เฟิ่งสือหนิงตั้งสติ แสร้งทำเหมือนใจเย็น นางส่งประกายรอยยิ้มที่แสนจะแข็งกระด้างออกมา พลางพูดขึ้น “สือจิ่น ทำไมเ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้...”
หญิงตรงหน้ามีรูปโฉมเหมือนกับคุณหนูรองแห่งตระกูลเฟิ่ง เฟิ่งสือหนิงทุกอย่าง เพียงแต่ คนหนึ่งงดงามน่าหลงใหล อีกคนหยิ่งทะนงและดื้อดึง นางก็คือสือจิ่น ซึ่งฝึกวิชากับอาจารย์บนเขาจื่อหยางมานานหลายปีนั่นเอง นางขี่ม้าฝ่าสายฝนแรมวันแรมคืนเพื่อเดินทางกลับมาที่เมืองหลวง คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่เจอในความฝันจะกลายเป็ความจริง คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่รอนางอยู่จะเป็เหตุการณ์เช่นนี้
เฟิ่งสือจิ่นกล่าว “หากข้าไม่มา จะรู้ได้อย่างไรว่าพวกเ้าแต่งงานกันวันนี้ หากข้าไม่มา จะเห็นเื่ดีๆ แบบนี้ได้อย่างไร ถ้าข้าไม่มา ความฝันของเ้าก็คงเป็จริงไปแล้วใช่หรือไม่?”
“ข้า...” เฟิ่งสือหนิงอยากอธิบาย “ไม่ใช่อย่างนั้น...”
เฟิ่งสือจิ่นฉีกยิ้มขึ้น “มีเื่ดีๆ แบบนี้ ทำไมไม่ส่งบัตรเชิญไปให้ข้าเสียหน่อยเล่า เพราะกลัวว่าข้าจะมาร่วมงานหรือ?” นางะโลงจากหลังม้า ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่เบื้องหน้าซูกู้เหยียนแล้วเงยหน้ามองเขา ผ่านไปสามปี ซูกู้เหยียนสูงขึ้น ใบหน้านิ่งเรียบและเ็า เป็เหมือนภาพทิวทัศน์ของฟ้าหลังฝนที่ไร้แสงแดด นางพูดขึ้น “คิดไม่ถึง ว่าเ้าที่มักจะสวมชุดขาวอยู่เสมอ จะงดงามเช่นนี้เมื่ออยู่ในชุดสีแดง ซูกู้เหยียน ไม่เจอกันนานเลยนะ”
ทั้งที่มีใบหน้าเหมือนกัน แต่สายตาที่ซูกู้เหยียนมองไปยังเฟิ่งสือจิ่นกลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง มันเป็สายตาที่ทั้งเ็าและเคร่งขรึม ทว่าไม่มีความรู้สึกใดๆ ผสมอยู่เลยสักนิด เขาพูดขึ้น “เฟิ่งสือจิ่น ไม่เจอกันนาน เดิมที สือหนิงอยากเชิญเ้ามาร่วมงานด้วย แต่เพราะเห็นว่าเ้ากำลังฝึกวิชากับท่านราชครูอยู่บนเขา เลยไม่อยากไปรบกวน แต่ในเมื่อเ้ามาแล้ว เช่นนั้นก็อยู่ร่วมงานวิวาห์ของข้ากับสือหนิงเถอะ ไม่ได้เจอกันนาน สือหนิงคิดถึงเ้ามาก”
ความรู้สึกทั้งหมดของเฟิ่งสือจิ่นถูกท่าทีเ็าของซูกู้เหยียนกระตุ้นและกดข่มในเวลาเดียวกัน ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้นางแทบจะควบคุมตัวเองไม่อยู่ นางพยายามอย่างหนักเพื่อให้ตนไม่เผลอแสดงด้านที่น่าสงสารและน่าสมเพชออกมา ความเข้มแข็งที่มีบังคับให้นางกลั้นน้ำตาที่กำลังจะรินไหลเอาไว้ และบังคับให้ดวงตาสีแดงก่ำคู่นั้นแสดงออกเพียงความโกรธเกรี้ยวและริษยาเท่านั้น เฟิ่งสือจิ่นชี้ไปที่เฟิ่งสือหนิงพลางถามซูกู้เหยียน “ทำไมถึงแต่งงานกับนาง? ก่อนข้าจะไป เ้าเคยพูดเอาไว้ว่าอย่างไร เ้าบอกว่าจะรอข้ากลับมา บอกว่าเมื่อข้ากลับมาแล้ว เ้าจะฟังคำอธิบายจากข้า จะให้ข้าอธิบายเื่ราวทั้งหมดให้เ้าฟัง! แต่ตอนนี้เ้ากำลังจะแต่งงานกับนาง นี่มันเกิดอะไรขึ้น?” เมื่อพูดถึงประโยคสุดท้าย น้ำเสียงที่เปล่งออกมาก็แหบพร่าจนแทบจะไม่ได้ยิน
ซูกู้เหยียนตอบ “มีเื่อะไรที่จำเป็ต้องอธิบายด้วยหรือ? ข้าคิดว่าเราไม่เคยมีเื่เข้าใจผิดกันมาก่อน ทั้งหมดนั้นก็เป็แค่ความ้าของเ้าเพียงฝ่ายเดียว ที่ผ่านมา ข้าไม่ถือสาเอาความเ้าเพราะเห็นแก่สือหนิง ตอนนั้นเ้าไม่ยอมเดินทางไปที่เขาจื่อหยาง เพราะไม่มีทางเลือก ข้าถึงได้ตอบตกลงไปแบบส่งๆ แต่ไม่ว่าเ้าหรือข้า พวกเราต่างก็รู้ดีว่าการจากไปของเ้า เป็ผลดีต่อเราทุกคน โดยเฉพาะตัวเ้าเอง ถ้าเ้ามีอะไรที่อยากจะพูด งั้นวันนี้ก็พูดมันออกมาต่อหน้าข้าและสือหนิงเถอะ แต่นับั้แ่วันนี้เป็ต้นไป อย่ามาระรานข้าอีกเลย เพราะมันจะเป็ผลเสียทั้งกับเ้าและกับคนอื่นด้วย”
เฟิ่งสือจิ่นสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง “ทำไมเ้าถึงไม่ยอมเชื่อว่าคนที่เจอกับเ้าริมทะเลสาบในวันนั้นเป็ข้า” นางมองไปยังเฟิ่งสือหนิงด้วยสายตาเย็นะเื ก่อนจะส่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันออกมา “ดูนางสิ นางเหมือนข้าตรงไหน ทำไมเ้าถึงเชื่อหมดใจว่านางคือข้า?” นางลดระดับสายตาลงช้าๆ จนหยุดอยู่บนหยกคู่รูปหงส์คู่ซึ่งห้อยอยู่ข้างเอวของเฟิ่งสือหนิง “หรือเป็เพราะนางมีของแทนใจของเรา?”
“พอได้แล้ว” ซูกู้เหยียนพูดด้วยเสียงเย็นเยียบ “วันนี้เป็วันวิวาห์ของข้า หากเ้ามาเพื่ออวยพรให้เรา ข้าก็ยินดีต้อนรับ แต่หากเ้าอวยพรให้เราไม่ได้ เช่นนั้นก็ไปเสียเถอะ หากยังพูดบ้าๆ ออกมาอีก อย่าหาว่าข้าใจร้ายก็แล้วกัน”
ในขณะเดียวกัน ใครบางคนจำเฟิ่งสือจิ่นได้ จึงพูดขึ้น “นางคือเฟิ่งสือจิ่นที่เกือบจะถูกตีตายที่ข้างถนนในตอนนั้นนี่นา คนที่ทำให้น้องชายตัวเองตายน่ะ!”
เพียงพริบตาเดียว คนทั้งหลายก็พากันวิพากษ์วิจารณ์เฟิ่งสือจิ่น นางไม่ควรมาที่นี่ั้แ่แรกแล้ว ในเมื่อมาแล้ว ย่อมถูกวิพากษ์วิจารณ์เป็ธรรมดา
แต่อย่างน้อยคนเหล่านี้ก็ยังพูดความจริงบ้าง ไม่เหมือนซูกู้เหยียนที่เชื่อผู้หญิงคนนั้นจนหมดใจ!
เฟิ่งสือจิ่นหันกลับไปมองด้านนอก ทั้งที่ท้องฟ้ายังมืดครึ้มอยู่แท้ๆ แต่นางกลับรู้สึกว่าแสงจากภายนอกสว่างจ้าจนรู้สึกแสบตา อีกด้าน เมื่อฝูงคนเห็นว่านางหันมามองจึงพากันเงียบเสียงลง เฟิ่งสือจิ่นกันไปยิ้มให้ซูกู้เหยียน “ฟังสิ พวกเขากำลังพูดถึงข้า เฟิ่งสือจิ่น ไม่ใช่เฟิ่งสือหนิง”
เฟิ่งสือหนิงขอบตาแดงก่ำ นางหลั่งน้ำตาออกมาอย่างน่าสงสาร หลังรวบรวมความกล้าอยู่นาน ในที่สุดนางก็เข้าไปจับมือของเฟิ่งสือจิ่นเอาไว้ทั้งสองข้าง พลางพูดด้วยระดับเสียงที่พอให้ได้ยินกันแค่สามคน “หยุดพูดได้แล้ว สือจิ่น เลิกพูดได้แล้ว เื่ทั้งหมดเป็ความผิดของข้าเอง ข้ากับกู้เหยียนทำผิดต่อเ้า ข้าเป็คนทำให้เ้าต้องมารับผิดแทนข้า... แต่เื่มันก็ผ่านไปแล้วไม่ใช่หรือ” นางมองเฟิ่งสือจิ่นด้วยท่าทางน่าสงสาร “เลิกแย่งซูกู้เหยียนกับข้าเถอะนะ พวกเรารักกันจริงๆ...”
เฟิ่งสือจิ่นพยายามอดทน แต่สุดท้ายก็ล้มเหลว นางดันเฟิ่งสือหนิงจนล้มลง พลางส่งเสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว “เ้ามีสิทธิ์อะไรมาพูดเช่นนี้กับข้า! เ้าคิดว่าตัวเองเป็ใคร ตอนที่ข้าหวังดี ทำทุกอย่างเพื่อเ้า เ้ากลับแย่งคนรักของข้าไป! บอกความจริงมาสิ ถ้าแน่จริงก็บอกความจริงกับเขาเลย บอกเขาว่าเ้าเป็คนหลอกเอาของแทนใจของเราไปจากข้า เ้าหลอกให้ข้าเชื่อใจ หลอกทุกๆ คน! เ้าคิดว่าตัวเองทำผิดใช่หรือไม่ ในเมื่อรู้แบบนี้แล้ว ทำไมถึงยังแต่งงานกับเขา ในเมื่อรู้ว่าตัวเองผิด ทำไมถึงยังฝันลมๆ แล้งๆ ว่าข้าจะอวยพรให้พวกเ้า!” เฟิ่งสือหนิงถอยกลับไปทีละก้าวๆ เฟิ่งสือจิ่นก็ก้าวตามไปทีละก้าวเช่นกัน นางจ้องอีกฝ่ายด้วยดวงตาแดงก่ำ เตรียมจะเข้าไปฉีกชุดเ้าสาวสีแดงที่แสนระคายตาตรงหน้า “ในโลกใบนี้ คนที่ข้าไม่อยากให้แต่งงานกับเขามากที่สุดก็คือเ้า! ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็ใคร ก็ยังดีกว่าเป็เ้า!”
เฟิ่งสือหนิงกรีดร้องและพยายามต่อต้าน
จู่ๆ เฟิ่งสือจิ่นก็ถูกใครบางคนกระชากแขนอย่างแรงจนรู้สึกทั้งเจ็บทั้งแสบ ในขณะเดียวกัน ร่างบางของนางถูกหมุนกลับไปด้านหลังอย่างกะทันหัน ก่อนฝ่ามือหนักๆ จะเหวี่ยงลงมากระทบใบหน้าจนเกิดเสียงดัง นางตกตะลึงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ใบหน้าชาไปกว่าครึ่ง รู้สึกเหมือนมีเสียงหวีดดังอยู่ในหัว นอกจากนี้ ยังมีเสียงของซูกู้เหยียนที่บอกให้นางเลิกฝันลมๆ แล้งๆ เสียทีดังแว่วขึ้นที่ข้างหู นางกระดิกนิ้วมือเบาๆ ก่อนจะยกมือขึ้นไปจับใบหน้าที่ร้อนผ่าวของตน เปลือกตาหนักอึ้งถูกเปิดออกอีกครั้ง นางมองดูซูกู้เหยียนเดินเข้าไปประคองเฟิ่งสือหนิงขึ้นมาจากพื้นอย่างอ่อนโยน ทว่าเมื่อมองมาที่ตน สายตาของซูกู้เหยียนกลับมีเพียงความเย็นะเื “ทหาร โยนนางออกไปจากจวนเดี๋ยวนี้”
องครักษ์ประจำจวนรีบเดินเข้ามาใกล้ เฟิ่งสือจิ่นเห็นดังนั้นก็กัดฟันกรอด พลางเปล่งเสียงเย็นเยียบลอดไรฟัน “ซูกู้เหยียน สักวันเ้าจะรู้ ว่าเ้าไม่ได้รู้จักข้าผ่านเฟิ่งสือหนิง แต่เ้ารู้จักเฟิ่งสือหนิงผ่านข้าต่างหาก แต่นี่จะเป็ครั้งสุดท้าย ข้าจะไม่ให้โอกาสเ้าอีกแล้ว”
ซูกู้เหยียนในชุดสีแดงแลดูเย็นะเืไม่ต่างไปจากดอกเหมยที่บานอยู่กลางหิมะ “ไปจากที่นี่ซะ ไม่ว่าเื่ทั้งหมดจะเป็อย่างไร เมื่อข้าแต่งงานกับสือหนิงแล้ว นางก็เป็ภรรยาของข้า”
“ซูกู้เหยียน เบิกตาดูให้ชัดๆ เถอะ เ้ามันโง่เง่าสิ้นดี” ใต้เสื้อคลุมหลวมโพรก นางจับกริชเล่มหนึ่งแน่น มันเป็กริชที่ทั้งประณีตและงดงาม เป็กริชที่ซูกู้เหยียนเคยมอบให้นาง น่าเสียดายที่เขาไม่ยอมเชื่อเช่นนั้น แต่เชื่อว่าเฟิ่งสือจิ่นได้กริชเล่มนี้มาจากเฟิ่งสือหนิงแทน เดิมที นางคิดจะใช้กริชเล่มนี้กรีดพวกเขาสองคน ให้เหมือนที่พวกเขาทิ่มแทงหัวใจนางจนแหลกเละไม่มีชิ้นดี แต่ท้ายที่สุดนางก็ทำได้แค่คิด มีหรือที่นางจะแข็งใจทำเช่นนั้นได้จริงๆ...