ในตอนบ่าย มีการติดประกาศตามถนนและตรอกซอยของเมืองเทียนเฉิงทั้งหมด สามวันต่อมา เมื่อเวลาเที่ยงวันมาถึง ก็ถึงเวลาปะาแม่ทัพเจินข้อหากล่าวทูลเื่เท็จ และสร้างความสับสนด้วยคำพูดที่ชั่วร้าย พร้อมกับเผยแพร่เื่ผีสางและเทพเ้า จึงทำให้ฮ่องเต้พิโรธมาก
การประกาศนี้ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันในหมู่ประชาชนเมืองเทียนเฉิง ไม่ว่าอย่างไร ก็เป็เื่ที่เข้าใจยาก แม่ทัพเจินทำความดีความชอบมานับไม่ถ้วน และเขาก็เป็ผู้ไม่เชื่อในเทพเ้า เขาจะพูดเื่ผีสางจนทำให้ฮ่องเต้โกรธกระทั่งสั่งปะาต่อหน้าประชาชนเช่นนี้ได้อย่างไร?
และยังมีการคาดเดาจากบรรดาขุนนางของราชสำนักว่าแม่ทัพเจินพ่ายแพ้าบ้าง สมรู้ร่วมคิดกับคนต่างแคว้นบ้าง? หรือฏบ้าง? เขาเคยเป็ขุนนางที่โดดเด่นต่อหน้าฮ่องเต้ เหตุใดถึงได้กลายเป็แบบนี้ในชั่วข้ามคืน?
อ้อ และยังได้ยินมาว่าในตำหนักลิ่วฉือซึ่งเป็สถานที่ต้องห้ามมากที่สุดในวังหลังก็ถูกไฟไหม้เมื่อวันก่อน และบุตรสาวของแม่ทัพเจิน เจินลิ่วซีก็เสียชีวิตในกองเพลิง ถึงได้ทำให้เกิดเหตุการณ์ในวันนี้ได้
ไม่ว่าจะเป็ชาวบ้านที่เฝ้าดูความตื่นเต้น หรือขุนนางที่ชิงดีชิงเด่นกันในราชสำนัก ต่างก็คาดเดากันว่าตระกูลเจินตอนนี้จบสิ้นแล้ว ถ้าแม่ทัพเจินถูกปะา เจินลิ่วเจิ้งย่อมไม่อาจหลุดพ้นจากหายนะนี้ไปได้ อนาคตในราชสำนักก็ต้องเปลี่ยนทิศทาง
ผู้คนในเมืองเทียนเฉิง ต่างพูดถึงเื่การปะาแม่ทัพเจินจนไปถึงหูของกู้หนานเฟิงและหลิวเยว่ที่อยู่ในตระกูลเฟิง กู้หนานเฟิงนิ่งสงบ แม้ว่าตระกูลกู้และตระกูลเจินจะขัดแย้งกันมานานหลายปีเพราะการแข่งขันในราชสำนัก แต่อย่างไรแม่ทัพเจินก็มีพร์ในการป้องกันดินแดน จึงรู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่ไม่ได้คิดอะไรมาก
ทว่าตรงกันข้าม ั้แ่หลิวเยว่รู้ว่าแม่ทัพเจินจะถูกตัดศีรษะภายในสามวัน ทุกอย่างมันเกินความคาดหมายของนางไปมาก
คนนอกไม่เข้าใจเกี่ยวกับเนื้อหาในประกาศ แต่นางรู้ดีที่สุดว่านี่เป็คำขาดที่อวิ๋นซู่มอบให้นาง ข้อกล่าวหาทั้งหมดที่ว่ามาล้วนถูกเขียนขึ้นเพื่อให้นางอ่าน คงเป็เพราะว่าบิดาของนางบอกเื่ที่นางกลับตระกูลเจินให้ฮ่องเต้ฟัง ฮ่องเต้ถึงได้รู้ว่านางะโลงหน้าผาแต่ไม่ตาย
หวนคิดถึงความมุ่งมั่นและความโเี้ของฮ่องเต้ ตอนที่เขาอยู่ในตระกูลเฟิงเพื่อตามหาคนเมื่อสองสามวันก่อน หากกู้หนานเฟิงไม่รอดจากภัยพิบัติครั้งนั้นเพราะหลานอวี้ สถานการณ์ของตระกูลเฟิง ชะตากรรมของกู้หนานเฟิง คงไม่ดีไปกว่าตระกูลเจิน
สุดท้ายแล้วนางก็หนีไม่พ้น หลังจากหลบหนีมาทั้งชีวิต นางก็เดินวนกลับมายังแคว้นทงและเมืองเทียนเฉิงเช่นเดิม พลันคิดถึงสิ่งที่ไต้ซืออู๋เซวียนพูดกับนางตอนที่อยู่ลาซ่าในเวลานั้น
“เ้ามาจากไหน ก็กลับไปที่นั่น”
คงจะเป็การแจ้งนางอย่างชัดเจนแล้วว่านี่คือหน้าที่ที่นางต้องกลับมา นางเองที่ปฏิเสธ นาง้ากำจัดพันธนาการแห่งโชคชะตา และ้าใช้ชีวิตที่เป็อิสระ จึงทำให้เกิดปัญหาเหล่านี้ ทำร้ายครอบครัวของนาง หรือแม้กระทั่งทำร้ายกู้หนานเฟิง
นางพูดกับเตี๋ยเย่
“เ้ารู้หรือไม่ ข้าเคยเจอเหย่เลี่ยในที่แห่งหนึ่ง แม้ว่าข้าจะไม่แน่ใจมากนัก แต่ข้าก็คิดว่าเขาคือเหย่เลี่ย พวกเขาคล้ายกันเกินไป คนผู้นั้นชี้ทางให้ข้า และข้าคิดว่านี่เป็หน้าที่ของข้า มันคือชีวิตของข้า และข้าไม่ควรหนีจากมันั้แ่กลับมาที่แคว้นทง"
แม้ว่าเตี๋ยเย่จะไม่เข้าใจสิ่งที่นางพูดมากนัก แต่นางยังคงพูดประโยคเดิม
“ตราบใดที่เ้า้าไป ข้าสามารถช่วยเ้าได้ทุกเมื่อ”
หลิวเยว่ยิ้มอย่างขมขื่น
“นายน้อยของพวกเ้ารู้ว่าข้าไปไม่ได้ เขารู้”
เส้นทางนี้ เหย่เลี่ยเป็คนชี้ทางให้นาง นางเชื่อว่าไต้ซืออู๋เซวียนก็คือเหย่เลี่ยในชาตินั้น
สามวันต่อมา ความร้อนระอุจากแสงแดดที่แผดเผา ผู้คนในเมืองเกือบทั้งหมดมารวมตัวกันที่ใจกลางเมือง มองดูรถลากเข็นนักโทษพาแม่ทัพเจินไปที่ลานปะา
แดดนี้สามารถแผดเผาคนได้ ทหารกันผู้คนไว้ไม่ให้เข้ามาใกล้
ตระกูลเจินทั้งวัยชราและวัยหนุ่มสาวต่างอยู่นอกพื้นที่ปะา พากันร้องไห้และะโ ในน้ำเสียงนั้นราวกับจะฉีกกระชากหัวใจคนให้ขาดเป็ชิ้นๆ
จากระยะไกล ฮ่องเต้ประทับอยู่บนแท่นประทับที่สูงที่สุด เขาไม่สนใจแสงอาทิตย์ที่แผดเผา ขณะที่แม่ทัพเจินกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น มือของเขาถูกมัดไว้ข้างหลัง ในระยะเวลาสามวันที่ถูกขังอยู่ในคุกนภา เขามีสุขภาพแข็งแรง ไม่ได้รับการปฏิบัติอย่างไร้มนุษยธรรมเหมือนนักโทษปะาทั่วไป และในฐานะทหารผ่านศึกที่ทำาอยู่ในสนามรบมานับไม่ถ้วน เขาก็ไม่กลัวความตาย ดังนั้นถึงแม้จะคุกเข่าอยู่ตรงนั้น เขาก็ดูไม่เหมือนนักโทษที่กำลังจะถูกปะาเลยสักนิด
ในทางตรงกันข้าม เจินฮูหยินและเจินลิ่วเจิ้งต่างร้องไห้โหยหวน
หลิวเยว่เห็นมองเหตุการณ์นี้จากระยะไกล และมองไปที่อวิ๋นซู่ซึ่งอยู่บนแท่นที่นั่งสูง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง มองบิดาของนางที่คุกเข่าหลังเหยียดตรงรอความตาย และมองไปที่ด้านล่างแท่นปะา ก็เห็นมารดาและพี่ชายของนางร้องไห้จนแทบขาดใจ ในที่สุดนางก็ก้าวออกไป และก้าวไปทางอวิ๋นซู่ การก้าวเดินนี้หนักหน่วงเสียยิ่งกว่าการยอมรับความตาย
แต่จู่ๆ ด้านหลังก็มีคนดึงนางเอาไว้ ก่อนจะพาเข้าไปในตรอก
เป็กู้หนานเฟิง เขากักนางไว้กับกำแพงดินในตรอก มองนางด้วยดวงตาแดงก่ำ
“หลิวเยว่ เ้าอย่าทำเื่ที่โง่เขลา”
เสียงของเขาแ่เบาเหมือนเช่นเคย มีสายลมแ่บางพัดผ่านเส้นผมของเขา และทำให้ชายแขนเสื้อปลิวไสวขึ้นมาพาดผ่านใบหน้าของนาง นางตอบกลับไปเบาๆ
“กู้หนานเฟิง ข้าขอโทษ ชื่อของข้าคือเจินลิ่วซี”
เพียงคำตอบเดียวของนาง ก็ทำให้ใบหน้าของกู้หนานเฟิงเปลี่ยนไปทันที
“ข้าขอโทษ ตัวตนที่แท้จริงของข้าคือลูกสาวของแม่ทัพเจิน เจินลิ่วซี เจินลิ่วซีที่ถูกฮ่องเต้คุมขังในตำหนักลิ่วฉือ และเป็คนที่ฮ่องเต้กำลังตามหา ข้าโกหกเ้า ทำให้เ้าเดือดร้อน ข้าขอโทษจริงๆ ”
การยอมรับว่าตนเองเป็ใครมันยากถึงเพียงนั้นเลยหรือ? ใช่ มันยาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าชายที่ปฏิบัติต่อนางอย่างจริงใจ ปกป้องนาง รักนาง และไว้ใจนาง การบอกเขาว่านางคือเจินลิ่วซีทำให้เืบนใบหน้าของเขาหายไปทีละน้อย ลิ่วซีรู้สึกลำบากใจอย่างมาก
พวกเขาผ่านความยากลำบากมาด้วยกัน เคยผ่านความเป็ความตายในเมืองตั้งหยางมาด้วยกัน ความรู้สึกเหล่านี้มันสะสมมาทีละน้อย ต่อให้มันไม่ใช่ความรักแบบหนุ่มสาว แต่ก็เป็ความรักที่มีต่อคนในครอบครัว
เมื่อนางกลับมายังชาตินี้ คนแรกที่นางพบก็คือกู้หนานเฟิง อีกทั้งเขายังดูแลเอาใจใส่นางเป็อย่างดี
ผ่านไปนาน กู้หนานเฟิงถึงได้พูดออกมา
“สำหรับข้า เ้าคือหลิวเยว่ตลอดไป หลิวเยว่ ถ้าเ้าอยากจะหนีไปให้สุดขอบโลก ข้าก็จะไปกับเ้า”
“กู้หนานเฟิง ดูสิ คนที่คุกเข่ารอการปะาอยู่นั่นคือบิดาของข้า ข้าไม่อาจยืนมองเขาตายได้”
“หลิวเยว่ เ้าอย่าโง่สิ ถ้าเ้าออกไปตอนนี้จะมีประโยชน์อะไร? ฮ่องเต้จะปล่อยเขาไป แต่เ้าจะตายแทน”
ลิ่วซีมองไปที่เขาและตอบกลับ
“ไม่ เขาทำเช่นนี้ ก็เพื่อหลอกล่อข้า”
นางและอวิ๋นซู่รู้จักกันดีเกินไป ที่เขาทำเช่นนี้เพื่อล่อให้นางปรากฏตัว
เที่ยงวันพอดี และภายใต้ดวงอาทิตย์ที่แผดเผา ดาบแหลมคมเปล่งประกายอยู่ในมือของเพชฌฆาต
ลิ่วซีผลักฝูงชนออกไป ก่อนจะเดินไปหามารดาและพี่ชายของตัวเอง เมื่อคนจากตระกูลเจินเห็นนาง ต่างก็ก้าวถอยหลังไปด้วยความใราวกับเห็นผี เจินฮูหยินและเจินลิ่วเจิ้งเบิกตากว้างมองนางด้วยความเหลือเชื่อ กระทั่งนางะโเรียก
“ท่านแม่ ท่านพี่”
พวกเขาได้สติกลับมา ก่อนจะโอบกอดลิ่วซีแล้วร้องไห้
“ซีเอ๋อร์ พวกเราทุกคนคิดว่าเ้า...” มารดาของนางไม่พูดอะไรต่อ เพียงจับมือนางเอาไว้พร้อมกับมองสำรวจว่าคนผู้นี้คือเจินลิ่วซีของพวกเขาจริงๆ
หลังจากโล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย ก็มองไปยังแม่ทัพเจินบนแท่นปะา ก่อนจะกอดลิ่วซีและร้องไห้
“บิดาของเ้าทำผิด ถูกลงโทษปะาชีวิตทันที ซีเอ๋อร์ เ้าว่าควรทำอย่างไรดี?”
เจินลิ่วซีปลอบใจมารดาของนาง
“ท่านแม่ ท่านพ่อจะไม่เป็ไร ไม่ต้องห่วง ข้าจะไปเข้าเฝ้าฝ่าาเดี๋ยวนี้”
นางปล่อยพวกเขาก่อนจะเดินไปยังแท่นปะา
“น้องพี่ อย่าไปเลย”
เจินลิ่วเจิ้งคว้าตัวนางเอาไว้ทันที
“เ้าเพิ่งหนีออกมาจากตำหนักลิ่วฉือได้ ในเมื่อฮ่องเต้ดำริว่าเ้าถูกไฟครอกตายแล้ว เ้าก็ควรใช้ประโยชน์นี้หนีไป พวกเราตระกูลเจิน เกรงว่าคงไร้ซึ่งวาสนาแล้ว เ้าควรไปจากเมืองเทียนเฉิงให้เร็วที่สุด การหนีไปอย่างน้อยก็ช่วยชีวิตได้หนึ่งชีวิต”
เจินฮูหยินพลันได้สติ
“ใช่ ซีเอ๋อร์ พี่ชายของเ้าพูดถูก หนีไปตอนนี้ หากท่านพ่อเ้ารู้ว่าเ้ายังไม่ตาย ต่อให้เขาตาย เขาก็ตายตาหลับ รีบไปเถอะ”
เจินลิ่วซีห้ามพวกเขา
“ท่านแม่ ท่านพี่ ไม่ต้องห่วง ข้าจะไม่เป็ไร ข้าจะพาท่านพ่อกลับจวน”
ครั้งนี้นางปล่อยพวกเขาโดยไม่ลังเล ก่อนจะก้าวไปยังแท่นปะาต่อหน้าฝูงชน ภายใต้ดวงอาทิตย์ที่แผดเผา ลานปะาพลันเงียบสงัดลง นางผลักฝูงชนออกไป ภายใต้สายตาประหลาดใจของทุกคน นางเดินขึ้นไปยังตำแหน่งสูงตรงนั้น
บุรุษที่นั่งอยู่บนตำแหน่งสูงสุด ใบหน้าของเขายังคงมีความทะนงตัวที่ไม่อาจต้านทานได้ แม้ในเวลากลางวันที่ร้อนอบอ้าวเขาก็ยังนั่งตัวตรงไม่ขยับเขยื้อน แววตาของเขาคู่นั้นเปรียบเสมือนสระน้ำสีดำไร้ก้น ส่องประกายแสงอันน่าเกรงขามออกมา เขานั่งตัวตรงในท่วงท่าที่สง่างามที่สุด กำลังกวาดตามองทั้งในและนอกลานปะา
หัวใจของเจินลิ่วซีเต้นแรงขึ้นในทุกย่างก้าว เหมือนกับครั้งแรกที่ได้เห็นเขาในตอนนั้น แต่ใบหน้าของนางยังคงเยือกเย็น ก่อนจะเดินตรงไปยังตำแหน่งนั้นโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
กระทั่งนางมาถึง้าของแท่นปะา ยืนอยู่ในตำแหน่งที่โดดเด่นที่สุด ชายร่างสูงผู้นั้นลุกขึ้นมาจากที่นั่งและมองมาที่นาง
ั์ตาสีเข้มราวกับตาเหยี่ยวของเขาจับจ้องมาที่นาง ขณะเดียวกันหน้าอกของเขาก็กระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง แม้แต่มือของเขาก็ยังสั่นเทาเล็กน้อย
บริเวณรอบลานปะาทั้งหมดเงียบสงัดอย่างน่าประหลาดใจเพราะการเคลื่อนไหวของเขา ราวกับว่าเวลาได้หยุดนิ่งลง
เจินลิ่วซียืนห่างจากเขาสามหมี่ [1] ก้มศีรษะและย่อคำนับไปที่เขา
“ฝ่าา ลิ่วซีมาช้า ได้โปรดไว้ชีวิตบิดาของหม่อมฉันด้วยเถอะเพคะ”
นางย่อตัวลง ใบหน้าก้มต่ำเล็กน้อย ขณะที่นางกล่าวเช่นนั้น น้ำเสียงของนางก็นุ่มนวลและไพเราะเหมือนเมื่อหลายปีก่อน
เห็นเพียงใบหน้าของอวิ๋นซู่เดี๋ยวดำเดี๋ยวขาว เขาเดินตรงมาตรงหน้าลิ่วซีทีละก้าว ทุกย่างก้าวราวกับมีทองผุดขึ้นมา จนกระทั่งมายืนตรงหน้านาง เขาถึงได้หยุดลง ไม่พูดอะไรเป็เวลานาน เอาแต่มองนางแบบนั้นอยู่หลายครั้ง เจินลิ่วซีเห็นลูกกระเดือกของเขาขยับไปมา ก่อนจะเห็นเขาอ้าปาก แต่เสียงนั้นเหมือนติดอยู่ในลำคอไม่อาจเปล่งออกมาได้
ผ่านไปนาน ถึงได้ยินเสียงแ่เบาของเขา
“อาซี กลับบ้านกับข้า”
เจินลิ่วซีตอบด้วยน้ำเสียงหนักแน่นโดยไม่ลังเล
“เพคะ”
ไม่ว่านางจะเดินอ้อมอย่างไร ไม่ว่านางจะหลบหนีอย่างไร หลบหนีไปในอีกหนึ่งพันปีข้างหน้า นางก็ต้องกลับมาหาบุรุษที่ทำให้นางเ็ปมากที่สุดในชาตินี้ กลับไปยังวังที่อยู่ส่วนลึก หลังคาสีเขียวกำแพงสีขาวนั่นอีกครั้ง จากนี้ไป นางไม่ใช่หลิวเยว่ที่ใช้ชีวิตอิสระอยู่นอกวังอีกต่อไป แต่จะเป็เจินลิ่วซีที่ถูกคุมขังในวังลึก
“เสด็จกลับวัง” เสียงอันแหลมสูงของอันกงกงทำลายความเงียบนี้
แม่ทัพเจินเป็เพียงความเข้าใจผิดและไร้มลทิน ปล่อยตัวไปได้
เจินลิ่วซีและฮ่องเต้นั่งเกี้ยวกลับไปที่วัง เมื่อมองออกไปด้านนอกผ่านม่านสีทองของหน้าต่าง นางเห็นบิดา มารดาและพี่ชายที่คอยมองส่งนางด้วยความเป็ห่วง หัวใจของนางจึงปวดร้าวมากยิ่งขึ้น
ทันใดนั้นนางก็เห็นกู้หนานเฟิงยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนกำลังมองมาที่นาง รอบข้างเต็มไปด้วยผู้คนส่งเสียงสรรเสริญ มีเพียงเขาคนเดียวที่ยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางเสียงวุ่นวายนั้น แปลกแยกจากฝูงชน ท่าทางของเขายังคงเหมือนตอนแรกที่พบเจอกัน ยังดูหล่อเหลาและเปล่งประกาย
มุมปากของเขายกยิ้มขึ้น ราวกับกำลังยิ้มให้นาง ทว่าใบหน้านั้นกลับปิดซ่อนความเ็ปเอาไว้ไม่ได้
คนเช่นเขา แต่ไหนแต่ไรมาก็ไม่ยอมแสดงตัวตนที่แท้จริงของตัวเองต่อหน้าคนนอก ตอนนี้เขามองหลิวเยว่ที่ค่อยๆ จากไปไกล หัวใจของเขาเ็ปจนทนแทบไม่ไหว แต่กลับยังฝืนยิ้มและมองไปที่นาง
เจินลิ่วซีเริ่มทนมองเขาไม่ไหวแล้ว
“ข้าขอโทษกู้หนานเฟิง” นอกจากคำนี้ นางก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว
สุดท้ายนางก็บังคับตัวเองให้ปิดม่าน และหันไปมองที่อื่นที่ไม่ใช่ข้างนอกนั่นอีก
ก่อนที่นางจะหันไปมองอวิ๋นซู่ที่อยู่ข้างกายนาง กลิ่นอายของเขายังคงเป็สิ่งที่นางคุ้นเคย แม้แต่ความรู้สึกที่เขานั่งเคียงข้างนางก็ยังคุ้นเคยเหมือนเมื่อหลายปีก่อน
ไม่ว่าชาติก่อนหรือชาตินี้ ไม่ว่าจะเป็ในยุคปัจจุบันหรือในราชวงศ์ทง ต่อให้มีกาลเวลามากั้นกลาง ความรู้สึกเหล่านี้ก็ยังอยู่ในความทรงจำ ไม่เคยจางหายไป
อวิ๋นซู่ก้มหน้ามองนาง ไม่พูดอะไร
เจินลิ่วซีสงสัยว่าตอนนี้เขากำลังคิดอะไรอยู่? เขาไม่ถามนางว่าทำไมถึงะโลงจากหน้าผาแล้วไม่ตาย ไม่ถามนางว่าหลายปีมานี้นางไปอยู่ไหนมา ไม่ถามว่าเหตุใดถึงไม่เคยปรากฏตัว เขาไม่พูดอะไรั้แ่ตอนอยู่บนลานปะา
หลังจากคำว่า “ลิ่วซี กลับบ้านกับข้า" เขาก็ไม่พูดอะไรอีก
อวิ๋นซู่ที่เงียบงันเช่นนี้ทำให้นางครุ่นคิดไปต่างๆ นานา ทั้งยังทำให้นางรู้สึกห่างเหินและประหม่าเล็กน้อย ดังนั้นขณะที่นางนั่งข้างเขา จึงไม่กล้าผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย แม้แต่หายใจก็ยังควบคุมให้เบาที่สุด
ั้แ่นางกลับมาในชาตินี้ นางได้พบเขาสามครั้ง ครั้งแรกยามอยู่บนถนนเมืองเทียนเฉิง ครั้งที่สองบนหอคอยเมืองตั้งหยาง และครั้งที่สามที่ตระกูลเฟิง สามครั้งนี้นางได้แต่มองเขาจากระยะไกล ไม่เคยมองเขาแบบใกล้ชิดเลย
ตอนนี้พวกเขาอยู่ใกล้กันมาก นางรู้สึกว่าเขาสูงขึ้นและมีอำนาจมากขึ้นกว่าเดิมมาก ที่คางมีหนวดเคราสีดำ หางตาของเขายังมีรอยตีนกาเล็กน้อย แววตาของเขายากจะคาดเดา เมื่อเทียบลักษณะของเขาตอนนี้กับตอนที่เขายังเป็หนุ่มน้อย เป็องค์ชายสามที่นางคุ้นเคย ตอนนี้เขาได้กลายเป็ผู้ใหญ่เต็มตัว
นางคิดในใจ จริงๆ แล้วบุรุษมีสองประเภท คนหนึ่งเหมือนกู้หนานเฟิงที่มีใบหน้าหล่อเหลาเหมือนปีศาจ เกิดมาเพื่อล่อลวงเหล่าดอกท้อ และอีกประเภทก็เหมือนอวิ๋นซู่ แม้ว่าหน้าตาจะด้อยกว่า แต่รัศมีที่แผ่ออกมาจากตัวของเขากลับแข็งแกร่ง สามารถครองใจสตรีทุกคนได้ในชั่วพริบตา หากดวงตาของเขาจับจ้องมาที่เ้า หัวใจของเ้าจะเต้นแรงเต็มไปด้วยความคาดหวังและความสุขที่ซ่อนอยู่ในหัวใจส่วนลึกของเ้า หรือเรียกอีกอย่างว่าเสน่ห์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงฐานะที่สูงส่งกว่าใครในใต้หล้านี้
แม้ถนนจะราบเรียบ แต่ทางข้างหน้ามีหลุมขนาดใหญ่ คนข้างหน้าไม่ทันได้สังเกต ทำให้เกิดการโคลงเคลงเล็กน้อยอย่างฉับพลัน ลิ่วซีพุ่งไปข้างหน้าตามสัญชาตญาณ แต่อวิ๋นซู่ก็คว้านางเอาไว้และโอบไหล่ปกป้องนาง
นางตกลงไปในอ้อมกอดที่แข็งแกร่งของเขา
ในตอนแรกเขาเพียงแค่โอบไหล่นางเบาๆ แต่หลังจากนั้นไม่นาน เขาก็เอื้อมมือออกมากอดนางทั้งตัวไว้ในอ้อมแขนของเขา แขนของเขาแข็งแรงราวกับเหล็ก กอดนางเอาไว้แน่น เสื้อส่วนหน้าของเขาถูกับแก้มของนาง ัักับผ้าไหมที่นุ่มลื่น จมูกของนางเต็มไปด้วยกลิ่นอายที่คุ้นเคยของเขา
ลมหายใจของเขาไม่มั่นคงเล็กน้อย ลิ่วซีอยากจะเงยหน้ามองเขา แต่กลับถูกสองมือของเขากดเอาไว้จนไม่สามารถขยับได้ ศีรษะของเขาก้มลงมาใกล้กับลำคอของนาง
ลมหายใจอันอบอุ่นทำให้นางรู้สึกคันเล็กน้อย ทว่าเขาก็ยังไม่พูดเช่นเคย นางคาดเดาความคิดของเขาไม่ได้ จึงไม่กล้าเคลื่อนไหวใดๆ ดังนั้นนางจึงปล่อยให้เขากอดนางเอาไว้เช่นนั้น
เชิงอรรถ
[1] หมี่ เท่ากับ เมตร