สาเหตุที่เจินลิ่วซีไม่ยอมกลับไปหาอวิ๋นซู่ เพราะนางกลัวว่าจะต้องเผชิญหน้ากับความหึงหวง และคนที่มาหาเื่นางในวังหลังที่นางไม่สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ไม่รู้จบ
ในอดีต ตอนที่อวิ๋นซู่ยังเป็องค์ชายสาม เขาได้สัญญากับนางว่าเขาจะรักนางเพียงคนเดียวตลอดชีวิตของเขาและแต่งงานกับนางเพียงคนเดียว แต่หลังจากนั้นเขาก็แต่งชางรั่วอวี้ที่สดใสร่าเริงมาเป็สนม กระทั่งตอนนี้เขาเป็ฮ่องเต้ ในวังหลังมีหญิงงามสามพันคน จะให้นางไปแย่งชิงความโปรดปรานจากสตรีมากมายเ่าั้ ไปหึงหวงแข่งกับพวกนาง ไม่ต้องพูดถึงนางที่ไปอยู่ในยุคปัจจุบันมาแล้วหนึ่งรอบ อยู่ในโลกที่ชายหญิงมีคู่ได้แค่คนเดียว ในโลกที่ชายหญิงมีความเท่าเทียมกัน เื่แบบนี้จึงเป็เื่ที่ยอมรับไม่ได้ แม้แต่ในตอนนั้นนางก็รับไม่ได้เช่นกัน นั่นเป็สาเหตุที่ทำให้เกิดเื่วุ่นวายมากมายเช่นนี้ขึ้น
ตอนนี้นางกลับมาอยู่ข้างกายเขาอีกครั้ง นางจึงวางแผนในใจ
หากนางได้อยู่ในตำหนักเย็น ในสถานที่เช่นตำหนักลิ่วฉือ ที่ไม่มีใครผ่านไปผ่านมานัก นางก็สามารถทำเหมือนตัวเองเป็มนุษย์ล่องหนได้
แต่ถ้าใครมารบกวนนาง เช่นนั้นก็ขอโทษด้วย นางจะไปยืนอยู่ตรงหน้าทุกคน และเอาตำแหน่งเ้านายมา นาง้าจะควบคุมวังหลังแห่งนั้น อยู่เหนือกว่าทุกคน เพราะนางไม่ใช่เจินลิ่วซีผู้ทำตามกฎการอยู่รอดในวังหลัง อาวุธเดียวของนางคือความโปรดปรานของฮ่องเต้
แต่ในเวลานี้ นางไม่แน่ใจว่าอวิ๋นซู่จะทำดีกับนางหรือไม่? ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจุดประสงค์ในการบีบบังคับให้นางปรากฏตัวและกลับมาที่วังหลังคืออะไร?
เห็นท่าทางของเขาแล้ว เขายังคงเ็าไร้ความปรานีเช่นเดิม
ั้แ่ที่เขาพานางกลับเข้าวัง และจัดให้นางอยู่ในตำหนักลิ่วชิงซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับตำหนักอวี้เซวียนของเขามากที่สุด และเขาไม่ได้สนใจนางมาหลายวันแล้ว นางยังไม่ได้แนะนำตัวของนางให้ใครรู้จัก ชีวิตประจำวันของนางมีเพียงสาวใช้ชื่อเสียวอวี่ที่อันกงกงจัดให้คอยปรนนิบัติ
เสียวอวี่ไม่พูดมาก แต่นางจริงจังและขยันทำงาน ดูเหมือนอีกฝ่ายจะอยากรู้ตัวตนของลิ่วซีมาก แต่นางไม่กล้าถาม สิ่งนี้ทำให้ลิ่วซีนึกถึงเตี๋ยเย่ที่อยู่นอกวัง และสงสัยว่านางกลับแคว้นเสวียนไปหรือยัง
ชีวิตที่สงบสุขของนางผ่านไปกว่าสิบวันแล้ว ในวังหลังฐานะของนางค่อยๆ แพร่กระจายออกไป รู้ว่านางคือเจินลิ่วซีที่ถูกขังไว้ในตำหนักลิ่วฉือ ก่อนหน้านี้ไม่นานได้จุดไฟเผาตัวเอง แต่ไม่ตาย นับได้ว่าโชคดีเพราะโชคร้าย ฮ่องเต้ได้กลับไปสนใจนางอีกครั้ง จัดให้นางอยู่ในตำหนักลิ่วชิงที่อยู่ใกล้กับฮ่องเต้มากที่สุด
นี่เป็เื่ที่เสียวอวี่ได้ยินมาจากสาวใช้ที่นางเคยทำงานด้วย ก่อนจะนำมาบอกลิ่วซีด้วยความกระตือรือร้น หลังจากนางได้ฟังแล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ ไม่ได้จริงจัง แต่ชีวิตในตำหนักลิ่วชิงของนางก็คึกคักขึ้น
สนมจากตำหนักต่างๆ ส่งสาวใช้นำสิ่งของมามอบให้ เช่นผ้าไหมอันงดงาม เครื่องประดับ เงินทอง สมบัติที่หายาก และอาหารชั้นเลิศ ค่อยๆ กองเป็ูเาเล็กๆ ในตำหนักลิ่วชิง
เสียวอวี่ถาม
“ควรทำอย่างไรกับของกำนัลเหล่านี้ดีเพคะ?”
จากนั้นลิ่วซีก็มองดูของขวัญเ่าั้แล้วตอบไป
“เ้าลงบันทึกรายละเอียดว่าใครส่งมาทีละรายการ แล้วหาโอกาสส่งคืน"
เสียวอวี่เอ่ยแนะนำ
“ถ้าท่านทำเช่นนั้น เกรงว่าพวกสนมคนอื่นๆ จะกล่าวหาว่าท่านไม่มีมารยาท ไม่เข้าพวกนะเพคะ”
เพราะลิ่วซีปฏิบัติกับสาวใช้อย่างเท่าเทียมไม่มีคำว่านายบ่าว จึงทำให้เสียวอวี่กล้าที่จะพูดความจริงต่อหน้านาง ไม่สั่นกลัวเหมือนในตอนแรก
“เช่นนั้นก็ให้พวกนั้นว่าไม่เข้าใจมารยาทไปเถอะ”
ไม่ใช่ว่าลิ่วซีไม่เข้าใจกฎของวังหลังแห่งนี้ คนพวกนี้ส่งของต่างๆ มามอบให้ไม่ใช่เพียงเพื่อสร้างความสัมพันธ์ แต่เพื่อมาสำรวจหาความจริงระหว่างนางกับอวิ๋นซู่ หรือแม้แต่อยากรู้ว่านางที่ถูกขังอยู่ในตำหนักลิ่วฉือมาหกปีมีหน้าตาอย่างไร
คนพวกนี้เคยชินกับการปรับตัวตามสถานการณ์ ถ้าวันนี้เ้ากำลังได้ดี ต่อให้อารมณ์ของเ้าจะไม่ดี ก็จะมีคนมายกย่องเ้าว่าเ้าอารมณ์ดี แต่ถ้าต่อไปเ้าสูญเสียอำนาจ ไม่ว่าเ้าดีสักเพียงใด ก็มีแต่พร้อมจะเหยียบย่ำเ้าจำนวนนับไม่ถ้วน
สิ่งเดียวที่นางสงสัยหรือความนึกคิดเล็กๆ นางอยากรู้ว่าชางรั่วอวี้ รู้สึกอย่างไรกับการกลับมาของนาง?
คนเดียวที่นางอยากจะเจอก็คือสหายเก่าคนนี้
แต่นางไม่มีทางเป็ฝ่ายเริ่มต้น นางยังคงอยู่ในตำหนักลิ่วชิงอย่างสบายใจด้วยทัศนคติที่ไม่เปลี่ยนแปลง
โครงสร้างของตำหนักลิ่วชิง ไม่ต่างจากตำหนักลิ่วฉือที่นางเคยอยู่ในอดีตมากนัก แต่ตำหนักลิ่วฉือนั้นตั้งอยู่ในสถานที่ที่เงียบสงบซึ่งถูกล้อมรอบด้วยทะเลสาบ มันเหมือนเกาะขนาดเล็กๆ ที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยว มีความเป็ส่วนตัวมากกว่า แต่ตำหนักลิ่วชิงที่นางอาศัยอยู่ตอนนี้ ตั้งอยู่ใจกลางอุทยานหลวงที่ซับซ้อน ด้านข้างที่ติดกันก็คือตำหนักอวี้เซวียนซึ่งเป็ใจกลางอำนาจของฮ่องเต้ ดังนั้นที่นี่จึงดูคึกคักกว่าที่อื่น ขันที นางกำนัล แม้แต่นางสนมต่างเดินกันขวักไขว่ และยังมีเหล่าขุนนางที่ขอเข้าเฝ้าเป็ประจำ เมื่อมีการเคลื่อนไหวอะไร ก็จะมาถึงที่ตำหนักลิ่วชิงที่เงียบสงบนี้เสมอ
ลิ่วซีสามารถได้ยินเสียงของอันกงกงดุบ่าวรับใช้เป็ครั้งคราว ทั้งยังสามารถได้ยินเสียงขุนนางขอเข้าเฝ้า และเสียงแหลมคมที่รายงานเื่อื่นๆ หรือแม้แต่เสียงทุ้มต่ำที่ไร้ความปรานีของอวิ๋นซู่ที่ดังอย่างคลุมเครือมาถึงนางในบางครั้ง
ที่แท้พวกนางก็อยู่ใกล้กันมาก แต่นี่ก็ผ่านไปสิบห้าวันแล้ว เขาไม่เคยปรากฏกายเลยสักครั้ง ในคืนนี้แสงจันทร์นอกหน้าต่างสว่างไสวเป็พิเศษ ราวกับกระจกสีเงินที่แขวนอยู่บนยอดกิ่งไม้นอกหน้าต่าง
ไม่รู้ว่าพวกคนนอกวังจะเห็นจันทร์เต็มดวงเหมือนกันหรือไม่? เสียวอวี่อยากปิดหน้าต่างให้นาง เพราะกลัวว่านางจะเป็หวัดเพราะตากลมยามกลางคืน แต่นางก็สั่งว่า
“กลับไปนอนเถอะ อีกสักพักข้าจะปิดเอง”
“เพคะ ถ้าอย่างนั้นท่านรีบพักผ่อนนะเพคะ” เสียวอวี่ก้าวถอยหลังไปด้วยความเคารพ
นางนอนลืมตาอยู่บนเตียง มองดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวและแสงจันทร์นอกหน้าต่าง พลางนึกถึงอดีตและคิดหาวิธีเอาตัวรอดในวังหลังแห่งนี้ ก่อนที่สติของนางจะเริ่มเลือนราง ยังไม่ทันหลับสนิท อยู่ๆ นางก็รู้สึกว่ามีคนนั่งอยู่ข้างเตียง ดวงตาของนางเบิกกว้างในทันที และเห็นอวิ๋นซู่กำลังนั่งอยู่ตรงนั้นมองนางอยู่
แสงจันทร์สีขาวส่องกระทบด้านหลังของเขา ในเวลานี้ดวงตาของเขาที่มองมาที่นางไม่ได้เ็าเหมือนปกติ แต่อ่อนโยนเหมือนแสงจันทร์ที่นุ่มนวลนั้น ใบหน้าและรูปร่างยังคงเหมือนที่นางจำได้ นางจึงเรียกออกมาโดยสัญชาตญาณ
“อวิ๋นซู่...”
ทันทีที่สิ้นเสียงนั้น อวิ๋นซู่โผเข้าไปกดทับร่างของนาง มีเพียงแสงสว่างจากดวงจันทร์เท่านั้น เวลานี้มันถูกเขาบดบังและกลายเป็ความมืดปกคลุมไปทั่วบริเวณ นางถูกกักขังเอาไว้ในอ้อมกอด ทำให้นางมองตัวเองอย่างเห็นได้ชัด ไม่มีเวลาให้นางคิด ถูกเขาบุกโจมตีตัวนางทันที
รูปร่างของเขายังคงมีสัดส่วนที่เหมาะสม เนื่องจากออกกำลังจากการฝึกรบมาหลายปี และกล้ามเนื้อทุกส่วนล้วนแข็งแกร่งไร้ที่เปรียบ แทบจะทำลายสติของลิ่วซีให้แตกออกเป็เสี่ยงๆ
เขาอ่อนโยนมาก เดิมทีลิ่วซีไม่เต็มใจจะยอมรับความใกล้ชิดที่จู่โจมมาอย่างกะทันหันนี้
แต่ท่ามกลางความมืดมิดในเวลานี้ นางที่ยังไม่ได้ปริปากสักคำ ก็ตกอยู่ภายใต้ลมหายใจอันหนักหน่วงของเขาแล้ว ร่างกายและจิตใจของนางค่อยๆ จมลง ไม่อาจสลัดตัวเองออกมาได้
แม้ว่าจะเป็ค่ำคืนที่มืดมิด มีเพียงแสงจันทร์ลางๆ นางพลันเห็นใบหน้าของอวิ๋นซู่ที่แข็งกระด้าง และสายตาของเขาก็ราวกับจะแผดเผานางให้ได้
ค่ำคืนนี้ราวกับย้อนไปในตอนที่พวกเขารักกันแรกๆ ไม่มีการแย่งชิงบัลลังก์ ไม่มีชางรั่วอวี้ ไม่มีตำหนักลิ่วฉือ ไม่มีการะโลงจากหน้าผา มีเพียงเขาและนางเท่านั้นที่เหลืออยู่ในโลกนี้ กระทั่งจนถึงเวลานี้ พวกเขาล้มตัวนอนอย่างเหนื่อยล้า เขาก็ยังเป็เหมือนเมื่อก่อน ฝ่ามือหนาๆ ของเขากุมมือนางเอาไว้แน่น นิ้วมือประสานกันอยู่บนเตียง แม้ว่าจะเหนื่อยล้า แต่กลับไม่รู้สึกง่วง
เขายื่นมือออกไปคว้านางมาไว้ในอ้อมแขนอีกครั้ง ช้อนใบหน้าของนางขึ้นมาและลูบไล้อย่างระมัดระวัง สายตาของเขาราวกับกำลังมองสมบัติล้ำค่า หากเป็เจินลิ่วซีในอดีตคงซาบซึ้งมาก และคิดว่านางจะรักเขาตลอดไป
แต่ลิ่วซีในตอนนี้ กำลังคิดอย่างใจเย็นว่าเขาคิดอะไรอยู่ตอนที่มองนางแบบนี้?
ผ่านไปเนิ่นนาน ในที่สุดเขาก็เปิดปากพูดประโยคแรกของคืนนี้ออกมา
“อาซี ดวงตาคู่นี้ของเ้าไม่แก่ลงเลย แต่ข้ากลับแก่แล้ว”
มีความอ่อนแอในน้ำเสียงนั้นเล็กน้อย มันจี้ลงมาที่หัวใจอันเย็นเยียบของลิ่วซีอย่างอธิบายไม่ถูกด้วยความขมขื่นนี้ นางหลับตาลงไม่ตอบอะไร
อวิ๋นซู่พูดอีกครั้ง
“หกปีมานี้ เ้าไปไหนมา?”
หกปีมานี้ เ้าไปไหนมา? คำถามนี้สะท้อนอยู่ในใจของนาง นางตอบเบาๆ
“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”
นางไม่รู้จะตอบคำถามนี้อย่างไร หรือจะให้นางตอบว่านางอาศัยอยู่ในโลกอีกใบที่ต่างจากโลกนี้โดยสิ้นเชิงมายี่สิบปี รู้สึกถึงความสุขและความทุกข์ของชีวิตที่แตกต่างกันอย่างนั้นหรือ? ไม่มีใครเชื่อ อีกทั้งยังจะคิดว่านางเป็บ้า?
ดังนั้นนางจึงตอบได้เพียงว่านางไม่รู้
อวิ๋นซู่เงียบมากกว่าก่อนหน้านี้ เขาไม่พูดอะไรออกมาอีก ท่ามกลางความเงียบในห้อง เพราะความเหนื่อยและง่วงทำให้ลิ่วซีผล็อยหลับไป ดังนั้นนางจึงไม่สนใจอวิ๋นซู่ที่อยู่ข้างกาย
ในทางกลับกัน อวิ๋นซู่มองไปที่ลิ่วซีซึ่งกำลังนอนหลับอย่างสงบอยู่ข้างเขา เขาไม่ได้นอนทั้งคืน เพราะความเหลือเชื่อที่เห็นนางยังไม่ตาย นางยังไม่ตายจริงๆ และกำลังนอนหายใจอย่างมั่นคงอยู่ในอ้อมแขนของเขาตอนนี้
ไม่มีใครสามารถรับรู้ถึงความรู้สึกที่ขึ้นๆ ลงๆ ใน่หลายวันที่ผ่านมานี้ บนถนนที่ผู้คนพลุกพล่าน เพียงแวบเดียวที่เขาเห็นนางบนถนนนั้น เมื่อเขาบอกให้หยุดรถม้า เขาก็กวาดตามองเงาร่างของนางท่ามกลางชาวบ้านนับพันที่คุกเข่า สุดท้ายกลับไร้ประโยชน์ เขาคิดว่าคงเป็เพราะเขาคิดถึงนางมากเกินไปจนทำให้เกิดภาพหลอนกระมัง? ไม่อย่างนั้นเขาจะหาตัวนางไม่พบได้อย่างไร?
จากนั้นในเรือนหลังเก่าที่เมืองตั้งหยาง เขาได้กลิ่นของนางจางๆ ในบ้านเก่าหลังนั้น กลิ่นนั้นเป็ความทรงจำที่อยู่ลึกที่สุดในใจของเขา และมันไม่เคยหายไป ทว่าเขาก็ยังรู้สึกเหมือนตัวเองเป็คนโง่งมที่เพ้อฝัน จะเป็นางได้อย่างไร? เขาเห็นนางะโลงหน้าผากับตาตัวเอง
เขาอยู่ในความสิ้นหวังมาตลอด ไม่มีทางให้เขาออกไป จนกระทั่งเขาพบนางอีกครั้งในจวนตระกูลเฟิงที่ริมสระน้ำ เขาแน่ใจว่าเป็นาง ไม่ใช่ภาพลวงตา ครั้งนี้ไม่มีทางเป็ภาพลวงตา แต่สุดท้ายกู้หนานเฟิงก็นำสตรีที่ได้รับาเ็จากลูกธนูออกมา และสตรีคนนั้นก็ไม่ใช่นางจริงๆ
ความหวัง ความสิ้นหวัง ความหวัง ความสิ้นหวัง มันวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนกระทั่งแม่ทัพเจินบอกว่านางกลับไปที่จวนตระกูลเจิน ทำให้เขาแน่ใจแล้วว่านั่นไม่ใช่ภาพหลอน แต่นางยังมีชีวิตอยู่จริงๆ และมีชีวิตที่ดี
นั่นเป็เหตุผลที่เขาตัดสินใจกระทำการเหี้ยมโหด แสร้งทำเป็ว่าจะปะาแม่ทัพเจิน และด้วยความโเี้นี้ ถึงได้บีบบังคับให้นางออกมาปรากฏตัว
มีแต่คนบอกว่าเขาคือฮ่องเต้ผู้ดุร้าย ไม่เพียงอารมณ์แปรปรวน แต่ยังโเี้ไร้ความปรานีอีกด้วย ทว่าความโเี้ไร้ความปรานีนี้จะน้อยไปกว่านางได้อย่างไร?
เวลาหกปีที่ผ่านมา เขาใช้ชีวิตอย่างสิ้นหวังทุกวัน โดยที่นางไม่เคยมาเยี่ยมเขาเลยสักครั้ง
เขารักนาง แต่เขาก็เกลียดนางด้วย เกลียดชังความไร้หัวใจและไร้ความรู้สึกของนาง ทั้งอยากอยู่ใกล้ แต่ก็กลัวการเข้าใกล้