“เ้าคิดว่าควรฝึกฝนพวกเขาด้วยวิธีการเช่นไร?”
หลินเมิ้งหยาครุ่นคิด ก่อนจะเอ่ย
“ส่งแม่ทัพไปยังเขตชายแดน เมื่ออยู่ในสมรภูมิรบจึงจะสามารถคิดหากลยุทธ์ในการต่อสู้ออกมาได้โดยเฉพาะการรักษาความมั่นคงในแถบจิงจีที่้ากลอุบายในการต่อสู้มากเป็พิเศษส่วนจือเจียง เขาเป็เสมือนม้ามืด ควรส่งเข้าไปอยู่ในราชสำนักของเมืองอื่นเขาจะได้เรียนรู้ทิศทางและวิธีการของผู้อื่น อีกทั้งยังสามารถเพิ่มพูนความรู้เข้าตัวถือว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว”
หัวใจของหลงเทียนอวี้กระตุกเล็กน้อย เขาเคยคิดเื่เหล่านี้มาก่อนอีกทั้งยังเคยลองเขียนออกมาแล้ว
แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าคนที่เข้าใจความคิดและจิตใจของเขาได้ดีที่สุดจะกลายเป็หลินเมิ้งหยา!
หลงเทียนอวี้นิ่งเงียบ เพิ่งจะนึกถึงเื่ความปลอดภัยของนางหลังจากที่ถูกจับตัวไปขึ้นมาได้
“เ้า...เหนื่อยหรือไม่?” พูดจบ หลงเทียนอวี้รู้สึกประหลาดใจ
ปกติเขาไม่เคยปลอบโยนใครมาก่อน โดยเฉพาะผู้หญิง
ดังนั้นเขาจึงเอ่ยออกมาด้วยประโยคโง่ๆ เช่นนี้
“หม่อมฉันสบายดีเพคะ หากท่านอ๋องเหนื่อยเชิญท่านพักผ่อนก่อนเถิดเพคะ”
หลินเมิ้งหยาส่งเสียงขุ่นเคืองเล็กน้อย เ้าบ้านี่ทั้งที่นางต้องเสี่ยงอันตรายมาทั้งคืน แต่พอกลับมาได้ไม่แม้แต่จะเอ่ยปลอบโยน
อีกทั้งยังถูกตราหน้าว่าเป็คนสอดแนมไม่เช่นนั้นนางคงไม่ต้องเอาชนะป๋ายหลี่อู๋เจียนเช่นนั้น
“ข้า...ไม่ได้หมายความเช่นนั้น อยู่ที่นี่ก่อนเถิดกินอาหารกลางวันด้วยกัน”
เขาเอ่ยเชิญชวนออกมาอย่างยากลำบาก
หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลง นางเองก็หิวจนไส้กิ่วแล้ว
ทั้งสองเดินออกจากห้องลับและกลับมายังห้องอ่านหนังสือ
กลิ่นหอมของข้าวสวยร้อนๆ โชยออกมา
หลินเมิ้งหยานั่งลงบนเก้าอี้มองดูปลากระรอกที่ส่งกำลังส่งกลิ่นหอมหวาน ซุปเห็ดและข้าวโพดสีใส รวมถึงอาหารอีกสี่ห้าอย่างที่ดูสวยงามน่ารับประทานนิ้วมืออดไม่ได้ที่จะขยับ
“เพราะเหตุนี้ท่านอ๋องจึงสั่งให้ห้องครัวตระเตรียมอาหารมากเป็พิเศษที่แท้ก็เพราะพระชายาเองก็มาเสวยด้วยกันที่นี่”
พ่อบ้านเติ้งพูดติดตลก ทว่าหัวใจของหลินเมิ้งหยากลับกระตุกระรัว
แม้จะเข้าใจอุปนิสัยเ็าของหลงเทียนอวี้เป็อย่างดีแต่ว่า...หัวใจดวงเล็กๆ ของนางก็ยังคงสั่นไหว
หลินเมิ้งหยาดื่มด่ำกับรสชาติอาหาร คนเราเมื่อหิวไม่ว่าจะกินอะไรก็อร่อยไปหมด
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันมีเื่้าปรึกษาพระองค์เพคะ”
หลินเมิ้งหยากัดตะเกียบ พยายามแสดงสีหน้าท่าทางใสซื่อ
หลงเทียนอวี้จ้องมองนาง คิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อยทุกครั้งที่หลินเมิ้งหยาแสดงสีหน้าท่าทางเช่นนี้ มักจะไม่ใช่เื่ดีเลยแม้แต่น้อย
“พูดมา มีเื่อะไร?”
หลินเมิ้งหยาหัวเราะ
“สาวใช้ที่หม่อมฉันซื้อมาจากหยาหางควรจะแจกจ่ายงานได้แล้วหรือยังเพคะ?” หลินเมิ้งหยาเอ่ยออกมาลอยๆอันที่จริงนางคิดว่าที่จวนแห่งนี้มีเพียงพวกนางไม่กี่คนอาศัยอยู่ดังนั้นมันจึงดูอ้างว้างเหลือเกิน
“เ้าเป็ผู้ซื้อมา เ้าเป็คนจัดการก็แล้วกัน”
เื่ของภายใน หลงเทียนอวี้ไม่เคยคิดเข้าแทรกแซง
งานในตำหนักอวี้แห่งนี้ ส่งมอบให้หลินเมิ้งหยาและหมู่เฟยแล้วดังนั้นปล่อยให้พวกนางเป็ผู้จัดการก็แล้วกัน
“เพคะ ขอบพระทัยท่านอ๋อง หม่อมฉันกินอิ่มแล้ว ท่านค่อยๆ เสวยนะเพคะ”
หลินเมิ้งหยาเป็คนจริงจังมาก เมื่อได้รับคำอนุญาตจากหลงเทียนอวี้แล้วนางจึงวางชามข้าวลง จากนั้นวิ่งออกไป
โต๊ะอาหารจึงเหลือเพียงหลงเทียนอวี้คนเดียว มิรู้ว่าเพราะเหตุใดทั้งที่อาหารยังคงเหมือนเดิม แต่เมื่อกินเข้าไปกลับไร้รสชาติไม่เหมือนเมื่อครู่
“คุณหนูยังจะคัดเลือกสาวใช้จริงๆ หรือเ้าคะ?หรือป๋ายจื่อไม่ดีตรงไหนหรือเ้าคะ ท่านไม่พอใจข้าหรือ?”
ภายในสวนสาวใช้ที่ถูกนำตัวกลับมาในวันนั้นยืนเรียงกันเป็สองแถวเพื่อรอให้นางซึ่งเป็นายหญิงคัดเลือก
“ไม่ใช่หรอก ข้าคิดว่าจวนของพวกเราเย็นะเืจนเกินไป อีกอย่างเ้าเพียงคนเดียวมิอาจดูแลทั้งข้าและเสี่ยวอวี้ได้หรอกถ้าเ้าเหนื่อยตายไปจะทำเช่นไร?”
ตบมือของนางเบาๆ ยังไม่ทันจะเริ่มก็หึงเสียแล้ว
เหตุใดคนของนางจึงมีจิตใจเปราะบางเช่นนี้นะ?
“อ๋อ ก็ได้เ้าค่ะแต่อาหารการกินของคุณหนูจะต้องเป็ข้าดูแลเพียงเท่านั้นนะเ้าคะ!”
ป๋ายจื่อยังคงมีนิสัยของเด็กน้อย ปลอบเพียงไม่กี่ครั้งก็หายแล้ว
เหล่าสาวใช้ต่างยืนตัวตรงอย่างเชื่อฟัง
เมื่อแสงอาทิตย์สะท้อนลงบนศีรษะ ทั้งที่ยืนยังไม่ถึงครึ่งชั่วโมงหยาดเหงื่อก็ผุดออกมาดั่งสายฝนเสียแล้ว
หลินเมิ้งหยานั่งอยู่หน้าประตู หรี่ตามองสาวใช้ที่เริ่มลดน้อยลง
มีเพียงคนที่หยัดยืนเป็คนสุดท้ายเท่านั้นจึงจะสามารถเข้ามารับใช้ภายในตำหนักของนางได้อีกทั้งนางยัง้าใช้โอกาสนี้ในการสำรวจว่าคนเหล่านี้มีความสามารถเช่นไร
หากสามารถเข้ามาอยู่ข้างกายนางได้ คนคนนั้นจะกลายเป็คนสนิทของนาง
สาวใช้จากสามสิบกว่าคนลดเหลือเพียงสิบกว่าคน
หลินเมิ้งหยาเอ่ยเพียงสองสามประโยคเพื่อให้น้าจิ่นเยว่ออกไปถ่ายทอดคำสั่ง
“คนที่เดินออกไปแล้ว ทุกคนจะได้รับเงินสามตำลึง ผ้าหนึ่งผืนเนื้อสดสองกรัมเป็ค่าตอบแทน ไปรับที่คลังเถอะ ส่วนคนที่ยังเหลืออยู่ให้เข้ามาภายในนายหญิงมีเื่จะถาม”
คิดไม่ถึงเลยว่าผู้หญิงที่ถูกคัดออกจะได้รับรางวัลเช่นนี้
ครู่ต่อมาจึงเข้าไปรับรางวัลด้วยความพึงพอใจ
ทว่าอีกสิบกว่าคนที่เหลือกลับไม่รู้สึกผิดหวัง พวกนางกลับยิ่งอยากเป็คนในตำหนักของหลินเมิ้งหยา
สิบกว่าคนนั้นเดินเข้าไปภายในหลินเมิ้งหยานั่งอยู่ด้านหลังม่านกั้น ไม่อาจมองเห็นใบหน้าของนางได้
“พวกเ้าเองก็รู้ว่าจวนอวี้แห่งนี้แตกต่างจากที่อื่นจวนแห่งนี้ค่อนข้างใหญ่ เื่กระจุกกระจิกค่อนข้างมาก บอกมาสิว่าพวกเ้ามีความชำนาญการในด้านใดบ้าง”
ทุกคนต่างรู้สึกเหมือนกันว่านายหญิงผู้นี้มีน้ำเสียงอ่อนเยาว์เหลือเกิน
ตอนที่ได้เจอในหยายางพวกนางได้เห็นเพียงเล็กน้อยและรู้ว่านางคือพระชายาที่มีใบหน้างดงามราวกับนางฟ้าแต่ถึงอย่างนั้นพวกนางไม่กล้าสบตาแต่อย่างใด
“นายหญิงบอกให้พวกเ้าตอบ ตามกฎแล้วจะต้องตอบในทันทีแต่เพราะพวกเ้าเป็คนใหม่ ดังนั้นจะยังไม่ถือสาหาความ”
แม้น้าจิ่นเยว่จะอายุไม่มาก แต่นางกลับมีลักษณะท่าทางของนางในในวังหลวง
ได้เห็นเหล่าสาวใช้ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา ทว่ากลับตอบกลับอย่างตรงไปตรงมาทีละคน
อันที่จริงพวกนางไม่มีความชำนาญการอื่นใดนอกจากงานเย็บปักถักร้อยหรืองานฝีมืออื่นๆ
หลินเมิ้งหยาที่ได้ฟังจึงสั่งให้จิ่นเยว่นำตัวออกไปทดสอบ
ทนทรมานตลอดทั้งบ่าย เมื่อถึงเวลาอาหารเย็นสาวใช้สองคนจึงถูกพาตัวมาถวายคำนับ
“ถวายคำนับพระชายา เด็กสองคนนี้ คนหนึ่งชื่อว่าเสี่ยวหว่านอีกคนชื่อว่าเสี่ยวหนิง หม่อมฉันเห็นว่าพวกนางทำงานได้อย่างคล่องแคล่วอีกทั้งยังทำงานได้หลายอย่างจึงพามาขอเข้าเฝ้าเพคะ”
หลินเมิ้งหยามองสาวใช้ทั้งสอง เด็กที่ชื่อเสี่ยวหว่านมีหน้าตาสวยงามท่าทางเป็คนรักสงบ
กลับกันกับเสี่ยวหนิง ใบหน้ารูปไข่เป็ทรงสวยดวงตาเรียวยาวดั่งนกการเวก ท่าทางฉลาดเฉลียว
นางเหมือนกับตัวละครในหนังอย่างไรอย่างนั้น
ตำหนักของนางมิควรมีเพียงสาวใช้ใสซื่อ แต่ควรมีคนเก่งกาจเพื่อจะได้ไม่ถูกกลั่นแกล้งเอาง่ายๆ
“ถวายคำนับพระชายา”
หญิงสาวทั้งสองเพิ่งเคยเดินผ่านประตูสูงและตำหนักใหญ่โตโอ่อ่าเป็ครั้งแรกดังนั้นจึงรู้สึกตื่นเต้นเป็อย่างมาก
คุกเข่าลงกับพื้น สายตาได้เห็นเพียงเท้าเล็กที่กำลังสวมใส่รองเท้าปักดิ้นทองลายหงส์
แอบชำเลืองมองแต่พวกนางกลับได้เห็นรอยยิ้มอ่อนโยนประดับอยู่บนใบหน้าเรียวเล็กรูปไข่
์โปรด เหตุใดพระชายาพระองค์นี้จึงยังดูเด็กกว่าพวกนางเสียอีก?
“ลุกขึ้นเถิด ข้าหาได้มีกฎระเบียบอันใดมากมายนักขอเพียงต่อจากนี้ไปพวกเ้าต้องเชื่อฟังคำสั่งเท่านั้นข้าไม่มีทางปฏิบัติไม่ดีต่อพวกเ้า”
ใบหน้านวลเอ่ยด้วยรอยยิ้มติดตลก สายตาพลันชำเลืองมองร่างของพวกนางที่กำลังสั่นเทิ้มสงสัยน้าจิ่นเยว่จะต้องพูดสั่งสอนอะไรพวกนางมาอย่างแน่นอน
ถ้าเช่นนั้นนางจะรับบทคนดีเองก็แล้วกัน
“เพคะ นายหญิง”
ลุกขึ้นยืนตรงหน้าหลินเมิ้งหยาอย่างเชื่อฟัง จากนั้นนางจึงลอบสำรวจสาวใช้ทั้งสอง
“จากนี้ไปเสี่ยวหว่านจงเปลี่ยนชื่อเป็ป๋ายจีเสี่ยวหนิงเปลี่ยนชื่อเป็ป๋ายซ่าว พวกเ้าจะกลายเป็สาวใช้ระดับหนึ่งส่วนงานบ้านงานเรือนให้น้าจิ่นเยว่คอยสั่งสอน”
“เพคะ ขอบพระทัยนายหญิง”
มุมปากและหางตาของสาวใช้ทั้งสองผุดรอยยิ้มขึ้น
การได้เข้ามาเป็สาวใช้ระดับหนึ่งของตำหนักแห่งนี้เปรียบเสมือนพวกนางมีบุญเก่าติดตัวมา
ขณะที่น้าจิ่นเยว่กำลังคิดจะพาสาวใช้ทั้งสองออกไปพ่อบ้านเติ้งกลับวิ่งเข้ามาภายในด้วยใบหน้าร้อนใจ
“ถวายคำนับพระชายา ทูลพระชายาฮองเฮาเหนียงเหนียงสั่งให้ขันทีนำเ้าแม่กวนอิมมาถวายพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
ฮองเฮา?
ภาพใบหน้าน่าเกรงขามแต่กลับสง่างามทว่าแฝงไว้ซึ่งเล่ห์เหลี่ยมผุดขึ้นมาในสมองของหลินเมิ้งหยา
เหตุใดอยู่ดีๆ ก็ส่งเ้าแม่กวนอิมมาให้นางกัน?
“อืม น้าจิ่นเยว่และป๋ายจื่อจงไปด้วยกันกับข้า”
นางพยักหน้าลง จากนั้นพาทั้งสองพร้อมทั้งพ่อบ้านเติ้งออกจากประตูตำหนักไป
ไม่ว่าจะมีแผนลวงหรือไม่แต่ฮองเฮาเหนียงเหนียงใช่จะลงโทษผู้อื่นได้ง่ายๆ
“ถวายคำนับพระชายาพวกกระหม่อมได้รับคำสั่งจากฮองเฮาเหนียงเหนียงให้นำพระพุทธรูปเ้าแม่กวนอิมมาถวายให้พระชายาพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงของขันทีดังขึ้นหลินเมิ้งหยารีบสั่งให้ป๋ายจื่อเข้าไปรับพระพุทธรูปเ้าแม่กวนอิมที่ถูกวางไว้ในกล่องไม้สีแดง
“ลำบากกงกง1แล้ว ดึกขนาดนี้ยังต้องเดินทางมาด้วยตนเองอีก”
กงกงล่วงรู้ถึงความสัมพันธ์ระหว่างนายของตนเองและเหล่าเ้านายในตำหนักแห่งนี้ดีว่าเป็เช่นไร
“เชิญพระชายาลองเปิดดูก่อนเถิด หนู่ฉาย2จะได้กลับไปรายงาน”
หลินเมิ้งหยารู้สึกได้ถึงความผิดปกติทว่านางกลับไม่อาจพูดได้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร
ก็ดีเหมือนกัน หากเ้าแม่กวนอิมองค์นี้มีความผิดปกติอันใดนางจะได้รับมือทัน
เพียงเปิดกล่องไม้สีแดงออก กลิ่นหอมของไม้จันทน์ที่โชยออกมาทำให้หัวใจของทุกคนสงบนิ่ง
แม้จะเป็เพียงเ้าแม่กวนอิมแกะสลักเท่านั้นแต่กลับเลียนแบบได้อย่างเหมือนจริง ที่แท้ก็ไม่ใช่ของเก๊
“ในเมื่อพระชายาได้เห็นแล้ว หนู่ฉายก็สามารถกลับไปทูลฮองเฮาได้แล้วหนู่ฉายทูลลา”
ขันทีรีบร้อนกลับออกไปราวกับว่าหากยังอยู่ต่อจะถูกจับกินอย่างไรอย่างนั้น
“นายหญิง จะจัดการพระพุทธรูปองค์นี้อย่างไรดีเพคะ?” อยู่ในวังหลังมานานหลายปีฮองเฮามักจะลอบทำร้ายพระสนมเต๋อเฟยอยู่เสมอ แต่สุดท้ายเหตุร้ายก็กลายเป็ดี
ดังนั้นจิ่นเยว่จึงไร้ซึ่งภาพความประทับใจต่อคนใจดำอำมหิตคนนั้น
“เอาไปวางไว้ที่ห้องข้าก่อน พรุ่งนี้หาผู้เชี่ยวชาญลองมาส่องดูหากไม่มีอันตรายใดๆ ก็นำไปวางไว้ในหอพระ”
หลินเมิ้งหยาเหลือบมองกล่องไม้อีกครั้ง เหตุใดนางจึงรู้สึกว่าแปลกกันนะ?
“พวกเ้าเองก็เข้ามาดูสินี่เป็เ้าแม่กวนอิมที่ฮองเฮาเหนียงเหนียงส่งมอบให้เลยนะ! “
ป๋ายจื่อกลับไปยังตำหนักจากนั้นยกกล่องไม้สีแดงในมือให้กับป๋ายจีและป๋ายซ่าวดู
จิ่นเยว่รีบกลับไปยังตำหนักหยาเสวียนเพื่อรายงานพระสนมเต๋อเฟยดังนั้นสาวใช้ทั้งสองจึงถูกทิ้งไว้ในตำหนักแห่งนี้
ทั้งสามไม่กล้าแตะต้องเ้าแม่กวนอิมทั้งสามพากันพูดคุยถกเถียงเื่เ้าแม่กวนอิมองค์นี้
“สมแล้วที่เป็เสมือนของเล่นของคนในวัง นี่มันของมีราคา!”
ป๋ายซ่าวเป็คนร่าเริง ป๋ายจื่ออายุน้อยที่สุดไม่นานพวกนางทั้งสองก็สนิทสนมกัน
***********************
1 กงกงคือคำเรียกขานขันที
2 หนู่ฉายคือสรรพนามแทนตัวของบ่าวรับใช้เวลาพูดกับเ้านายหรือผู้มีอำนาจเหนือกว่า