“ข้ากับกู้เหยียนกำลังจะแต่งงานกันแล้ว สือจิ่น เ้าเองก็คงจะอวยพรให้เราสองคนใช่หรือไม่?” เสียงสายฟ้าที่นอกหน้าต่างดังขึ้นเป็ระยะ ดังบ้างเบาบ้างสลับกันไป ส่งผลให้เสียงอ่อนหวานแลดูล่องลอย กึกก้อง และแ่เบาเป็ระยะเช่นกัน “พวกเรารักกันอย่างจริงใจ ต่อให้เ้าไม่มีกู้เหยียนแล้ว แต่เ้าก็ยังมีอาจารย์ ทว่าข้า หากไม่มีกู้เหยียน ข้าก็ไม่เหลืออะไรอีกแล้ว...”
เพียงพริบตาเดียว เสียงที่เคยอ่อนโยนก็เปลี่ยนเป็อาฆาตและแค้นเคือง พลันเสียงหัวเราะแหลมดังก็กังวานขึ้น “สือจิ่น สุดท้าย ข้าก็เป็คนที่ได้เขา ไม่ว่าเ้าจะพยายามแค่ไหน ไม่ว่าเ้าจะเพ้อฝันอย่างไร้เดียงสาเพียงไร สุดท้าย เ้าก็ไม่มีทางได้เขาไปอยู่ดี... ชาตินี้ เขาถูกกำหนดให้รักข้าเพียงคนเดียวเท่านั้น...”
เสียงฟ้าคำรามดังขึ้นพร้อมกับประกายสายฟ้า เฟิ่งสือจิ่นรู้สึกราวถูกฟ้าผ่าลงกลางหัว นางร้องอุทาน แล้วสะดุ้งตื่นขึ้นมานั่งบนเตียง บัดนี้ นอกหน้าต่างมีเพียงความมืดมิด หลังสายฟ้าวาบผ่าน ฝนเม็ดใหญ่ก็หล่นลงกระทบกับประตูจนเกิดเสียงดังถี่ ลมเย็นพัดโบกให้ต้นไม้พลิ้วเอนคล้ายเงาิญญาที่ลอยเคลื่อนผ่านไป
นางตระหนักขึ้นมาได้ว่าแท้จริงแล้ว ทั้งหมดก็เป็แค่ความฝันเท่านั้น
เฟิ่งสือจิ่นนั่งห่อไหล่พลางยกมือกุมขมับ ที่หน้าผากมีเหงื่อซึมออกมาเล็กน้อย นางพึมพำด้วยเสียงแหบพร่า “ซูกู้เหยียน...”
เขตซ่างจิง ณ เมืองเปี้ยนจิง เมืองหลวงแห่งแคว้นจิ้น เดือนสี่ ต้นหลิวแตกกิ่งอ่อน กลิ่นละมุนของดอกไหวหอมฟุ้งไปทั่วเมือง เมื่อวานท้องฟ้ายังแจ่มใส ใครจะคาดคิด ว่าสายฝนจะมาเยือนในชั่วข้ามคืน ทำให้อากาศของเมืองเปี้ยนจิงหนาวเย็นยิ่งกว่าเดิม ถนนที่ปูด้วยหินเปียกชุ่มไปด้วยน้ำฝน ร่องถนนเต็มไปด้วยน้ำขัง หากไม่ระวัง น้ำบนพื้นอาจกระเซ็นเปื้อนเสื้อ หรือรองเท้าของผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาได้ง่ายๆ พื้นถนนปกคลุมไปด้วยใบไหวสีเขียวทรงกลมขนาดเล็กกับกลีบดอกไหวสีขาว อาชาวิ่งผ่าน ทิ้งรอยเท้าไปตลอดทาง
แม้ในสภาพอากาศเช่นนี้ ก็ยังไม่อาจหยุดยั้งงานมงคลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเมืองเปี้ยนจิงได้ เสียงปี่ซูนา[1]ดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เป็เสียงที่หนวกหู ทว่ารื่นเริงเหลือเกิน ขบวนวิวาห์เรียงแถวยาว เดินเคลื่อนไปตามถนน ดูยิ่งใหญ่และทรงเกียรติเป็อย่างมาก ผู้คนในเมืองเปี้ยนจิง ใครบ้างไม่รู้ว่าวันนี้เป็วันวิวาห์ขององค์ชายสี่กับคุณหนูรองแห่งจวนท่านโหวหรงกั๋ว
เสียงประทัดดังกึกก้อง กระดาษสีแดงที่หุ้มประทัดร่วงกระจายราวกับฝนโลหิต ทันทีที่ตกลงพื้น น้ำขังก็ชโลมให้กระดาษเปียกปอนอย่างรวดเร็ว ขบวนวิวาห์เพิ่งรับเ้าสาวออกมาจากจวนท่านโหวได้ไม่ทันไร ด้านนอกก็มีฝนโปรยปรายลงมาอีกครา แต่นั่นก็ไม่อาจหยุดประชาชนที่ออกมามุงดู และชื่นชมความยิ่งใหญ่ของขบวนได้
ไม่รู้ว่าการวิวาห์ขององค์ชายสี่ในวันนี้ จะทำให้หญิงสาวในแคว้นจิ้นที่ยังครองตัวเป็โสดมากเท่าใดโศกเศร้าเสียใจ
กีบเท้าอาชาย่ำผ่านโคลนบนพื้นถนน ชายเสื้อสีแดงคล้อยลงมาจากหลังม้า ผู้ที่นั่งอยู่บนนั้นคือซูกู้เหยียนนั่นเอง ชุดวิวาห์สีแดงทำให้เขาแลดูสง่างามปานเทพบุตร แววตาที่เคยเฉยชาไม่ต่างไปจากสายฝนในยามนี้ บัดนี้กลับมีประกายความแจ่มใสออกมาให้เห็น สองมือจับบังเหียน แขนเสื้อกว้างคล้อยต่ำลงเบื้องล่าง และโบกพลิ้วไปตามสายลมที่พัดผ่าน ลวดลายสีทองที่ชายเสื้อช่างงดงามดุจมีชีวิตเช่นนั้น
เมืองเปี้ยนจิงมีเื่เล่าที่เลื่องลือมาเป็เวลานาน นั่นคือองค์ชายสี่กับคุณหนูรองแห่งตระกูลเฟิ่งต่างก็มีใจรักใคร่ชอบพอกัน บุรุษผู้มากความสามารถกับสตรีรูปงาม เป็คู่ที่เหมาะสมดั่ง์บรรจงสร้างมาคู่กัน ในที่สุดเขาก็สมปรารถนา ได้วิวาห์กับสตรีในดวงใจ แล้วจะไม่ให้ผู้อื่นนึกอิจฉาได้อย่างไร แม้เขาจะขี่ม้านำอยู่ด้านหน้า แต่ก็รอบคอบและคำนึงถึงผู้ที่อยู่เื้ัเสมอ คล้ายเกรงว่าเกี้ยววิวาห์จะตามไม่ทัน หรือเส้นทางจะขรุขระจนเกินไป เมื่อเหลียวหลังกลับไปมอง ั์ตาสีน้ำตาลอ่อนก็ทั้งลึกซึ้งและน่าดึงดูด อัดแน่นไปด้วยความรู้สึกที่แสนซาบซ่านหวานหอม ราวอยากดูดเ้าสาวที่นั่งอยู่ในเกี้ยวเข้าไปในดวงตาให้ได้อย่างไรอย่างนั้น
เมื่อถึงจวนองค์ชายสี่ ซูกู้เหยียนก็ลงไปรับคุณหนูรองแห่งตระกูลเฟิ่งลงจากเกี้ยวด้วยตนเอง นิ้วเรียวยาวจูงมือเ้าสาวไว้ เขาก้มหน้าลงเล็กน้อย คล้ายกำลังใช้เสียงอ่อนโยนกล่าวเตือนให้สตรีผู้เป็ที่รักก้าวลงจากขั้นบันไดอย่างระมัดระวัง น้ำเสียงนั้นอบอวลไปด้วยความรักอันลึกซึ้ง และเสน่ห์แห่งบุรุษอันน่าหลงใหล
เสียงประทัดและดนตรีจากปี่ซูนาดังก้องขึ้นที่หน้าประตู แเื่มาร่วมงานกันอย่างล้นหลาม เสียงเฮฮาดังสนั่นครึกครื้น
“ได้ฤกษ์มงคลแล้ว...”
เมื่อสิ้นประโยค ซูกู้เหยียนก็จับมือคุณหนูรองแห่งตระกูลเฟิ่ง พลางเดินเคียงกันเข้าไปในโถงจัดงาน และทำพิธีไหว้ฟ้าดินโดยมีสักขีพยานคือแเื่ที่ยืนแน่นอยู่เต็มโถง
แต่คู่บ่าวสาวเพิ่งจะโค้งคำนับได้แค่ครั้งเดียว ไม่ทราบว่าเพราะอะไร จู่ๆ ก็มีเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากด้านนอก เสียงม้าคำรามดังกึกก้องที่หน้าประตู ทันใดนั้น องครักษ์ประจำจวนก็รีบกรูกันเข้ามาด้านในพลางร้องะโเสียงดัง “เร็วเข้า! รีบจับนางเอาไว้!”
วินาทีต่อมา แเื่ที่มาร่วมงานต่างก็พบว่า มีม้าตัวหนึ่งวิ่งเข้ามาภายในจวนอย่างรวดเร็ว มันชนข้าวของกระจัดกระจายดั่งม้าคลั่ง กีบเท้าอาชาบดขยี้จนกลีบดอกไม้ที่ร่วงอยู่บนพื้นแหลกจมโคลน แล้วมุ่งหน้าไปยังโถงจัดงานอย่างบ้าคลั่ง ฝูงคนร้องอุทานด้วยความตื่นตระหนก ไม่เหลือเงาความครึกครื้นอีกต่อไป พวกเขาแย่งกันหลบหนีอย่างชุลมุน ด้วยเกรงว่าหากชักช้าเพียงเสี้ยววินาที อาจกลายเป็ิญญาใต้เท้าอาชาก็เป็ได้
ทางด้านของหญิงสาวจอมทะนงผู้แสนบ้าบิ่นบนหลังม้า นางสวมชุดคลุมปิดบังใบหน้า และสวมชุดฟางกันฝนเอาไว้อีกชั้น จึงไม่มีผู้ใดเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนาง
กีบม้าก้าวข้ามธรณีประตู บัดนี้ มันอยู่ห่างออกไปไม่ถึงเจ็ดเมตร อาชาที่รุดเข้ามาอย่างบ้าบิ่นและร่างบางของสตรีปรากฏต่อสายตาผู้คน ช่างเป็ภาพที่ทรงพลังและมีชีวิตชีวาอย่างน่าเหลือเชื่อ อีกด้าน เ้าบ่าวกลับไม่มีท่าทีตื่นตระหนกใดๆ ทั้งสิ้น แค่โอบเอวเ้าสาวของตนไว้ แล้วยกนางขึ้นเหนือพื้นอย่างมั่นคง ท่ามกลางความตื่นตระหนก ผู้เป็เ้าสาวร้องอุทานด้วยความใ แต่ก็สามารถหลบเลี่ยงอาชาไปได้อย่างเฉียดฉิว
ผ้าคลุมหัวสีแดงถูกสายลมพัดจนปลิดปลิว และร่วงลงบนพื้นอย่างแ่เบา เผยให้เห็นรูปโฉมอันแสนงดงามที่ซ่อนอยู่ภายใน
นางก็คือคุณหนูรองแห่งตระกูลเฟิ่ง เฟิ่งสือหนิง
เฟิ่งสือหนิงใจนหน้าซีดเผือด ด้วยความเป็ห่วง นางจึงวิ่งเข้าไปหาซูกู้เหยียนอย่างไม่คิดชีวิต “กู้เหยียน!”
ช่างเป็ความรักที่ลึกซึ้ง น่าประทับใจ และน่าอิจฉาเสียนี่กระไร
ในตอนที่อาชาอยู่ห่างจากซูกู้เหยียนเพียงไม่กี่คืบ จู่ๆ สตรีที่นั่งอยู่บนนั้นก็ดึงบังเหียนในมืออย่างกะทันหัน ม้าตัวดังกล่าวจึงยกกีบเท้าขึ้นเหนือพื้น แลดูเย่อหยิ่งและเกรี้ยวกราด คล้าย้าจะเหยียบให้ซูกู้เหยียนล้มลงแทบเท้า ทว่านางก็ไม่ได้ทำเช่นนั้น แต่กลับหยุดม้าลงเบื้องหน้าเขาแทน
แขกภายในงานยังคงใไม่หาย มีหรือจะกล้าเข้าไปใกล้แม้เพียงก้าวเดียว พวกเขาพบว่าคนตรงหน้าเป็หญิงสาวในชุดคลุมตัวหลวมสีเขียวขุ่น ร่างกายเพรียวบาง เพราะมีหมวกของชุดคลุมบดบัง จึงไม่อาจมองเห็นใบหน้าของนางได้ชัดเจน กระโปรงใต้ชุดฟางกันฝนกับเส้นผมสีดำสลวยที่หลุดออกมานอกชุดคลุมประดับประดาไปด้วยละอองฝน คล้ายมีใยแมงมุมเกาะติดมาด้วยเช่นนั้น ร่างของนางแฝงไปด้วยกลิ่นอายเย็นะเื ให้ความรู้สึกห่างเหิน ยากจะใกล้ชิด สรรพสิ่งเงียบสงัดลงชั่วขณะ ไม่มีผู้ใดส่งเสียงออกมาแม้เพียงครึ่งคำ
องครักษ์ประจำจวนกรูเข้ามาภายในห้องโถง พวกเขาล้อมม้าและหญิงสาวปริศนาเอาไว้อย่างรวดเร็ว แขกที่มาร่วมงานจึงถูกต้อนออกไปด้านนอกโดยปริยาย หัวหน้าองครักษ์ะโเสียงดัง “นังโจรใจกล้า วันนี้เป็วันวิวาห์ขององค์ชายสี่ เ้าบังอาจยิ่งนักถึงกล้าบุกรุกจวนองค์ชายเช่นนี้ ยังไม่ยอมจำนนอีกหรือ!”
หญิงสาวยังคงเงียบขรึม หมวกของชุดคลุมบดบังใบหน้ากว่าครึ่งเอาไว้ เผยให้เห็นเพียงคางที่แสนได้รูปกับริมฝีปากสีชมพูชุ่มฉ่ำ ทันใดนั้น จู่ๆ นางก็ยกมุมปากขึ้นเบาๆ แต่รอยยิ้มกลับเต็มไปด้วยความขมขื่น
คุณหนูรองแห่งตระกูลเฟิ่งอ้าปากขึ้นเบาๆ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตกตะลึงซีดเผือดอยู่อย่างนั้นเป็เวลานาน ซูกู้เหยียนขมวดคิ้วมุ่น เขาดึงคุณหนูรองไปหลบอยู่เื้ัตน ก่อนจะพูดกับหญิงตรงหน้า “เ้าเป็ใคร ถอดหมวกคลุมออกเสีย หากเ้ามาเพื่อร่วมเฉลิมฉลองในงานวิวาห์ของพวกเรา ข้าย่อมยินดีต้อนรับ”
เป็เวลานาน กระทั่งองครักษ์ภายในจวนเริ่มทนไม่ไหว เตรียมจะลงมือกับนาง หญิงสาวถึงเอื้อมจับหมวกคลุม แล้วค่อยๆ ถอดมันออกช้าๆ เมื่อใบหน้าของนางปรากฏต่อสายตาของทุกคนอย่างครบถ้วน คุณหนูรองแห่งตระกูลเฟิ่งก็ถอยกลับไปด้านหลังหลายก้าวอย่างไม่อาจควบคุม พลางพึมพำขึ้น “สือ... สือจิ่น...”
สตรีบนหลังม้าเหวี่ยงชุดคลุมในมือไปยังแท่นพิธีวิวาห์ โยนมันลงบนป้ายบูชาที่ศักดิ์สิทธิ์และไม่ควรลบหลู่
ซูกู้เหยียนมองไปที่นางด้วยสายตาที่ลึกล้ำ ยากจะคาดเดา
องครักษ์ร้องะโเสียงดัง “บังอาจนัก!”
ซูกู้เหยียนยกมือขึ้นห้ามพลางกล่าวขึ้น “ออกไปให้หมด”
.............................
[1] ปี่ซูนา หมายถึง เครื่องดนตรีชนิดหนึ่ง คล้ายปี่ มีเสียงแหลม มักใช้ในงานมงคลหรืองานศพ