ระหว่างที่ถูกองครักษ์พาตัวออกไป เฟิ่งสือจิ่นรู้สึกจุกจนแทบจะหายใจไม่ออก ในที่สุดน้ำตาที่กลั้นมานานก็ร่วงริน น้ำใสๆ หยดแล้วหยดเล่าไหลลงมาจากคาง โดยที่นางไม่อาจหยุดยั้งมันได้เลย น่าเสียดายที่ซูกู้เหยียนมองไม่เห็น
ฝนในฤดูใบไม้ผลิของเมืองเปี้ยนจิง เมื่อเริ่มตกแล้วก็ยากที่จะหยุดลง เพราะฝนตก ผู้คนบนถนนจึงเดินสัญจรกันอย่างเร่งรีบ ทั้งที่เมืองเปี้ยนจิงกว้างใหญ่ถึงเพียงนี้ แต่เฟิ่งสือจิ่นกลับไม่รู้ว่าจะไปที่ใด นางไม่ได้กลับเขาจื่อหยาง ทว่าเลือกที่จะท่องไปตามโรงสุราซึ่งพบเห็นได้ทั่วเมืองแทน ระหว่างนี้ นางมีสติบ้าง เมาจนหัวราน้ำบ้าง แถมยังต้องฟังคนอื่นๆ พูดเื่งานวิวาห์อันแสนยิ่งใหญ่ของเฟิ่งสือหนิงกับซูกู้เหยียน ซึ่งจัดขึ้นติดต่อกันหลายวันซ้ำแล้วซ้ำอีก
คืนนี้ ยามนี้ฝนหยุดตกแล้ว แต่หยดฝนที่ค้างอยู่บนหลังคากลับยังตกลงมาไม่ขาดสาย คนที่ยังอยู่ในโรงสุราในเวลาเช่นนี้ ต่างก็เป็คนขี้เมาที่ชอบดื่มจนไม่เอาการเอางานทั้งนั้น เฟิ่งสือจิ่นตื่นขึ้นมาอีกครั้งภายใต้เสียงเอะอะโวยวายของขี้เมาทั้งหลาย แสงไฟสีเหลืองอ่อนทำให้ผิวพรรณของนางแลดูขาวเนียนไม่ต่างไปจากหยกชั้นดี นิ้วเรียวเคาะลงบนโต๊ะเบื้องหน้าหลายครั้ง นางกำลังสั่งให้พนักงานในร้านนำสุรามาเพิ่มนั่นเอง
เถ้าแก่ของโรงสุรากำลังคิดบัญชีอยู่ในร้าน เขาหันไปกระซิบบางอย่างกับพนักงานคนหนึ่ง ก่อนพนักงานคนดังกล่าวจะวิ่งเข้ามาหาเฟิ่งสือจิ่นด้วยท่าทางรีบร้อน อีกด้าน เมื่อรับรู้ถึงความเคลื่อนไหว เฟิ่งสือจิ่นก็ยกมือขึ้นยันที่ใต้คางเพื่อให้ตนเงยหน้าขึ้น พลางเปิดตาขึ้นเล็กน้อย นางมองพนักงานเบื้องหน้าพลางพูดด้วยท่าทางมึนเมา “สุราของข้าล่ะ?”
พนักงานคนดังกล่าวพูดตอบ “แม่นาง เถ้าแก่ให้ท่านจ่ายเงินค่าสุราของวันนี้ก่อน ทางร้านจึงจะนำสุรามาเพิ่มให้”
เฟิ่งสือจิ่นคลำที่ข้างเอวอยู่ครู่หนึ่ง แต่กลับพบเพียงความว่างเปล่า จำได้ว่าตอนลงจากเขาจื่อหยาง นางพกเงินมาด้วยนี่นา คงจะหมดไปกับค่าสุราตลอดหลายวันที่ผ่านมาแล้วกระมัง แต่ถึงกระนั้นนางก็ไม่ได้ใส่ใจนัก “ข้าไม่มีเงิน”
ท่าทีของพนักงานเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง เขาพูดอย่างโกรธเกรี้ยว “ไม่มีเงิน? ไม่มีเงินแล้วยังกล้ามาดื่มสุราในนี้อีกหรือ?”
เสียงตวาดของเขาทำให้ขี้เมาหลายคนที่นั่งอยู่โต๊ะข้างๆ หันมาสนใจทางนี้
เฟิ่งสือจิ่นไม่มีท่าทีรีบร้อนใดๆ ทั้งสิ้น นางยกมือเท้าคางพลางส่งประกายรอยยิ้มที่งดงามและน่าหลงใหลออกมา มันเป็รอยยิ้มที่ทรงเสน่ห์จนยากจะพรรณนา เมื่อนางฉายรอยยิ้ม ความงามของนางก็แทบจะทำให้โรงสุรามืดลงทันตา ราวกับว่าความงดงามทั้งหมดในโลกถูกรวมอยู่ในตัวนางจนหมดแล้ว แม้แต่พนักงานในร้านก็ยังต้องหยุดชะงักเพราะรอยยิ้มนี้ เฟิ่งสือจิ่นบอก “แต่ซูกู้เหยียนมีเงินนี่ ไปหาเขาสิ ในอดีต หากมาดื่มสุราด้วยกัน เขามักจะเป็คนจ่ายเสมอ”
เมื่อได้ยินชื่อขององค์ชายสี่ พนักงานจึงได้สติกลับมา เขาโกรธยิ่งกว่าเดิม “ไม่มีเงินก็ยอมรับมาตรงๆ เถอะ อย่าอ้างถึงคนนั้นคนนี้ไปเรื่อย องค์ชายสี่เป็คนที่เ้าจะยกมาอวดอ้างว่าสนิทกันได้หรืออย่างไร? ตกลงเ้าจะยอมจ่ายเงินมาดีๆ หรือไม่!”
เฟิ่งสือจิ่นตอบ “ข้าไม่มีเงิน เอาแบบนี้เถอะ ข้าให้พวกเ้าซ้อมเพื่อระบายความโกรธ หรือจะแจ้งความจับข้าก็ได้ หรือไม่... หรือไม่ก็ไปเอากับซูกู้เหยียน”
คนแบบเฟิ่งสือจิ่นคือคนที่โรงสุราขยาดมากที่สุดแล้ว เพราะคนแบบนี้มักจะไม่รับผิดชอบต่ออะไรทั้งนั้น ไม่กลัวถูกตี ไม่กลัวถูกทางการจับ โดยส่วนมาก คนเช่นนี้มักไม่มีที่ไป ดังนั้น แม้จะถูกจับ แต่อย่างน้อย การเข้าไปอยู่ในคุกก็ยังดีกว่าต้องร่อนเร่พเนจรอย่างไร้จุดหมาย ทางด้านของพนักงานคนดังกล่าว เมื่อได้ยินนางพูดเช่นนั้นก็จนปัญญา จำต้องเข้าไปขอคำปรึกษาจากเถ้าแก่อีกครั้ง
เถ้าแก่บอก “ซ้อมให้หนักแล้วโยนออกไป”
หมัดและฝ่าเท้าหนักๆ กระทบลงบนร่างของเฟิ่งสือจิ่น แต่นางกลับทำเหมือนไม่รู้สึกเ็ปเช่นนั้น ก็อย่างว่า แม้แต่หัวใจก็ยังด้านชาไปแล้ว นับประสาอะไรกับร่างกาย เมื่อนางถูกโยนออกมาจากโรงสุรา ถูกโยนลงบนถนนเปียกแฉะที่หน้าประตู น้ำที่ขังอยู่บนพื้นก็ทำให้กระโปรงสกปรกๆ ของนางเปียกโชกไปหมด ความหนาวเย็นที่ถาโถมเข้ามาอย่างกะทันหันทำให้ร่างบางสั่นเทาขึ้น แต่ถึงกระนั้น ที่ปากก็ยังพึมพำชื่อหนึ่งไม่หยุด “ซูกู้เหยียน...”
ขี้เมาหลายคนเดินออกมาจากโรงสุรา พวกเขายื่นเงินให้พนักงานคนนั้นพลางพูดขึ้น “เ้าหนุ่ม ปรองดองเข้าไว้ชีวิตถึงจะเจริญ ไยต้องลงไม้ลงมือกันด้วย ข้าจะจ่ายเงินค่าสุราแทนนางเอง”
ขี้เมาทั้งหลายนั่งยองๆ ข้างเฟิ่งสือจิ่น พวกเขาเขย่าเพื่อปลุกนาง แต่นางก็ยังเอาแต่นิ่ง ไม่ตอบสนองใดๆ กลับมา และยังคงพึมพำชื่อของซูกู้เหยียนออกมาไม่หยุด เมื่อเห็นดังนั้น ขี้เมาทั้งหลายจึงพยุงร่างของเฟิ่งสือจิ่นขึ้นพลางพูดด้วยรอยยิ้มเ้าเล่ห์ “ไป ข้าจะพาเ้าไปหาซูกู้เหยียนเอง”
“ซูกู้เหยียน...” เฟิ่งสือจิ่นถูกพยุงออกไป นางรู้สึกแขนขาอ่อนแรง เมื่อคิดถึงคนผู้นั้น ความสิ้นหวังและปวดร้าวที่มากคล้ายไม่มีวันจบสิ้นก็ถาโถมเข้ามาอีกครั้ง เพราะทนไม่ไหว นางจึงร้องไห้โฮออกมากลางดึก
ขี้เมาทั้งหลายพูดปลอบใจ “โถ แม่ยอดยาหยี อย่าร้องไห้ไปเลย หัวใจข้าเจ็บไปหมดแล้ว อีกเดี๋ยวเ้าก็ไม่ต้องร้องไห้แล้ว ข้ารับประกันได้เลยว่าเ้าต้องมีความสุขจนหัวเราะออกมาแน่”
พนักงานของโรงสุรายืนอยู่หน้าประตู เขามองเฟิ่งสือจิ่นถูกขี้เมาหลายคนพาออกไปต่อหน้าต่อตา ต่อให้จะโง่เง่าแค่ไหน เขาก็รู้ว่านี่หมายถึงอะไร คืนนี้เฟิ่งสือจิ่นต้องถูกรังแกแน่ เพราะความสงสาร เขาจึงไปบอกกับเถ้าแก่ “เถ้าแก่ พวกเราไปแจ้งความดีหรือไม่ แม่นางคนนั้นถูกพาไปแบบนี้ ต้องเป็อันตรายแน่!”
เถ้าแก่เงยหน้าขึ้นอย่างเ็า เขามองคนตรงหน้าพลางตอบ “ต่อให้เ้าวิ่งไปแจ้งที่ศาลเสียเดี๋ยวนี้เลย แต่ระหว่างทางต้องใช้เวลาตั้งเท่าไร รอให้คนของศาลตื่นจากเตียงเพื่อมารับคดีความต้องใช้เวลาเท่าไร แล้วการออกไปตามหาร่องรอยของนางอีกเล่า ต้องใช้เวลาอีกเท่าไร?”
พนักงานนิ่งเงียบลง นั่นสินะ ต่อให้จะไปแจ้งความเสียเดี๋ยวนี้ก็ช่วยแม่นางคนนั้นไม่ทันอยู่ดี
เถ้าแก่บอก “พวกเราก็เป็แค่พ่อค้าตัวเล็กๆ อย่าไปยุ่งเื่ของชาวบ้านเขาเลย”
ถนนหนทางมืดมิด มีเพียงร้านค้าที่ตั้งอยู่สองข้างทางเท่านั้น ที่พอจะมีโคมไฟจุดให้แสงสว่างอยู่หน้าร้านประปราย แสงรำไรส่องลงบนถนนขรุขระ ความเปียกชื้นทำให้พื้นมันเงาไปหมด นั่นยิ่งทำให้ราตรีนี้แลดูเงียบเหงาและหดหู่มากขึ้น
เฟิ่งสือจิ่นนั่งอยู่ข้างทาง เพราะฤทธิ์สุรา นางจึงอาเจียนออกมาอย่างอดไม่ได้ ร่างบางประคองผนังเย็นะเืเอาไว้ และอาเจียนอย่างหนัก ราว้าจะคายตับไตไส้พุงออกมาให้หมด ขี้เมาหลายคนที่เดินตามมา เมื่อเห็นว่านางแทบจะไม่มีแรงยืนแล้ว จึงส่งสายตาให้พวกพ้อง เพียงไม่นาน พวกเขาก็ช่วยกันลากเฟิ่งสือจิ่นเข้าไปในซอยที่ทั้งเปลี่ยวและมืดมิด
ขี้เมาทั้งหลายไม่รอช้า พวกเขากดให้นางนอนติดกับผนัง แล้วเริ่มฉีกทึ้งเสื้อผ้าบนร่างบางทันที
“ซูกู้เหยียน...” ในตอนแรก เฟิ่งสือจิ่นยังไม่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น ยังเอาแต่เรียกชื่อนั้นไม่หยุด
คำพูดที่ทั้งหยาบคายและลามกของขี้เมาทั้งหลายดังขึ้นในซอยแคบพร้อมกับเสียงหัวเราะที่น่ารังเกียจ “คิดไม่ถึงเลยว่าในเวลาแบบนี้ จะมีผู้หญิงมาให้พวกเราระบายอารมณ์ถึงที่” ในขณะเดียวกัน เกี้ยวคันหนึ่งหยุดลงที่หน้าซอย ที่สี่ทิศของเกี้ยว มีโคมไฟที่ส่องแสงนวลตาจุดอยู่ทิศละอัน
“ฮูหยิน สั่งให้คนไปดูหน่อยไหมเ้าคะ?”
ม่านหน้ารถม้าถูกเปิดออกเบาๆ เผยให้เห็นดวงตาคมกริบคู่หนึ่ง เ้าของดวงตามองเข้าไปในซอยชั่วครู่ ก่อนจะพูดขึ้น “รอก่อน”
ขี้เมาในซอยเปลี่ยวคล้ายจะไม่พอใจในเื่บางอย่าง เสียงตบหน้าดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ดังขึ้นพร้อมกัน ยังมีเสียงคำรามต่ำด้วยความโกรธของขี้เมาอีกด้วย “นังสารเลว! เ้าคิดว่าจะหนีพ้นหรือ ข้าจ่ายค่าสุราแทนเ้า เ้าย่อมต้องบำเรอข้าแทนคำขอบคุณเป็ธรรมดา!” เขาตบหน้าเฟิ่งสือจิ่นอีกครั้ง “หากเ้ายอมดีๆ พวกเราจะไว้ชีวิตเ้า แต่หากยังต่อต้านอีก ก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจก็แล้วกัน! จับนางเอาไว้ กดนางให้แน่น!”
ต่อจากนั้น ซอยเปลี่ยวก็เหลือเพียงเสียงดิ้นทุรนทุรายที่แสนแ่เบากับเสียงหอบหายใจของเฟิ่งสือจิ่น
“ฉึก...!”
เสียงปริศนาดังขึ้นหลายครั้ง ก่อนซอยมืดจะจมเข้าสู่ความเงียบสงัด ไม่นานก็มีเสียงกรีดร้องดังขึ้นตามมา มันเป็เสียงที่อัดแน่นไปด้วยความหวาดผวา เป็เสียงของชายขี้เมาคนนั้นนั่นเอง เขาร้องคำรามพลางวิ่งกุลีกุจอออกมา ราวเื้ัมีผีไล่ตามอยู่เช่นนั้น น่าเสียดายที่วิ่งไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็ร้องทุรนทุรายออกมา ทว่าไม่นานเสียงนั้นก็เงียบลงอีกครั้ง รอบด้านจึงจมเข้าสู่ความเงียบสงบดังเดิม
ความเงียบปกคลุมเนิ่นนาน ราวไม่มีใครอยู่ในนั้น คล้ายสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เป็แค่ฝันร้ายเท่านั้น