หลี่หรูอี้ยิ้มบางๆ “หากจะเลี้ยงสุนัขพันธุ์ที่มีในหมู่บ้าน ยังต้องไปซื้อจากตลาดอีกหรือ ขอจากคนในหมู่บ้านพวกเรามิได้หรือ”
“มิได้ อย่าเอาลูกสุนัขจากคนในหมู่บ้านเด็ดขาด ต้องเป็สุนัขจากคนนอกหมู่บ้านเท่านั้น” หลี่อิงฮว๋าดันถุงเงินไปไว้ตรงหน้าหลี่หรูอี้ “ตอนนี้บ้านเรามีเงินแล้ว จะต้องป้องกันให้ดี”
จ้าวซื่อนั่งอยู่ข้างหลี่อิงฮว๋าพอดี จึงยื่นมือไปเคาะหน้าผากเขาเบาๆ และตำหนิว่า “เ้าคิดมากเกินไปแล้ว มองผู้อื่นในทางร้ายไปเสียหมด”
หลี่อิงฮว๋าพูดยิ้มๆ “ท่านแม่ ท่านไม่รู้ ตอนนี้คนในหมู่บ้านอิจฉาครอบครัวเรา เอาแต่จ้องมองพวกเราพี่น้องด้วยความอิจฉาจนตาแทบถลนออกมาแล้ว”
หลี่ิ่หานรีบช่วยพูด “ทุกครั้งที่พวกเราไปซักเสื้อผ้าริมน้ำ ประมาณเก้าในสิบคนมักจะถามพวกเราว่า ขายแป้นย่างได้เท่าไร ทำเงินได้มากน้อยเพียงใด”
หลี่ฝูคังพูดต่อ “ไม่ทันไรครอบครัวพวกเราก็ปรับปรุงบ้าน ขุดบ่อน้ำ คนใจแคบบางส่วนต้องอิจฉาอยู่ในใจแน่นอน”
“เช่นนั้นเลี้ยงสุนัขก็ดี” หลี่เจี้ยนอันมองไปทางหลี่หรูอี้ พูดอย่างกังวลว่า “ปกติน้องสาวชอบไปเก็บสมุนไพรบนูเา พาสุนัขไปด้วยตัวหนึ่งจะได้คอยปกป้องนางด้วย”
หลี่อิงฮว๋าพูดยิ้มๆ “นางก็พาสุนัขไปด้วยตลอดไม่ใช่หรือ”
หลี่หรูอี้กล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “อู่โก่วจื่อเป็สหายของข้า ไม่ใช่สุนัข!”
หลี่อิงฮว๋าลูบจมูก ขุดประวัติอันดำมืดของอู่โก่วจื่อออกมาพูด “อู่โก่วจื่อร้ายกาจกว่าสุนัขจริงๆ ตอนเด็กยังกัดได้ด้วย กัดพี่ชายหลายคนในครอบครัวไปหมดแล้ว”
หลี่หรูอี้กรอกตา “นั่นเป็เพราะนางหิวเกินไป มิเช่นนั้นคงไม่ทำ”
จ้าวซื่อคิดอยู่ครู่หนึ่ง หากทำเพื่อบุตรีสุดที่รักแล้ว นางยินดีเปลืองค่าอาหารสุนัข “ได้ พวกเ้าอยากเลี้ยงสุนัขก็เลี้ยงเถิด ต่อไปก็ให้สุนัขตามหรูอี้ขึ้นูเา”
หลี่ิ่หานยินดียิ่งนัก
หลี่หรูอี้ยิ้ม ในสมองปรากฏภาพสุนัขทหารตัวใหญ่สองตัวที่คอยติดตามกองทัพในโลกก่อน “เลี้ยงสุนัขพันธุ์พื้นบ้านปกติคงไม่มีประโยชน์อะไรมาก หากจะเลี้ยงก็เลี้ยงสุนัขล่าเนื้อเถิด เื่นี้ข้าจะไปพูดกับลุงหวังเสียหน่อย เขารู้จักคนไปทั่ว จะต้องหาได้แน่”
หลี่เจี้ยนอันพูดว่า “น้องสาว สุนัขล่าเนื้อคือสุนัขที่ต้องพาไปล่าสัตว์บนูเา เื่เฝ้าบ้านสู้สุนัขพันธุ์พื้นบ้านไม่ได้หรอก”
“อย่างไรก็ต้องเลี้ยงสุนัขดุๆ เสียหน่อย”
หลังจากครอบครัวกินอาหารเย็นเสร็จ จ้าวซื่อก็ไปนอน
หลี่หรูอี้หารือกับพี่ชายทั้งสี่ คิดสร้างสรรค์ห้องใหญ่เพิ่มอีกสองห้อง เพื่อใช้สำหรับทำการค้าโดยเฉพาะ “ลานด้านหลังของบ้านเรามีพื้นที่ใหญ่มาก”
หลี่อิงฮว๋าถามอย่างแปลกใจ “น้องสาว เ้าบอกพวกเรามาเถิดว่าจะทำการค้าอะไร จะต้องใช้ห้องใหญ่แค่ไหน”
“เป็การค้าที่ค้าขายในบ้านได้ตลอดหนึ่งปีสี่ฤดูโดยไม่ต้องออกไปไหน ถึงตอนนั้นพวกท่านก็จะรู้เอง” หลี่หรูอี้เห็นพี่ชายทั้งสี่มีท่าทีผิดหวังจึงหัวเราะอย่างมีเลศนัย “ความจริงข้าอยากสร้างห้องอีกห้องหนึ่ง ถือโอกาสตอนที่ท่านพ่อไม่อยู่ซื้อลามาเลี้ยงที่ห้องนั้นเสียเลย”
พี่ชายทั้งสี่มองหน้าสบตากัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความดีใจและตื่นเต้น
“บ้านลุงหวังของหมู่บ้านเรายังไม่เลี้ยงลาเลย หากบ้านของพวกเราเลี้ยงลา เช่นนั้นก็จะต้องเป็ลาตัวเดียวในหมู่บ้านแล้ว”
“ลาค่อนข้างเชื่องและแข็งแรง”
“สร้างห้องเพิ่มอีกห้องหนึ่งแล้วซื้อลามาเลี้ยงเถิด”
“น้องสาว หากที่บ้านมีลา ข้าจะขึ้นเขาไปตัดหญ้ามาเลี้ยงมันเอง”
หลี่เจี้ยนอันตื่นเต้นจนหน้าแดง อดที่จะกล่าวเสียงใสไม่ได้ว่า “น้องสาว ทุกวันที่สิบจะมีคนมาขายลาที่ตลาดเล็กในอำเภอ ข้าเคยถามมาแล้ว ลาตัวเมียโตเต็มวัยราคาห้าตำลึง ลาตัวผู้สี่ตำลึง ลูกลาตัวเมียสองตำลึงห้าสิบทองแดง ส่วนลูกลาตัวผู้ราคาสองตำลึง”
หลี่ฝูคังก็กล่าวด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “ไม่กี่วันก่อน พี่ใหญ่ยังพูดกับข้าอยู่เลยว่า หากครอบครัวเรามีเงินเหลือจะไปซื้อวัวตัวใหญ่”
หลี่อิงฮว๋ายิ้ม “พี่ใหญ่อยากซื้อวัวไม่อยากซื้อลานี่เอง”
หลี่เจี้ยนอันกระแอมเบาๆ สองครั้ง แสร้งทำเป็พูดจาเคร่งขรึมจริงจัง “อืม... ข้าอยากซื้อวัวก็จริงอยู่ แต่ภายหลังคิดดูแล้ว ราชสำนักควบคุมเื่วัวมาก ที่ดินของบ้านเราก็มีเพียงสิบหมู่ ไม่จำเป็ต้องซื้อวัวแล้ว”
แคว้นต้าโจวมีกฎหมายคุ้มครองวัว ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถฆ่าวัวได้ตามใจ แม้จะเป็เชื้อพระวงศ์ก็ตาม
หากครอบครัวซื้อวัวมาจะต้องไปลงบันทึกกับเ้าหน้าที่ในอำเภอเสียก่อน ห้ามนำไปใช้ในทางที่ผิด ห้ามฆ่าวัว ต้องป่วยตายหรือตายโดยอุบัติเหตุเท่านั้น เมื่อเ้าหน้าที่ตรวจสอบแล้วจึงจะกินเนื้อวัวที่ตายนั้นได้
หากฝ่าฝืนกฎหมาย โทษสถานหนักคือ ถูกเนรเทศสามพันลี้ โทษสถานเบาคือ โบยสามสิบไม้และยึดทรัพย์ของครอบครัว
หมู่บ้านหลี่ไม่มีครอบครัวใดเลี้ยงวัวเลย
แต่ลาไถนาไม่ได้ คนในหมู่บ้านก็ไม่ได้ทำการค้า ชีวิตประจำวันก็ไม่จำเป็ต้องใช้ลา จึงไม่มีคนซื้อลามาเลี้ยง ต่อให้เป็ครอบครัวหวังไห่ที่ร่ำรวยที่สุดก็ยังไม่ซื้อเลย
หลี่หรูอี้กระซิบ “เลี้ยงวัวก็เหมือนเลี้ยงบรรพบุรุษ บ้านเราไม่เลี้ยงวัวหรอก” ในใจนึกถึงชีวิตในโลกก่อนที่สามารถกินเนื้อวัวได้ตามใจ
“บรรพบุรุษ…” พี่ชายทั้งสี่หัวเราะจนตัวโยน หน้าแทบจะติดโต๊ะ
หลี่หรูอี้หัวเราะ “เช่นนั้นพรุ่งนี้พวกเราก็พูดกับท่านแม่ ให้สร้างห้องเพิ่มอีกสามห้องเถิด”
หลี่เจี้ยนอันกำชับน้องชายทั้งสาม “พวกเราอย่าเพิ่งบอกเื่ซื้อลากับท่านแม่ รอให้ผ่านไปอีกหลายวันค่อยพูด”
จ้าวซื่อนอนอยู่บนเตียง เตียงเตายังคงอุ่นอยู่ อุณหภูมิในห้องอุ่นกว่าวันก่อนๆ ดีที่ตอนนี้เป็ปลายฤดูร้อนแล้ว ตอนกลางคืนจึงไม่ได้ร้อนอบอ้าวขนาดนั้น
อีกไม่กี่วันจะปรับปรุงบ้านเสร็จแล้ว หากตอนนี้มีสามีอยู่ด้วยคงดี จะได้ร่วมยินดีไปด้วยกัน
ยามค่ำคืนอันเงียบสงัด บุตรชายบุตรสาวของบ้านหลี่กำลังหลับไหล เด็กในท้องของจ้าวซื่อก็เริ่มดิ้น บางทีอาจเป็เพราะระยะนี้ได้กินของดีๆ เด็กๆ จึงไม่ดิ้นหนักเช่นเมื่อก่อน เพียงถีบท้องไม่กี่ครั้งเท่านั้น จ้าวซื่อยังคงทนต่อความเ็ปทรมานได้ไหว
ผ่านไปอีกสองวัน หวังไห่ก็พาคนในตระกูลมาตรวจดูเตียงเตา ผลปรากฏว่า ร้อนจริงๆ ร้อนจนเกือบลวกมือ ทุกคนต่างยินดี สายตาที่มองไปยังคนบ้านหลี่เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
“รอให้ปรับปรุงบ้านหลี่เสร็จก่อน พวกเราค่อยก่ออิฐสร้างเตียงเตาที่บ้านของตนเอง ให้ญาติพี่น้องและเพื่อนๆ มาดู สร้างชื่อเสียงออกไป เช่นนี้คนนอกหมู่บ้านก็จะมาเชิญพวกเราไปก่ออิฐสร้างเตียงเตาด้วยตนเอง”
“สร้างเตียงเตาต้องคิดเงินเท่าใด จึงจะเหมาะสมหรือขอรับ”
“เก็บตามขนาดห้อง ขนาดใหญ่เก็บสี่สิบทองแดง ขนาดเล็กเก็บสามสิบทองแดง”
“ราคานี้สูงไปหรือไม่”
“หากแพงไปก็ไม่ต้องสร้างเตียงเตา ปล่อยให้แข็งตายไปในฤดูหนาวเถิด อีกอย่างหากไม่มีเงินทองแดงก็ใช้เสบียงมาแทนได้”
“บ้านหลี่ถ่ายทอดวิชาการก่ออิฐสร้างเตียงเตาให้พวกเราแล้ว อีกไม่กี่วันพวกเราจะปรับปรุงบ้านหลี่เสร็จแล้ว อย่าเก็บเงินครอบครัวหลี่อีกเลย”
หลังจากทุกคนหารือกันเรียบร้อยแล้ว ก็ให้หวังไห่ไปบอกกับครอบครัวหลี่ว่าจะไม่คิดค่าแรงแล้ว
ผ่านไปอีกไม่กี่วัน บ้านหลี่ก็ปรับปรุงเสร็จ บ่อน้ำก็ขุดเสร็จแล้ว ทุกคนต่างยินดีปรีดา
คนในหมู่บ้านต่างพากันมาดู กล่าวว่าจ้าวซื่อร่ำรวยแล้ว คลอดบุตรชายบุตรสาวฉลาดเฉลียวมากความสามารถออกมาถึงห้าคน บางคนกล่าวว่า พอหลี่ซาน ผู้เป็เ้าบ้านไม่อยู่ จ้าวซื่อก็พาบุตรชายบุตรสาวออกไปทำเื่ใหญ่ หากหลี่ซานกลับมาจะต้องโกรธเป็แน่
“จ้าวซื่อ บ้านข้ามีเื่เล็กน้อย เ้าให้ข้าหยิบยืมสักสองตำลึงก่อนได้หรือไม่”
“จ้าวซื่อ บ้านข้าผุพังมากแล้ว อยากจะซ่อมแซมเสียหน่อย เพียงแต่การเงินติดขัด เ้าให้ข้ายืมสักสามตำลึงเถิด”
สตรีในหมู่บ้านที่ยามปกติไม่ได้ไปมาหาสู่กับบ้านหลี่ต่างมาขอยืมเงินจากจ้าวซื่ออย่างหน้าด้าน แต่ก็ถูกนางปฏิเสธไปด้วยเหตุผลที่ว่า ใช้เงินไปหมดแล้ว
“ฮึ... บ้านหลี่มีเงินไม่เท่าไหร่ก็ทำหัวสูงเสียแล้ว เป็คนหมู่บ้านเดียวกันแท้ๆ แต่กลับไม่ยอมช่วยพวกเรา”
“จ้าวซื่ออยู่ดีกินดีที่บ้าน แต่สามีของนางและอาน้อยไปสร้างกำแพงที่เมืองเยี่ยน กลับต้องกินอยู่อย่างลำบาก”
สตรีชาวบ้านหลายคนเจอไม้แข็งของจ้าวซื่อเข้าไป ในใจก็รู้สึกโกรธเกรี้ยว พูดจาว่าร้ายนางไปทั่ว
เฟิงซื่อผ่านทางมาได้ยินเข้าพอดี จึงถลึงตาใส่ ด่าไปว่า “พวกหน้าด้าน ไม่ได้รู้จักสนิทสนมอะไรกับบ้านหลี่ จู่ๆ ก็ไปขอยืมเงินหลายตำลึง ไม่ดูสารรูปตนเองเสียบ้าง ใบหน้าของพวกเ้ามีค่ากี่ตำลึงกันเชียว?”
.......................................