คำกล่าวของพี่ชายนี้ ทำให้อวิ๋นซีอดยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้ารับไม่ได้ “ได้ หากว่าเขาผิดต่อข้า ข้าก็จะพาลูกไปหาคนดีๆ แล้วแต่งงานใหม่เสีย” นางไม่ได้ควบคุมเสียงของตน อีกทั้ง ในใจก็รู้ดีว่าบุรุษผู้นั้นต้องได้ยินเป็แน่
และนั่นก็เป็ไปดังที่นางคาด เพราะคนบางคนเมื่อได้ยินประโยคนี้เข้าก็ถึงกับโกรธจนหน้าเปลี่ยนสี เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน คิดในใจว่า กลับไปถึงบ้านเมื่อไรจักต้องจัดการสตรีตัวน้อยผู้นี้ที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำเสียแล้ว ถึงได้กล้ามีความคิดเช่นนี้...
……...........................................................................................
เมื่อกลับไปถึงจวน จวินเหยียนก็ไม่รีรอพาสตรีข้างกายตรงดิ่งไปยังห้องนอนหลักทันที พร้อมทั้งสั่งสาวใช้ด้วยว่า ต่อให้เป็บิดามาก็ห้ามให้เข้าไปรบกวนพวกเขาสามีภรรยาโดยเด็ดขาด
อวิ๋นซีเห็นท่าทีดุร้ายของเขา ในใจก็แอบคิดไปว่า นี่ไม่ดีแล้ว นางยิ้มพูดกับผู้เป็สามี “สามี ให้ข้าไปดูลูกๆ สักหน่อยเถิด”
จวินเหยียนคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มขณะมองอวิ๋นซี เขาบังคับดันร่างนางไปจนถึงข้างเตียง ก่อนจะยืนมองสตรีที่ทรุดนั่งลงไป เขายิ้มพูดว่า “ฮูหยิน ลูกๆ ของเราล้วนมีแม่นมคอยดูแล แล้วเ้าจะเป็กังวลไปทำไม มาคุยเื่ของพวกเรากันดีกว่า”
อวิ๋นซีกัดฟัน อยากจะพูดมากว่า ระหว่างเราไม่มีอะไรให้ต้องคุย ถึงกระนั้นนางก็ได้แต่คิดเท่านั้น ไม่กล้าพูดออกไปด้วยรู้ดีว่า หากพูดเช่นนี้จริงๆ ไม่แน่วันพรุ่งนี้ตนอาจไม่ได้ลุกขึ้นจากเตียง และเป็ตอนนี้เองที่นางเพิ่งจะรู้สึกว่า คำพูดของตนกับาาจันทราเงินในวันนี้ดูท่าว่าตัวนางจะประเมินผลกระทบต่อบุรุษผู้นี้ต่ำเกินไป
จวินเหยียนมองภรรยา ยิ้มจนตาหยี “ภรรยา ดูเหมือนเ้าจะกลัวมาก”
อวิ๋นซีส่ายหน้า “เปล่า ข้าจะกลัวสามีได้เช่นไร ต้องชอบสิถึงจะถูก”
จวินเหยียนอ้อไปเสียงหนึ่ง “ชอบข้าจริงหรือ? ”
“ท่านเป็สามีข้า หากไม่ชอบท่านแล้วจะให้ไปชอบใครเล่า สามีวางใจเถอะ ในใจข้ามีเพียงท่าน” เพื่อเป็การแสดงออกว่า ในใจของนางมีชายคนนี้เพียงคนเดียวจริงๆ นางจึงได้แต่ยิ้มแล้วกอดเข้ากับเอวแกร่งของเขา อย่างไรเสีย คนเยี่ยงจวินเหยียนก็ต้องโอ๋สักหน่อยถึงจะสงบลง เพราะคำพูดในวันนี้ของตนอาจเรียกได้ว่าพูดผิดไปแล้วจริงๆ ดังนั้น หากนางไม่คิดพูดอะไรดีๆ เพื่อคลายความกรุ่นโกรธให้เขา มีหวังชีวิตนางคงต้องอนาถมากแน่ๆ
จวินเหยียนผลักคนล้มลงไปบนเตียง ยิ้มบางๆ พูดว่า “ในเมื่อกล่าวเช่นนี้ ฮูหยินก็ช่วยพิสูจน์ให้ข้าเห็นทีว่า ในใจของเ้ามีข้าเพียงคนเดียวจริงหรือไม่”
อวิ๋นซีได้แต่แอบด่าในใจ น่าตายนัก ตอนนี้อยู่ในท่าทางเช่นนี้จะให้พิสูจน์อย่างไร? เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ ดวงหน้าของนางก็แดงขึ้นทันที คงไม่ใช่ว่าเขาอยากจะให้นางขยันขันแข็งในเื่นั้น เพื่อเป็การพิสูจน์หรอกนะ
คิดถึงตรงนี้ ถึงแม้ในใจจะแอบด่าว่าจวินเหยียนว่าสารเลว แต่ภายนอกนั้นนางก็ยังทำตัวเป็เด็กดี เอื้อมมือไปปลดเข็มขัดให้เขา เพียงไม่นานร่างทั้งร่างของอวิ๋นซีก็ถูกหมาป่าเกรี้ยวกราดกลืนกินเข้าไป...เวลาล่วงเลยผ่านไปจนป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าเป็ครั้งที่เท่าไร แต่อวิ๋นซีรู้เพียงว่าตนไม่อาจรับไหวอีกต่อไปแล้ว นางเอาแต่ขอร้องไม่หยุด ถึงกระนั้นเขากลับทำเพียงยิ้มๆ เอ่ยถาม “เป็อย่างไร ยังคิดจะพาลูกของข้าหนีไป ส่วนตัวเ้าก็ไปแต่งให้ผู้อื่นอีกหรือไม่? ”
อวิ๋นซีเหงื่อตก ที่แท้เขาได้ยินทุกสิ่งที่พวกนางพูดคุยกัน นางเอื้อมมือไปยันอกเขาไว้ พูดด้วยท่าทีกลืนไม่เข้าคายไม่ออก “สามีไว้ชีวิตด้วย หม่อมฉันไม่กล้าแม้แต่จะคิดเช่นนั้นแล้วจริงๆ ไม่ว่าอย่างไรหม่อมฉันจักต้องให้ลูกได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันไปกับสามีเป็อย่างดีแน่นอน ไม่มีทางพาลูกไปที่อื่น แล้วแต่งงานใหม่”
เห็นท่าทางนางเช่นนี้ จวินเหยียนก็จุมพิตริมฝีปากนางเบาๆ พูดเสียงต่ำ “อาซี วันหน้าอย่าได้พูดจาเช่นนั้นอีก เ้าก็รู้ ชีวิตของข้าไม่อาจไม่มีเ้าและลูกๆ ได้ แต่หากเ้าคิดจะพาลูกไปอยู่หลงชวีหยวนจริงๆ เปิ่นหวางก็จักนำอาชาเหล็กไปถล่มหลงชวีหยวนให้สิ้น ไม่ให้พี่รองเ้าสามารถนำคนมาระบายความโกรธแทนเ้าได้ เ้าควรรู้ไว้ แม้ข้าจะต้องสูญเสียชีวิตของตน แต่ก็ไม่อาจสูญเสียเ้าไปได้ ดังนั้น ในวันหน้าเ้าอย่าได้มีความคิดนั้นขึ้นมาอีก”
เมื่อหวนนึกถึงวันนี้ที่ได้ยินนางเอื้อนเอ่ยคำเ่าั้ ใจของเขาก็ให้เ็ปรวดร้าวมากจริงๆ เพราะสำหรับเขาแล้ว ไม่ว่าจะเป็สิ่งใดก็อาจเรียกได้ว่าเขายอมควักปอดควักหัวใจ [1] เพื่อนาง แต่เ้าตัวน้อยแล้งน้ำใจผู้นี้กลับคิดจะไปจากเขาเสียนี่
อวิ๋นซียิ้มอย่างปลงๆ “ไม่ใช่ว่าข้าแค่ทำเป็เออออไปกับพี่รองหรอกหรือ ทั้งๆ ที่ตัวท่านก็เป็ชายชาตรี แต่กลับมาคิดเล็กคิดน้อยกับพี่รองมากเพียงนี้” นางไม่รู้จริงๆ ว่าตนควรจะบ่นว่าชายผู้นี้อย่างไร เพราะมีบางครั้งที่นางก็รู้สึกว่า แท้จริงแล้วชายคนนี้ช่างงอแงไร้เหตุผล แต่การงอแงไร้เหตุผลนั้นก็น่ารักน่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน
“เอาละ อย่าโกรธอีกเลย ตอนนี้ตัวข้าเองก็ดีขึ้นแล้ว ท่านยังจะสานต่ออีกหรือไม่” อวิ๋นซียื่นหน้าเข้าใกล้หูเขา พูดเสียงเบา ทว่าในตอนที่กำลังพูดอยู่นั้น ขาของนางก็ยังรัดเกี่ยวอยู่บนเอวเขาอย่างซุกซน
เดิมทีความสามารถในการควบคุมตัวเองของจวินเหยียนยามที่อยู่กับนางก็เรียกได้ว่าแทบไม่มีเหลือ แต่ในตอนนี้นางกลับทำถึงขั้นนี้ หากเขายังไม่รู้สึกอะไรแม้แต่นิดเดียวก็เห็นผีแล้ว เขาเอื้อมมือไปกอดเอวนางไว้ พูดเสียงต่ำ “สตรีตัวน้อย ครั้งนี้ ต่อให้เ้าจะขอร้อง ตัวข้าก็ย่อมไม่มีทางปล่อยเ้าไป”
ความจริงหลังจากนี้ราวกับเป็การย้ำเตือนต่ออวิ๋นซี เกิดเป็สตรีห้ามคิดส่งตัวเองเข้าไปในปากของบุรุษที่กำลังกรุ่นโกรธอยู่เป็อันขาด ทั้งยังยิ่งห้ามเชื้อเชิญบุรุษอีกครั้งยามที่กำลังพลิกฟ้าคว้าฝนกันอยู่ มิเช่นนั้นคนย่อมต้องถูกกินจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก...
วันรุ่งขึ้นเป็วันงานเฉลิมพระชนมพรรษาของเสี้ยวเหวินตี้ ในตอนเช้ายามที่อวิ๋นซีตื่นขึ้นมาก็เห็นว่า เด็กๆ อาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จเรียบร้อยแล้ว อีกทั้ง หวานหว่านและหนุ่มน้อยทั้งสองต่างก็กินอิ่มกันหมดแล้ว โดยในวันนี้เป็จวินเหยียนที่เข้าครัวลงมือทำบะหมี่สามรสให้นางกินด้วยตนเอง อวิ๋นซีตกตะลึงไปเล็กน้อยเมื่อได้รับความเอ็นดูนี้ นางยิ้มถาม “วันนี้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศใดกัน? ”
จวินเหยียนนั่งอยู่ข้างกายนาง ยิ้มตอบ “เ้าคิดว่าวันนี้พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศใดเล่า? เปิ่นหวางอุตส่าห์เข้าครัวทำอาหารให้เ้าเองกับมือ หากเ้าจะไม่ซาบซึ้งใจก็ช่างเถอะ แต่มีที่ไหนถึงได้พูดเช่นนี้ออกมา”
บางครั้งเขาก็รู้สึกว่า ภรรยารู้ความเกินไปจนเขาเป็ต้องเวทนาสงสารตัวเองอยู่เล็กน้อย แต่บางครั้งก็อดไม่ได้ให้รู้สึกอยากจะลงโทษภรรยาที่มาหาเื่ตนเสียจริงๆ
“ช่างเถิด อย่างไรเสีย ข้าก็ต้องขอบคุณสามีที่ยอมสละเวลาเข้าครัวด้วยตัวเอง เพื่อเตรียมอาหารเช้ามื้อนี้ให้ข้า” ถึงแม้อาหารมื้อนี้จะเป็แค่บะหมี่ง่ายๆ ถ้วยเดียว แต่นางก็ซาบซึ้งใจมากจริงๆ อย่างไรก็ตาม เมื่อคิดถึงกาลก่อนอีกครั้ง ตอนนั้นเป็ตัวนางเองที่พยายามเพียงนี้เช่นกันเพื่อจะได้กลายเป็ภรรยาที่ดี แต่สุดท้ายบั้นปลายของชีวิตกลับไม่ได้รับจุดจบที่ดี
ตอนนี้การถูกคนฟูมฟักไว้ในฝ่ามือก็เป็ความรู้สึกที่นางชอบมากจริงๆ
อวิ๋นซีกินบะหมี่ที่รสชาติแสนจะธรรมดา แต่ดวงตาโค้งๆ ของนางก็ราวกับเป็การบอกกล่าวกับทุกคนว่า นางชื่นชอบบะหมี่ที่สามีทำเป็อย่างยิ่ง จวินเหยียนมองนางกินอย่างเอร็ดอร่อย ในใจก็รู้สึกดีใจ ทว่า อีกใจหนึ่งกลับยังคงเป็กังวลว่าภรรยาจะพาลูกๆ หนีไป จึงได้แอบวางแผนไว้ในใจ วันหน้าเขาต้องทำดีกับภรรยาให้มากขึ้น ดีจนแม้แต่ตัวนางก็ยังต้องคิดว่าไม่มีใครจะมาทดแทนสามีผู้นี้ได้ ดังนั้น ไม่ว่านางจะไปที่ใดก็ล้วนต้องนึกถึงเขาผู้เป็สามีที่ดีที่สุด และเมื่อนานวันเข้าก็จะเกิดเป็ความเคยชินอย่างที่ไม่อาจจากไปที่ไหนได้อีก
อวิ๋นซีไม่ได้รู้เลยว่า สามีของตนจะมีเจตนาเช่นนี้ ในใจเพียงนึกว่าเขารักใคร่ตนเอง แต่หากนางได้ล่วงรู้ว่า ที่แท้คนข้างหมอนเป็คนมากเล่ห์ถึงเพียงนี้ คงไม่แคล้วให้นางต้องก่นด่าว่าเขาเป็เ้าคนสารเลวแน่
เมื่อกินอาหารเช้าเสร็จ อวิ๋นซีก็พาลูกๆ เข้าวัง ครั้งนี้จวินเหยียนไม่ได้ละทิ้งพวกนางไว้ แต่หลังจากลงจากรถม้าเขาก็พาภรรยานั่งเกี้ยวมุ่งหน้าไปยังตำหนักสืออัน เพื่อไปถวายบังคมไทเฮาก่อนเป็อันดับแรก ไทเฮาใช้เวลาอยู่กับเด็กทั้งสามไปพักหนึ่ง พวกเขาถึงได้พาเด็กๆ ไปยังตำหนักที่ซึ่งเป็ที่ประทับของเสี้ยวเหวินตี้ต่อ วันนี้ฮ่องเต้ไม่ต้องออกว่าราชการกับพวกขุนนาง ดังนั้น เหล่าองค์ชายทั้งหลายต่างก็พาภรรยาและลูกๆ ของตนมุ่งหน้าไปถวายบังคมไทเฮาและฮ่องเต้อย่างพร้อมเพรียง
รอกระทั่งอวิ๋นซีและจวินเหยียนมาถึงแล้วก็ได้เจอรัชทายาทที่กำลังประคองร่างลู่หลิงฉิงที่ตั้งครรภ์ได้สี่เดือนแล้วเดินมาพอดี และในตอนที่คนทั้งสองเห็นอวิ๋นซีและจวินเหยียน รัชทายาทก็เป็ฝ่ายยิ้มและทักทายพวกเขา “น้องรองและน้องสะใภ้มาแล้ว เมื่อครู่เสด็จพ่อยังตรัสว่า หากพวกเ้ามาแล้ว จักต้องพาเด็กๆ ไปที่ตำหนักสืออัน เพื่อเข้าเฝ้าเสด็จย่าเป็แน่”
————————————————————————————————
เชิงอรรถ
[1] ควักปอดควักหัวใจ(掏心掏肺)เปรียบเทียบว่าดีกับคนผู้หนึ่งมากๆ ซื่อสัตย์จริงใจต่อเขามาก