คนตระกูลหวังรับเงินค่าแรงจากหวังไห่แล้วจากไปด้วยใบหน้าพึงพอใจ หวังไห่วางไข่ต้มลงบนมือของเฟิงซื่อ “ตอนเช้าข้ากินไปแล้วฟองหนึ่ง ฟองนี้ให้เ้า”
ก่อนหน้านี้หากหวังไห่มีของกินจะเก็บไว้ให้หลานชายหลานสาวทั้งหมด ตอนนี้แยกบ้านแล้ว แต่ละบ้านก็ใช้ชีวิตของตนเองจึงไม่ได้มอบให้พวกนางอีก
สำหรับสามีชราภรรยาอ่อนวัยเช่นพวกเขา หลังจากแยกบ้านแล้วปากท้องยามกินข้าวของครอบครัวก็น้อยลง เื่น้อยใหญ่ก็ลดลง เมื่อไม่มีความขัดแย้งจึงมีความสุขกว่าแต่ก่อนมาก
นอกจากนี้หวังไห่ได้รับงานซื้อขายแป้งขาวและไข่ไก่กับงานซ่อมแซมบ้านมาจากบ้านหลี่ผ่านทางเฟิงซื่อ หลายวันมานี้จึงทำเงินได้หลายร้อยทองแดง ทั้งยังไม่ต้องแบ่งให้บุตรชายคนโตและบุตรชายคนรอง ไม่ทันไรก็อยู่ดีกินดีมีเงินทองเหลือแล้ว
เงินคือทุกสิ่ง เมื่อพึงพอใจเขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงที่มีความสุข อารมณ์ก็ดีขึ้น เห็นใครก็รู้สึกรื่นหูรื่นตาไปหมด ต่อให้เป็หวังเยี่ยนบุตรสาวอัปลักษณ์ก็ยังรู้สึกว่าทนมองได้
ณ ห้องโถง บ้านหลี่
ขณะรอน้องสามและน้องสี่กลับมาจากอำเภอ หลี่เจี้ยนอันก็ถือโอกาสนี้เล่าเื่ที่หวังไห่พูดกับคนในตระกูลให้จ้าวซื่อฟัง
ก่อนหน้านี้พวกเขาพี่น้องคุยกับจ้าวซื่อเื่ก่ออิฐสร้างเตียงเตาไปบ้างแล้ว แต่ไม่เคยบอกเื่ที่จะได้ส่วนแบ่งหนึ่งในสิบจากคนตระกูลหวัง
จ้าวซื่อถามด้วยใบหน้าบึ้งตึง “การก่ออิฐสร้างเตียงเตาเป็ทักษะเฉพาะ พวกเ้าถ่ายทอดให้คนนอกเช่นนั้นหรือ”
หลี่เจี้ยนอันพยักหน้าอย่างหนักแน่น “การก่ออิฐสร้างเตียงเตาไม่ยาก ขอเพียงทุบเตียงเตาออกดูก็พอรู้คร่าวๆ แล้วขอรับ”
จ้าวซื่อถามอย่างไม่สบอารมณ์ “เช่นนั้นไปก่ออิฐสร้างเตียงเตาด้านนอกทำเงินได้ เื่ดีเช่นนี้เหตุใดไม่คิดถึงบิดาและอารองของเ้า?”
ปัญหานี้หลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังเคยถามหลี่หรูอี้มาก่อนแล้ว
หลี่เจี้ยนอันรีบร้อนอธิบาย “ท่านแม่ น้องสาวคิดว่าคนที่จะไปทำงานก่ออิฐสร้างเตียงเตาด้านนอกต้องเสี่ยงอันตรายมาก จึงไม่อยากให้ท่านพ่อและท่านอารองไปขอรับ”
จ้าวซื่อถามขึ้นอีกครั้ง “แล้วคนตระกูลหวังออกไปทำงานข้างนอกไม่เสี่ยงอันตรายหรือ”
หลี่เจี้ยนอันอธิบายอย่างอดทน “ท่านแม่ นี่ไม่เหมือนกันขอรับ ครอบครัวเราเป็ครอบครัวที่ย้ายมาจากนอกหมู่บ้าน ในหมู่บ้านจึงมีบุรุษวัยฉกรรจ์สองคนเท่านั้น แต่ครอบครัวหวังเป็ตระกูลใหญ่ ในตระกูลมียี่สิบกว่าครอบครัวย่อย รวมบุรุษ สตรี เด็ก และคนชราแล้วมีสองร้อยกว่าคน อีกอย่างลุงหวังเป็หัวหน้าหมู่บ้าน เป็คนที่ได้รับเงินจากทางเ้าหน้าที่ในอำเภอตลอดมา ผู้ใดจะกล้าล่วงเกินตระกูลหวังบ้าง”
หลี่หรูอี้นั่งอยู่ด้านข้าง สุดท้ายจึงเอ่ยปากว่า “ท่านแม่ ท่านไม่คิดบ้างหรือ หากท่านพ่ออยู่บ้านจะอนุญาตให้พวกเราสร้างเตียงเตาหรือ”
หลี่เจี้ยนอันกล่าวอย่างเนิบช้า “น้องสาวพูดกับท่านพ่อเื่ขายอาหารหลายครั้งแล้ว แต่ท่านพ่อก็ไม่เห็นด้วย ก่อนไปเมืองเยี่ยนยังกำชับท่านไว้อีกว่า ไม่ให้ท่านมอบเงินทุนให้น้องสาวไปขายอาหาร”
“พอได้แล้ว พวกเ้าเห็นบิดาเ้าดื้อรั้นเกินไปแล้ว” แม้ปากของจ้าวซื่อจะกล่าวออกมาเช่นนี้ แต่ในใจกลับรู้ดีว่าสามีดื้อรั้นเพียงนั้นจริงๆ
หลี่หรูอี้เห็นสีหน้าของจ้าวซื่ออ่อนลงเล็กน้อย จึงถือโอกาสพูดอีกครั้ง “ท่านแม่ ข้ายังมีทักษะเฉพาะอีกมากมาย รอให้ท่านพ่อและท่านอารองกลับมาก่อนค่อยสอนให้พวกเขา แต่ข้ากลัวว่าท่านพ่อจะไม่เชื่อข้า แล้วไม่ยอมเรียน…”
จ้าวซื่อจึงพูดขึ้นว่า “ข้าสนับสนุนเ้า ขอเพียงสิ่งที่เ้ากล่าวมาถูกต้องและดี ต่อให้บิดาเ้าจะดื้อรั้นเช่นไร ก็ต้องทำตามคําพูดของเ้า”
หลี่หรูอี้ยิ้มจนตาหยี รีบกล่าวประจบประแจง “ท่านแม่ดีที่สุด”
จ้าวซื่ออดที่จะถามไม่ได้ “อีกสามวันเตียงเตาของเ้าจะร้อนจริงหรือ”
หลี่หรูอี้ยิ้มอย่างมีเลศนัย และกระซิบว่า “เมื่อครู่ข้าจุดไฟทำอาหารอยู่ในครัว ท่านลองไปแตะเตียงเตาดูก็ได้ว่าอุ่นหรือไม่”
เมื่อได้ยินดังนั้นหลี่ฝูคังก็วิ่งออกจากห้องโถงไปอย่างรวดเร็วดุจลูกธนู หลี่เจี้ยนอันวิ่งเหยาะๆ ตามออกไป จ้าวซื่อก็เดินประคองท้องไปยังห้องนอนด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน
แล้วทั้งสามก็เดินกลับมาพร้อมกัน ในดวงตากลมโตทั้งสามคู่เต็มไปด้วยประกายระยิบระยับ กล่าวด้วยน้ำเสียงแปลกใจ “อุ่น!”
“ข้าลองเปิดปล่องดูแล้ว” หลี่หรูอี้ขยิบตากลมโตของนาง “พอถึงฤดูหนาว หากพวกเราใช้ไฟมากเตียงเตาจะอุ่นตลอดสิบสองชั่วยาม ถึงตอนนั้นพวกท่านอย่ารังเกียจว่ามันร้อนเกินไปก็พอ”
จ้าวซื่อมองหน้าบุตรสาวสุดที่รัก หัวเราะอย่างยินดีจนน้ำตาซึม “พวกเราจะรังเกียจว่ามันร้อนเกินไปได้อย่างไร”
“พอถึงฤดูหนาว ข้างนอกเย็นจนน้ำมูกแทบแข็ง ในบ้านจะต้องอบอุ่นเข้าไว้ พวกเราไม่รังเกียจแน่นอน”
หลี่ฝูคังกล่าวอย่างฮึกเหิม “ใกล้ถึงฤดูหนาวแล้ว เตียงเตาใกล้จะร้อนแล้ว!”
หลี่หรูอี้เห็นท่าทีของทั้งสามพลันคาดเดาได้ทันทีว่า ฤดูหนาวของหมู่บ้านแห่งนี้จะหนาวแค่ไหน
หมู่บ้านหลี่ที่นางอยู่ อยู่ในเขตเมืองเยี่ยน
เมืองเยี่ยนอยู่บริเวณทิศตะวันออกเฉียงเหนือของแคว้นต้าโจว ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ภูมิอากาศ พืชผลทางการเกษตรและสิ่งต่างๆ คล้ายกับปักกิ่งที่เป็เมืองหลวงในโลกก่อนของนาง
ที่ผ่านมานางคิดว่า ฤดูหนาวของเมืองเยี่ยนจะค่อนข้างอุ่นไม่ต่างจากปักกิ่ง แต่กลับลืมไปว่า ฤดูหนาวของปักกิ่งในยุคสังคมศักดินาก็มีอุณหภูมิต่ำกว่าในยุคปัจจุบันเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นหมู่บ้านหลี่อยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเยี่ยน ซึ่งมีอุณหภูมิต่ำกว่าที่เมืองเยี่ยนเสียอีก
จ้าวซื่อยิ้ม สายตาที่มองไปยังบุตรชายทั้งสองเจือไปด้วยความรู้สึกผิด “เสียดาย ฤดูหนาวพวกเ้าพี่น้องยังต้องออกไปทำการค้าด้านนอกอีก”
หลี่เจี้ยนอันและหลี่ฝูคังกล่าวพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย “ไม่เป็ไรขอรับ พวกเรายังหาเงินได้”
หลี่หรูอี้เอ่ยขึ้นว่า “ข้าจะคิดหาวิธีทำให้ครอบครัวของพวกเราหาเงินได้ โดยไม่ต้องออกจากบ้านในฤดูหนาว”
หลี่ฝูคังกล่าวอย่างยินดี “จริงหรือ?!” ความจริงฤดูหนาวหนาวเกินไป ไม่ต้องพูดถึงคนเลย กระทั่งสัตว์มีขนก็ยังต้องขดตัวอยู่ในหลุมเพื่อหลบลมหนาว เพราะมันไม่อยากออกไปไหน
หลี่เจี้ยนอันถามว่า “น้องสาวคิดจะขายผักดองในฤดูหนาวหรือ”
เมื่อได้ยินดังนั้นจ้าวซื่อก็รู้สึกน้ำลายสอจนต้องกลืนน้ำลายอึกใหญ่ คนท้องชอบกินผักดองเปรี้ยวๆ เป็ที่สุด
หลี่หรูอี้ส่ายหน้าหัวเราะ “ไม่ใช่ผักดอง แต่เป็อย่างอื่น น่าสนใจมากทีเดียว”
“เ้าคิดอาหารชนิดใหม่ได้อีกแล้วหรือ”
“น้องสาวยอดเยี่ยมจริงๆ มีความคิดใหม่อีกแล้ว”
หลี่หรูอี้มองไปทางจ้าวซื่อ กล่าวช้าๆ ว่า “ข้ากลัวท่านพ่อไม่ฟัง”
“พ่อเ้ามีข้าอยู่ ข้าโน้มน้าวเขาได้แน่” หลังจากจ้าวซื่อทดสอบประสิทธิภาพของเตียงเตาด้วยมือตนเอง ก็เชื่อในบุตรีสุดที่รักจากก้นบึ้งของหัวใจ จึงไม่ต้องเป็ห่วงเื่โน้มน้าวสามีเลย
ขณะที่กำลังสนทนากัน หลี่อิงฮว๋าและหลี่ิ่หานก็กลับมาแล้ว กลับมาเร็วกว่าปกติ ในตะกร้าว่างเปล่า พวกเขาขายแป้งย่างหมด
เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องโถงแล้ว หลี่อิงฮว๋าก็รีบนำถุงเงินในสาบเสื้อที่มีเงินจากการค้าทั้งหมดบรรจุอยู่ออกมาวางบนโต๊ะแปดเซียน
หลี่ิ่หานถามด้วยความคาดหวังว่า “ท่านแม่ ครอบครัวเราซื้อสุนัขมาเฝ้าบ้านดีหรือไม่ขอรับ”
จ้าวซื่อลูบท้องนูนๆ ของตน อีกไม่นานครอบครัวจะมีปากท้องเพิ่มขึ้นมาอีกสองคน ค่าใช้จ่ายจะเพิ่มมากขึ้น จึงก้มหน้าพูดว่า “เลี้ยงสุนัขจะต้องให้อาหารมันด้วย บ้านเรามีคนอยู่ทุกวัน ไม่ต้องเลี้ยงสุนัขหรอก”
หลี่อิงฮว๋าส่งสายตาปลอบใจให้หลี่ิ่หาน ดูเถิด เขาก็รู้ว่าท่านแม่จะไม่เห็นด้วย
หลี่หรูอี้ถามอย่างสนอกสนใจ “สุนัขประเภทใด”
หลี่ิ่หานกล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “สุนัขที่มีอยู่ในหมู่บ้านนั่นแหละ วันนี้ที่ตลาดในอำเภอมีคนขายลูกสุนัข ขนขาว ขนเหลือง ขนดำ สีอะไรล้วนมีทั้งหมด ตัวละสองทองแดง”
หลี่หรูอี้กล่าวอย่างอยากรู้อยากเห็น “ถูกจริงๆ ราคาเท่ากับแป้งย่างต้นหอมสองแผ่น”
หลี่ฝูคังกระซิบ “สุนัขออกลูกครั้งละหนึ่งครอก ครอกหนึ่งก็หลายตัว เ้าของจะเลี้ยงไหวที่ไหนกัน ต้องรีบขายราคาถูกอยู่แล้ว”
“น้องสาว เ้าอยากเลี้ยงสุนัขหรือ” หลี่ิ่หานส่งสายตาให้หลี่หรูอี้ ตนโน้มน้าวไม่ได้ แต่น้องสาวโน้มน้าวได้แน่
.......................................