“ศิษย์พี่ ลำบากท่านแล้ว!” ฉินว่านซานเข้ามาทักทายตี๋จั๋วรื่อก่อน จากนั้นสายตาก็หันไปทางฉินหรูเยียน แล้วใบหน้าก็เผยรอยยิ้มออกมา “หรูเหยียน ข้าได้ยินมาว่าเ้า...”
ทางด้านฉินหรูเยียนกลับทำราวกับไม่ได้ยินเสียง ใบหน้าที่งดงามของนางปรากฏรอยยิ้มที่สดใส วิ่งโผเข้าไปหาหญิงวัยกลางคนพร้อมกับร้องเรียก “ท่านย่าเสิ่น!”
หญิงวัยกลางคนกางแขนออก ใบหน้าก็เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “หลานรัก! กลับมาแล้วหรือ มาให้ย่าดูให้เต็มตาหน่อยซิ”
ทางด้านฉินว่านซาน รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาค่อยๆ จางหายไป สีหน้ามีแววผิดหวังเล็กน้อย สายตาก็จ้องมองไปที่ฉินหรูเยียน ก่อนจะหันกลับไปมองเซียวหลิงอวิ๋นพร้อมกับกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เช่นนั้น เ้าคงจะเป็เซียวหลิงอวิ๋น อัจฉริยะที่ปรากฏตัวสักครั้งในรอบหมื่นปีของสำนักดาบิญญาเมฆาสินะ! ข้าในนามของสำนักดาบิญญาเมฆา ยินดีต้อนรับ!”
เซียวหลิงอวิ๋นยกมือขึ้นคารวะ “หลิงอวิ๋นขอคารวะท่านเ้าสำนัก คารวะผู้าุโเสิ่น!”
“เ้าเด็กหนุ่ม ไม่เรียกบรรพชน ไม่เรียกผู้าุโสูงสุด แต่เรียกผู้าุโเฉยๆ อย่างนั้นหรือ เฒ่าตี๋ เด็กหนุ่มคนนี้ก็เรียกพวกเ้าเช่นนี้หรือ?” เสิ่นเยาเยวี่ยจับมือฉินหรูเยียนอย่างสนิทสนมพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงดังฟังชัด
“ฮ่าๆๆ ศิษย์น้องหญิง ข้าและชางไห่ชินแล้วล่ะ!” ตี๋จั๋วรื่อหัวเราะอย่างร่าเริง
ฉินว่านซานเดินนำเซียวหลิงอวิ๋นเข้าไปในห้องโถงด้วยตนเองโดยไม่มีพิธีรีตอง!
เซียวหลิงอวิ๋นสังเกตเห็นว่าฉินหรูเยียนและฉินว่านซานดูไม่ค่อยถูกกัน เด็กสาวดูไม่ใส่ใจเ้าสำนักดาบิญญาเมฆาคนนี้เลย ในฐานะศิษย์ของสำนักดาบิญญาเมฆาแล้ว กลับแสดงออกชัดว่าไม่ใส่ใจเ้าสำนักเช่นนี้ แต่เ้าสำนักเองกลับไม่มีท่าทีหงุดหงิดหรือโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเผยท่าทีผิดหวัง ทำอะไรไม่ถูก และคอยเอาอกเอาใจแทน
ทั้งสองคนนี้ต่างก็แซ่ฉิน เด็กสาวคงไม่น่าใช่ลูกสาวลับๆ ของเ้าสำนักดาบิญญาเมฆาแน่ ไม่สิ หากเป็ลูกสาวนอกสมรสจริง เด็กสาวคนนี้จะเรียกผู้าุโตี๋ว่าอาจารย์ปู่ และผู้าุโเสิ่นเยาเยวี่ยว่าท่านย่าได้อย่างไร ควรจะเรียกว่าลุงหรือป้าแทนสิ หรือว่าจะเป็หลานสาว?
ว่าแต่ฉินว่านซานไปทำอะไร ถึงทำให้หลานสาวแท้ๆ ของตนเองไม่ชอบหน้าถึงเพียงนี้ เซียวหลิงอวิ๋นพูดคุยกับผู้าุโสูงสุดทั้งสามไปพลาง และครุ่นคิดถึงเื่นี้ไปพลาง
“รายงานศิษย์พี่ ศิษย์พี่หญิง เ้าเด็กเ่าั้เหมือนจะเริ่มประท้วงกันแล้ว พวกเขาเรียกร้องให้ทำการคัดเลือกศิษย์ก้นกุฏิในครั้งนี้อย่างเปิดเผย” จู่ๆ ก็มีเสียงรายงานดังขึ้น จากนั้นในห้องโถงก็มีคนเข้ามาเพิ่มอีกหนึ่งคน คนคนนั้นคือิ่ชางไห่นั่นเอง!
“ให้ทำการคัดเลือกศิษย์สืบทอดสำนักอย่างเปิดเผยอย่างนั้นหรือ!” คิ้วของฉินว่านซานขมวดเล็กน้อย จากนั้นสายตาก็เหลือบมองไปที่ผู้าุโสูงสุดของสำนักดาบิญญาเมฆาทั้งสาม “ข้าคาดการณ์ไว้แล้วล่ะ! ั้แ่ที่ศิษย์พี่บอกเื่นั้น ข้าเองก็คิดมาตลอด ‘ลำธารเก้าชั้น’ ของสำนักชั้นนอก และ ‘หอคอยเทพมารฟ้าดินเก้าเปลี่ยน’ ของสำนักชั้นใน รวมถึงถ้ำ ‘เสี่ยวหลิงเจี้ย’ ของศิษย์ก้นกุฎิในเวลานี้ ยังมีที่ว่างอยู่!
ในเวลานี้ที่เสี่ยวหลิงเจี้ยมีถ้ำที่ใช้ฝึกวิชาอยู่อีกสิบเก้าถ้ำ ในปีนี้ข้าจึงตั้งใจจะรับศิษย์ก้นกุฏิอีกสักห้าคน หลังจากนั้นในทุกๆ ปีจะรับอีกหนึ่งหรือสองคนเป็เวลาสิบปีติดต่อกัน!”
“ศิษย์พี่ ข้าว่ารับศิษย์ก้นกุฏิทีเดียวห้าคนจะไม่เพียงพอเอานะ นอกจากหลิงอวิ๋นกับหรูเยียนแล้ว พวกเรายังพาเด็กสาวมาด้วยอีกสองคน คนหนึ่งคือจ้าวหนีอิ่ง ผู้ที่เข้าถึงเจตจำนงดาบสายลมได้ถึงสี่ส่วน อีกคนหนึ่งเป็เด็กสาวที่สามารถเรียกใช้วิชาสัตว์อสูรกลืนิญญาได้”
“เด็กสาวแซ่จ้าวเข้าถึงเจตจำนงดาบสายลมอย่างนั้นหรือ เก่งมาก เก่งมาก พร์เช่นนี้มีคุณสมบัติมากพอที่จะเข้าไปในเสี่ยวหลิงเจี้ยได้แล้ว แต่วิชาเรียกสัตว์อสูรกลืนิญญานั้น คือวิชาที่ผสานตัวเองเข้ากับิญญาสัตว์อสูร ซึ่งไม่ใช่จุดแข็งของสำนักดาบเรา สำนักของเราในปัจจุบันมีเพียงยอดเขาสัตว์วิเศษของสวี่เจี๋ยเท่านั้นที่เชี่ยวชาญในด้านนี้” เสิ่นเยาเยวี่ยกล่าว
“เื่นี้ไม่ต้องรีบร้อน รออีกไม่กี่ปีให้หลัง พวกเราค่อยไปแลกเปลี่ยนตัวกับสำนักสัตว์วิเศษหรือสำนักอื่นๆ อีกหลายแห่งแทนก็ได้” ตี๋จั๋วรื่อกล่าว “ในเมื่อยังมีถ้ำฝึกวิชาอยู่สิบเก้าถ้ำ นอกจากสี่คนนี้แล้ว ก็ค่อยหาเพิ่มอีกสักสามคนย่อมไม่ใช่ปัญหา หากมีผู้ที่คุณสมบัติเหมาะสม จะเพิ่มอีกสักห้าคนไปเลยยังได้”
“ข้าคิดว่าวิชาบำเพ็ญเพียรและวิชาิญญาของสำนักเราสมควรถูกเปิดเผยให้มากขึ้นด้วยซ้ำ หรือแม้กระทั่งกฎที่ว่า เมื่อใดก็ตามที่เลื่อนขั้น จะสามารถเลือกเรียนวิชาิญญาหนึ่งวิชาได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย หรือจะลดราคาแต้มสำนักลงครึ่งหนึ่งก็ไม่เลว!” ิ่ชางไห่กล่าว
ฉินหรูเยียนเบิกตากว้าง มองไปที่เหล่าผู้าุโสูงสุดทั้งหลายที่กำลังพูดคุยกันอย่างออกรส ในขณะที่เซียวหลิงอวิ๋นกลับขมวดคิ้ว ด้วยประสบการณ์และความรู้ที่มากมายของเขา เพียงคำพูดไม่กี่คำจากปากผู้าุโสูงสุดเหล่านี้ ก็ทำให้เขารู้สึกถึงวิกฤตที่รุนแรง
ถ้ำเสี่ยวหลิงเจี้ย ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็สถานที่ฝึกวิชาลับที่สำคัญที่สุดของสำนักดาบิญญาเมฆา!
เหล่าศิษย์ก้นกุฏิมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อรากฐานของสำนัก สำนักจะสามารถคงอยู่ได้ยืนยาวเป็พันปีหรือหมื่นปีได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับพวกเขา ในเวลานี้ทั้งสองอย่างที่สำคัญที่สุดกลับเปิดกว้าง และขยายขนาดอย่างรวดเร็ว สิ่งนี้บ่งบอกถึงอะไร? บ่งบอกถึงสภาวะวิกฤตอย่างไรเล่า ทั้งยังเป็วิกฤตที่สามารถคุกคามรากฐานของสำนัก หรือแม้กระทั่งการดำรงอยู่ของสำนักเลยก็ว่าได้ วิกฤตินี้มีแนวโน้มว่าจะมาถึงในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า!
หลังจากที่ทำการเรียบเรียงข้อมูลเหล่านี้อย่างรวดเร็วแล้ว เซียวหลิงอวิ๋นก็รู้สึกถึงวิกฤตทันที!
แม้ว่าตัวเขาจะมีเคล็ดวิชาชั้นยอดอยู่มากมาย แต่หากปราศจากซึ่งพลังแล้ว ก็จะเป็แค่เื่เพ้อฝันเท่านั้น ภายในเวลาสิบปี ต่อให้ได้อยู่ในเสี่ยวหลิงเจี้ยที่มีพลังิญญาอุดมสมบูรณ์และได้ฝึกวิชาอย่างเต็มที่ก็ตาม ก็ไม่มีทางที่จะบรรลุไปถึงระดับเดียวกันกับผู้าุโทั้งหลายเหล่านี้! เวลากระชั้นชิดเกินไป! อย่าว่าแต่ตัวเขาที่เป็ถึงราชันเทพมาเกิดใหม่เลย ต่อให้เป็จักรพรรดิเทพที่อยู่เหนือกว่าหนึ่งระดับยังทำไม่ได้!
...
ในขณะที่ผู้าุโสูงสุดทั้งสี่ปรึกษากัน ว่าหลังจากทำพิธีเปิดเส้นลมปราณิญญาใน่กลางเดือนแล้ว จะทำการคัดเลือกศิษย์ก้นกุฏิทันที! จากนั้นจะมีการบังคับใช้กฎใหม่ของสำนักอีกมากมาย!
เซียวหลิงอวิ๋นปฏิเสธความปรารถนาดีของผู้าุโสูงสุดทั้งสี่ที่จะให้เขาเข้าไปอยู่ในเสี่ยวหลิงเจี้ยทันที! อ้างว่าจะขอรอจนกว่าการคัดเลือกศิษย์ก้นกุฏิจบแล้วค่อยเข้าไปพร้อมกับคนอื่นๆ แต่ความจริงแล้ว เวลานี้ตัวเขาเป็เพียงนักยุทธ์ระดับเจ็ด การเข้าไปในเสี่ยวหลิงเจี้ยทันทีไม่เพียงแต่จะเปล่าประโยชน์ ยังไม่เป็ผลดีต่อการสร้างรากฐานร้อยวันของเขาอีกด้วย ในเสี่ยวหลิงเจี้ยมีพลังหยินจากดวงดาว และพลังหยางจากดวงอาทิตย์มากขนาดไหนกันเชียว!
สิ่งเหล่านี้ต้องเก็บไว้หลังจากที่เขาเปิดเส้นลมปราณิญญา และสร้างขดพลังิญญาสำเร็จเสียก่อน!
ตัวเขาได้ทำการขอที่อยู่ของจ้าวเหวินจัวมาจากิ่ชางไห่ แล้วเดินไปหาจ้าวเหวินจัวเพื่อจัดการเื่ที่พัก โดยมีเ้าบ้านครึ่งตัวอย่างฉินหรูเยียนไปเป็เพื่อน
“ได้ยินหรือไม่ สำนักิญญาเมฆาในเวลานี้ไม่เพียงแต่จะมีอัจฉริยะที่ปรากฏตัวสักครั้งในรอบหมื่นปีเท่านั้น ยังมีผู้แข็งแกร่งที่เปิดเส้นลมปราณิญญาสำเร็จในสำนักสาขาโดยไม่ต้องผ่านพิธีเปิดเส้นลมปราณิญญาอีกด้วย ทำให้เกิดปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ส่องแสงพร้อมกัน หงส์เพลิงบินขึ้นสู่ท้องฟ้า ได้ยินมาว่าทำให้ผู้าุโสูงสุดทั้งสองต้องรีบไปดูด้วยตนเอง!” เด็กหนุ่มห้าคนเดินสวนมา! สามคนเดินนำหน้า อีกสองคนเดินตามหลัง! โดยเด็กหนุ่มที่เดินนำหน้าด้านซ้ายกำลังพูดอย่างออกรส!
“คนที่ทำให้เกิดปรากฏการณ์ สามารถเปิดเส้นลมปราณด้วยตนเองได้นั้นเป็อัจฉริยะอย่างแท้จริง ส่วนอีกคนที่เป็เพียงนักยุทธ์ระดับกลาง จะเปิดเส้นลมปราณได้สำเร็จหรือไม่ก็ยังไม่รู้ แต่กลับกล้าเรียกตัวเองว่าเป็อัจฉริยะที่ปรากฏตัวสักครั้งในรอบหมื่นปี! สำนักิญญาเมฆารั้งท้ายบรรดาห้าสำนักสาขาติดต่อกันมานานสิบกว่าปี ใครจะรู้ว่านี่อาจเป็แค่การโฆษณาชวนเชื่อเพื่อทำให้ตัวเองดูดีขึ้นมาก็ได้!” เด็กหนุ่มที่อยู่ด้านขวากล่าวอย่างดูถูก!
ฉินหรูเยียนใช้ปลายนิ้วจิ้มเซียวหลิงอวิ๋นแล้วหัวเราะเบาๆ “ดูสิ คนเริ่มตั้งคำถามถึงอัจฉริยะที่ปรากฏตัวสักครั้งในรอบหมื่นปีของเ้าแล้ว!”
เซียวหลิงอวิ๋นก็กล่าวอย่างใจเย็น “ปากเป็ของเขา เขาจะพูดอะไรก็ได้ทั้งนั้น หรือข้าต้องรีบวิ่งไปหาพวกเขา แล้วบอกว่า นี่พวกเ้า อัจฉริยะที่ปรากฏตัวสักครั้งในรอบหมื่นปีที่พวกเ้าพูดถึงก็คือข้าเอง อย่างนั้นหรือ!”
ฉินหรูเยียนหัวเราะคิกคัก “ฮิๆ ความคิดนี้ก็ไม่เลวนะ อยากให้ข้าเข้าไปบอกแบบนั้นหรือไม่ล่ะ!”
แต่แล้วคำพูดกลับดังขึ้นมาจากคนที่อยู่ตรงหน้า “ต่อให้เป็อัจฉริยะที่ปรากฏตัวขึ้นสักครั้งในรอบหมื่นปีจริง แต่หากนิสัยแย่ พร์ดีแค่ไหน ก็เป็เพียงสัตว์เดรัจฉานเท่านั้น ได้ยินมาว่าเ้าหมอนั่นชื่อแซ่เซียว หลังจากแสดงพร์ของตัวเองออกมา ก็ทอดทิ้งคู่หมั้นที่หมั้นหมายกันั้แ่เกิดทันที จากนั้นก็ไปเที่ยวจู๋จี๋กับสาวสวยหลายคนในสำนักิญญาเมฆา คนประเภทนี้ช่างเสเพลสิ้นดี...”
สัตว์เดรัจฉาน! ทอดทิ้ง! จู๋จี๋!
เมื่อครู่เซียวหลิงอวิ๋นและฉินหรูเยียนยังมีรอยยิ้มบนใบหน้า แต่เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้แล้ว ใบหน้าของทั้งคู่ก็มืดดำลงทันที!
