึ้นจริงตรงหน้าเขาแล้ว!
การที่หยวนจุนชนะเซียวหานมิใช่เหตุผลเดียวที่ทำให้เขาและเซียวจั้นมาอยู่บนเวทีประลอง แต่ทั้งสองยังพบพลังจิตที่ล้ำเลิศในตัวของหยวนจุนด้วย
อย่างที่รู้ว่าในมหาภพหลิงเทียนมีเพียงไม่กี่คนที่มีพลังคู่จิตยุทธ์ ยิ่งกว่านั้นหยวนจุนยังมีอายุแค่สิบห้าสิบหกปีเท่านั้น
ในใจของพวกเขารู้ดีว่าหยวนจุนใช้พลังจิตในวินาทีสุดท้าย ซึ่งเขาจะต้องเตรียมการไว้แต่แรกอยู่แล้ว
การใช้สมองร่วมกับกำลัง เช่นนี้ทำให้ผู้คนชื่นชม
“เหอะเหอะ สหายเซียวจะทำสิ่งใด? คิดจะลงมือกับอนุชนรุ่นหลังต่อหน้าผู้คนทั้งสองเมืองอย่างนั้นหรือ?”
เซียวจั้นแผ่พลังปราณที่รุนแรงออกมา สองตาที่เต็มไปด้วยเส้นเืจ้องมองหยวนจุนอย่างดุดัน
เขาดึงมือใหญ่ที่เต็มไปด้วยปราณดารากลับมา ขณะเดียวกันก็ยับยั้งพลังของตนเองด้วย
“ข้าเซียวจั้นเป็ผู้ไม่รักษาสัจจะอย่างนั้นหรือ!? การที่ตระกูลเซียวสามารถยืนหยัดอยู่ในเมืองลั่วฝานได้ มิได้ขึ้นอยู่กับการมีกองทหารรักษาเมืองอยู่แล้ว!” เซียวจั้นกล่าวเหน็บแนม น้ำเสียงเต็มไปด้วยการเอาชนะและไม่รู้สึกเสียใจ
ชัยชนะของหยวนจุนเป็ความจริงที่มิอาจโต้แย้ง แม้เขาไม่ยอมรับ แต่ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผลของประลองได้ ซึ่งหากเขาปฏิเสธก็จะถูกตราหน้าว่าไร้สัจจะ
แมู้เาสองแดนจะมีความสำคัญ แต่เขาก็มิได้แสดงความ้าออกมาอย่างชัดเจนเหมือนหลิววั่นซาน
“ข้ามีบางอย่างที่อยากจะสนทนากับเขาตามลำพัง” เซียวจั้นส่งสายตาไปให้หยวนจุนแล้วเอ่ยขึ้นนิ่งๆ
หลิววั่นซานก้าวมายืนอยู่ข้างหน้าหยวนจุนอย่างเจตนาที่จะปกป้อง เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “ข้าว่าคงไม่จำเป็กระมัง?”
ทั้งสองยืนประจันหน้า ไม่มีผู้ใดยอมถอย
หากกล่าวถึงพลัง เซียวจั้นเหนือชั้นกว่าหลิววั่นซานอยู่หนึ่งขั้น แต่ตอนนี้ทั้งสองมีสัญญาร่วมกัน ดังนั้นเขาจึงไม่กลัวที่จะเกิดเื่ที่ไม่คาดคิด
เมื่อการเจรจาล้มเหลว เซียวจั้นจึงส่งสายตาให้หยวนจุน เพื่อเป็นัยบอกให้เขาเลือก
หยวนจุนโค้งคำนับให้หลิววั่นซาน ก่อนจะยิ้มแล้วเดินลงเวทีประลองไปพร้อมกับเซียวจั้น
“เ้าหนุ่ม ข้าเซียวจั้นเป็คนตรงไปตรงมา คิดอย่างไรก็กล่าวออกมาอย่างนั้น การที่เ้าช่วยให้ตระกูลหลิวได้สิทธิ์ในการูเาสองแดน ข้านั้นมิได้ติดใจ แต่ไม่ว่าอย่างไรเ้าอย่าคิดว่าหลิววั่นซานเป็คนดี!”
“หากเ้าเข้าใกล้เขามากเกินไป วันหนึ่งเ้าจะต้องเสียใจ!”
เซียวจั้นเม้มริมฝีปากแห้งแล้วกล่าวต่อ “หากรู้สึกว่าตระกูลหลิวไม่เหมาะกับเ้า เ้าสามารถมาที่ตระกูลเซียวของข้าได้!”
“ขอบคุณผู้นำเซียวที่เตือนข้าด้วยความหวังดี” หยวนจุนพยักหน้าแสดงมารยาทต่อเซียวจั้น
หยวนจุนรู้อยู่แล้วว่าหลิววั่นซานมิใช่คนดี การมีอยู่ของกองทหารรักษาเมืองเทียนอวิ่นย่อมบ่งบอกถึงธาตุแท้ของเขาอยู่แล้ว
การบังคับขูดรีดผู้คนเพื่อความเป็อยู่ของตระกูลหลิว เพียงเท่านี้ก็รู้แล้วว่าหลิววั่นซานเป็คนอย่างไร
และเหตุผลที่เขาช่วยตระกูลหลิว เพราะเขายอมรับเงื่อนไขสองข้อของหลิวหรูเยียน ซึ่งเงื่อนไขสองข้อนั้นทำขึ้นเพื่อข้อตกลงที่มีร่วมกัน
ตราบใดที่ถอนกองทหารรักษาเมืองออกไปได้ เป้าหมายของเขาในครั้งนี้ถือว่าสำเร็จ
เมื่อหยวนจุนกลับมาที่ค่ายฝั่งเมืองเทียนอวิ่น เขาถูกล้อมไปด้วยกลุ่มนักยุทธ์ทันที ส่วนมู่เฟิงนั้นมีท่าทีสุภาพ การกระทำที่แสดงออกมาเต็มไปด้วยความชื่นชม
“ผลการประลองนี้ช่างเหลือเชื่อจริงๆ วันนี้หลังจากกลับไปเมืองเทียนอวิ่นแล้ว ตระกูลหลิวจะยกเลิกกองทหารรักษาเมืองทั้งหมด และคืนความมั่นคงให้กับเมือง!”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นดีใจของหลิวหรูเยียน นักยุทธ์ที่อยู่ใกล้เขาจึงถอยออกมาอย่างรู้หน้าที่ นางค่อยๆ เดินไปอยู่ตรงหน้าหยวนจุน ก่อนจะเอ่ยเบาๆ ด้วยรอยยิ้มว่า “แน่นอน ข้ายังเป็หนี้เ้าอีกหนึ่งอย่าง หากเ้า้าให้ข้าทำสิ่งใด โปรดบอกมาได้เลย”
คิ้วของหลิวหรูเยียนเปลี่ยนเป็อ่อนโยน แววตาแฝงความพึงพอใจไว้เล็กน้อย
“หากเ้ายังนึกไม่ออก เช่นนั้นข้าจะให้เวลาเ้า”
ท่าทางเยี่ยงสาววัยแรกแย้มของหลิวหรูเยียนที่น้อยครั้งจะได้เห็น ทำให้นักยุทธ์ของเมืองเทียนอวิ่นร่ำไห้เสียใจ อีกทั้งรอยยิ้มเช่นนั้นยิ่งทำให้พวกเขาไม่ต้องสงสัยเลยว่านางกำลังคิดสิ่งใดอยู่
“ดูเหมือนว่าหญิงงามหลิวหรูเยียนจะให้โอกาสหยวนจุนได้ใกล้ชิดตนเองสินะ เช่นนี้เรียกว่านำหมาป่าเข้าห้อง[1]ใช่หรือไม่! ฮาฮา”
เมื่อได้ยินคำพูดเหน็บแนมเช่นนี้ นอกจากหลิวหรูเยียนจะไม่โกรธแล้ว นางยังตอบกลับไปอย่างนุ่มนวลอีกว่า “บางเื่ควรเป็เื่ของคนสองคน แม้ข้าจะนำหมาป่าเข้าห้อง แต่หมาป่านั้นก็ทำให้ข้าสนใจได้ พวกเ้าว่าจริงหรือไม่?”
ทุกคนหัวเราะไม่หยุด ก่อนจะส่งสัญญาณไปยังหยวนจุนเพื่อบอกให้เขาปฏิบัติตนดีๆ เพราะนี่เป็โอกาสที่หาได้ยาก โอกาสดีอย่างนี้เขาต้องรีบคว้าไว้!
เมื่อเทียบกับค่ายที่มีชีวิตชีวาของฝั่งเมืองเทียนอวิ่นแล้ว ค่ายฝั่งเมืองลั่วฝานกลับเงียบสนิทอย่างเห็นได้ชัด นักยุทธ์หลายคนหมายหัวหยวนจุนว่าเป็ศัตรูตัวฉกาจ แต่พวกเขาย่อมรู้ว่าตนเองมิใช่คู่ต่อสู้ของหยวนจุน เพราะฉะนั้นจึงทำได้แค่เพียงเก็บความไม่พอใจไว้ในใจ
“ท่านพ่อ” เซียวหานค่อยๆ เดินไปอยู่ข้างๆ เซียวจั้นที่มีสีหน้าไร้อารมณ์และดูเหมือนจะโทษตนเอง
“ไปเถอะ นับแต่นี้เราไม่เกี่ยวข้องกับูเาสองแดนอีกแล้ว” เซียวจั้นเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ดูเหนื่อยล้าเล็กน้อย เขาขี่ม้าเขาเดียวเพื่อนำทางกลับไปยังเมืองลั่วฝาน
ขณะที่เซียวหานกำลังจะจากไป นางไม่ลืมที่จะหันกลับไปมองหยวนจุนและพึมพำว่า “ความอัปยศในวันนี้ ข้าจะจดจำมันไปชั่วชีวิต!”
หยวนจุนหันไปมอง ก่อนจะพบว่าเซียวหานกำลังจ้องมองเขาอยู่บนที่นั่ง้า เขาเห็นนางกัดฟันด้วยความโกรธแล้วเชิดหน้าออกไป จนเห็นแค่เพียงด้านหลังที่เหมือนกับภาพฝันภายใต้ควันและฝุ่น
สวีจิ้งกับนักยุทธ์อีกหลายคนยังอยู่ทีู่เาสองแดน พวกเขาคิดว่าจะทำความสะอาดสถานที่ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับพิธีแต่งตั้งตระกูลหลิวให้เป็ผูู้เาสองแดนอย่างเป็ทางการในอีกเจ็ดวันข้างหน้า
เมื่อหลิววั่นซาน หยวนจุน และอีกหลายคนกลับมาถึงเมืองเทียนอวิ่น พวกเขาได้ถูกกลุ่มนักยุทธ์ตระกูลเจียงเกือบสามสิบคนปิดล้อม
เจียงอิงผู้นำตระกูลเจียงยืนอยู่ชั้นบนสุดของโรงน้ำชาฝั่งตรงข้าม เขามองผู้คนที่กลับมาด้วยแววตาไร้อารมณ์ ร่างกายแผ่ไอแห่งความเหี้ยมโหดออกมา
โดยปกติแล้วหลิววั่นซานเป็ผู้ที่ควบคุมอารมณ์ได้ดีมาก แต่ด้วยพฤติกรรมหยาบคายของเจียงอิง ทำให้เขามีสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
“เจียงอิง วันนี้เป็วันสำคัญของเมืองเทียนอวิ่นในการประลองเพื่อชิงสิทธิ์ในการูเาสองแดน ตระกูลเจียงไม่เพียงแต่ไม่ส่งนักยุทธ์เข้าร่วม แต่ยังขวางทางยามกลับเมืองอีก เ้ามีเจตนาอย่างไรกันแน่?”
น้ำเสียงของหลิววั่นซานถูกปกคลุมไปด้วยปราณดารา เสียงดังเต็มไปด้วยพลัง นักยุทธ์บางคนที่พลังบ่มเพาะยังไม่ดีล้วนถูกเสียงนั้นทำให้เืออกปาก และสองขาอ่อนแรง
เจียงอิงที่มีระดับจันทราวงแหวนใหญ่ขั้นสี่ลงมาจากชั้นบนของโรงน้ำชา อากาศโดยรอบถูกเขาใช้เป็พลัง ซึ่งก่อให้เกิดคลื่นพลังที่รุนแรง ขณะเดียวกันสายตาของเขาก็จับจ้องไปที่หยวนจุน
“ผู้นำตระกูลหลิว หวังว่าเ้าจะไม่เข้ามายุ่งในสิ่งที่ข้ากำลังจะทำ นั่นจะเป็ผลดีกับเราทั้งสองคน!”
เจียงอิงยื่นมือใหญ่ออกไปในอากาศแล้วเล็งไปที่หยวนจุน จากนั้นก็มีเสียงปะทะในอากาศ พลังนั้นมีความโเี้ไม่น้อยไปกว่าวิชายุทธ์อื่นเลย
[1] สำนวน หมายถึง ชักศึกเข้าบ้าน
นิยายแนะนำจากท่านเทพเทียนเป่าตี้