หลิงเมิ่งไม่เพียงแสดงออกด้วยท่าทีก้าวร้าว แม้แต่คำพูดก็ไม่น่าฟัง ถึงแม้เมื่อชาติก่อนซูอินจะเจอความรู้สึกเช่นนี้อยู่ไม่น้อย ในใจของเธอก็ยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ
แต่เธอเข้าใจว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าสาธารณชน จำเป็ต้องมีสติและมั่นคง
หากใครเป็คนหาเื่ คนนั้นเป็ฝ่ายเสียเปรียบ
ั้แ่แรกจนถึงตอนนี้เธอไม่แสดงท่าทีเดือดร้อน และนำหลักฐานออกมาแสดงใน่เวลาสำคัญได้อย่างเหมาะเจาะ
เมื่อหลักฐานอยู่ตรงหน้า หลิงเมิ่งพลันตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูก น้ำเสียงที่เอ่ยออกมาแสดงความรู้สึกไม่อยากเชื่อ “เป็ไปได้ยังไง…นี่…นี่คงเป็เช็คปลอมสินะ”
ซูอินหลุดขำ “อยู่ต่อหน้าคนมากมาย ฉันจะทำแบบนั้นได้หรือ”
“ถ้างั้นเธอ…”
หลิงเมิ่งพูดไม่ออก ก่อนจะได้ยินเสียงอู๋อู๋ที่ขึ้นมาช่วยเธอกล่าวเสริม “อินอิน ไปเอาเงินเยอะแยะแบบนั้นมาจากไหน”
หลิงจื้อเฉิงรู้สึกประหลาดใจเช่นกัน
ซูอินหรี่ตาเล็กน้อย เงินก้อนนี้ได้มาจากการพนันทายผลบอล แถมยังเป็บ่อนใต้ดิน เธอไม่มีทางพูดออกไปแน่นอน
ยังดีที่เธอไม่จำเป็ต้องอธิบายให้คนเหล่านี้ฟัง
ใบหน้าที่ยังคงประดับรอยยิ้มทำให้เธอเบี่ยงเบนสถานการณ์หนักให้กลายเป็เบา “ก็ต้องมาจากการหาเงินสิ พวกคุณก็รู้ว่าฉันเป็คนโชคดีมาตลอด”
ั้แ่เกิดก็ถูกอุ้มผิดตัว ได้ใช้ชีวิตสุขสบายในเมือง เมื่อรู้ตัวว่าอีกไม่นานต้องกลับไปอยู่ชนบท เธอก็ได้ช่วยเด็กคนหนึ่งที่ฐานะทางบ้านร่ำรวย ทำให้เธอโชคดีมากขึ้นกว่าเดิม
สามคนพ่อแม่ลูกตระกูลหลิงต่างพากันชะงัก
เธอไม่เปิดโอกาสให้สามคนจากตระกูลหลิงได้เอ่ยปาก รีบพุ่งประเด็นไปที่ความประสงค์ของตัวเองทันที
“่นี้เกิดเื่มากมาย เดิมทีความสัมพันธ์ของเราก็ไม่ดีอยู่แล้ว เกิดเื่วุ่นวายในวันนี้อีก เราทั้งสองฝ่ายก็คงยากจะยอมให้กัน วันดีๆ แบบนี้ถึงแม้ไม่ค่อยเหมาะสมที่จะคุยเื่ที่ทำให้หดหู่ใจ แต่บางอย่างก็จำเป็ต้องพูด แม้ว่าอาจทำให้ฉันดูเป็คนไม่ดีก็ตาม”
ในหัวของหลิงจื้อเฉิงนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ แววตาที่แน่วแน่ทั้งสองฝ่ายสบกัน ทำให้เขารู้สึกเ็ปหัวใจในทันที
ทั้งที่เลี้ยงดูเธอเหมือนบุตรสาวแท้ๆ มาตลอดสิบหกปีแท้ๆ…
ถึงแม้ก่อนหน้านี้จะไม่ได้ใส่ใจมากนัก แต่คนย่อมไม่ใช่ตอไม้ ในใจของเขาจะไม่รู้สึกผูกพันได้อย่างไร เมื่อเื่มาถึงขั้นนี้ แม้แต่ตัวเขาก็แยกไม่ออกว่าอยากรั้งอินอินไว้เพื่อประโยชน์ของโรงแรม หรือเป็เพราะความรู้สึกที่บิดามีต่อบุตรสาวกันแน่
“ั้แ่เกิดจนถึงตอนนี้ พวกคุณเลี้ยงดูฉันมาสิบหกปี ความรู้สึกตรงนั้นคงไม่มีวันจางหาย ตอนนี้ฉันเป็เพียงเด็กชนบทคนหนึ่ง แต่พวกคุณเป็คนมีหน้ามีตาในเมือง ฐานะสูงส่ง อีกทั้งตอนนี้ก็ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตา การมีฉันอยู่คงสร้างความทุกข์และความไม่พอใจต่อตระกูลหลิง ฉันจึงคิดว่าหลังจากนี้ หากไม่มีเื่จำเป็ พวกเราอย่าติดต่อกันอีกจะดีกว่าค่ะ”
สีหน้ามุ่งมั่น ซูอินก้มตัวเล็กน้อย “ขาดฉันไป พวกคุณสามคนก็จะยิ่งมีความสุข”
ในที่สุดก็ได้เอ่ยคำพูดเหล่านี้ต่อหน้าเพื่อนสนิท และบุคคลมีหน้ามีตาในเมือง ซูอินรู้สึกโล่งใจมากขึ้น
“ถ้างั้นก็เอาตามนี้นะคะ”
เธอเอ่ยคำพูดนั้นออกมาจากก้นบึ้งของจิตใจ ซูอินมองสองสามีภรรยาตระกูลหลิงด้วยแววตาหนักแน่น จากนั้นจึงก้าวออกไปจากห้องจัดเลี้ยง
อวี๋ฉิงรีบตามเธอออกมาทันที
“อินอิน”
ซูอินพยักหน้า แววตายังคงหนักแน่นไม่เปลี่ยนแปลง
“เธอ…ไม่เป็อะไรใช่ไหม”
ด้านหน้าโรงแรม คุณหนูผู้เย่อหยิ่งไม่อาจห้ามตนเองไม่ให้แสดงความเป็ห่วงเธอ
เห็นได้ชัดว่ามีความหดหู่อยู่ในน้ำเสียงของซูอิน “ฉิงฉิง ช่วยเรียกรถให้ฉันได้ไหม”
แน่นอนว่าไม่มีปัญหา!
คุณหนูอวี๋โบกมือ รถของตระกูลอวี๋ที่จอดอยู่หน้าโรงแรมแล่นมาจอด คนขับรถสวมถุงมือสีขาวลงมาเปิดประตูก่อนที่ทั้งสองคนจะขึ้นไปนั่งเบาะหลัง
รถค่อยๆ เคลื่อนตัวออกห่างจากบริเวณโรงแรมหลิงกวง ในที่สุดซูอินที่พยายามฝืนเข้มแข็งก็ทนต่อไปไม่ไหว เธอพิงไหล่ของอวี๋ฉิงพร้อมร่างกายที่สั่น
“นี่ เธออย่าร้องไห้สิ”
อวี๋ฉิงร้อนใจ คุณหนูถูกคนคอยปลอบโยนมาตลอด การปลอบโยนคนอื่นเป็ครั้งแรกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีท่าทีแข็งทื่อไปบ้าง
เมื่อปลอบได้สักพัก เธอก็พบว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เสียงร้องไห้ไม่ควรเป็แบบนี้หรือเปล่า
เธอประคองไหล่ของซูอินขึ้นมา ใบหน้าเล็กที่สดใสและมีเสน่ห์จากการแต่งหน้าเผยรอยยิ้มสดใสแบบใน่ฤดูใบไม้ผลิ ไม่มีสีหน้าของคนที่อยากร้องไห้เลยสักนิด
อวี๋ฉิง : …
หลังจากตกตะลึงไปครู่หนึ่ง เธอจึงกลับมาแสดงท่าทีเย่อหยิ่งเช่นเดิม “แบบนี้สิถึงจะถูก ปล่อยปละละเลยเธอมาตั้งหลายปีแบบนั้น ฝนตกหิมะตกก็ไม่เคยมารับที่โรงเรียน แม้แต่งานประชุมผู้ปกครองยังไม่เคยเข้าร่วม จะเก็บเอาไว้ทำไมล่ะ”
คำพูดนี้ถูกต้องที่สุด!
ซูอินพยักหน้าเห็นด้วย
เธอใช้ชีวิตพัวพันยุ่งเหยิงมาสองชาติภพ วันนี้ได้แก้ไขเื่วุ่นวายนี้ต่อหน้าผู้คนมากมาย คงไม่ต้องบอกว่าตอนนี้เธอรู้สึกดีมากเพียงใด
“เมื่อกี้เธอเห็นหน้าหลิงเมิ่งไหม ฮ่าๆ”
อวี๋ฉิงไม่ชอบหลิงเมิ่งเอามากๆ ไม่ใช่เพราะแค่เื่แย่งชิงชุดราตรีกัน ถึงแม้คุณหนูแห่งตระกูลอวี๋จะเย่อหยิ่ง แต่เื่ใช้เหตุและผลเธอเข้าใจเป็อย่างดี อย่าว่าแต่เื่อื่น แค่การที่หลิงเมิ่งถูกบิดามารดาในชนบทเลี้ยงดูมาหลายปี อีกทั้งเหมือนจะถูกเลี้ยงอย่างทะนุถนอม ทว่ากลับแสดงออกต่อคนชนบทที่เลี้ยงดูตนเองมาด้วยความรังเกียจเดียดฉันท์ จุดเล็กๆ นั้นทำให้เห็นนิสัยอีกฝ่ายได้ทันที
“ทำไมฉันจะไม่เห็น เมื่อเช้าตอนที่เพิ่งมาถึง พอเห็นหน้าฉัน สีหน้าเธอก็ดำคร่ำเครียดอย่างกับตอนที่แม่ของฉันอบพายเลยละ”
“คุณป้าหรงน่ะหรือ”
“ใช่ ปกติแม่ฉันทำอาหารไม่เป็ นานๆ ทำครั้งก็แทบจะเกิดหายนะ ยังดีที่พ่อของฉันทำอาหารเป็”
ซูอิน : …
คุณป้าหรงที่ดูใจดีคนนั้นน่ะหรือ ดูเหมือนว่าเธอจะได้รู้อะไรบางอย่างที่น่าเหลือเชื่อเข้าแล้วสินะ
สีหน้าของอวี๋ฉิงเริ่มไม่สบายใจ โชคดีที่โทรศัพท์ของเธอดังขึ้นเสียก่อน เธอจึงรีบรับโทรศัพท์
“ค่ะคุณพ่อ หนูกับอินอินอยู่บนรถของเรา เธอไม่เป็ไรค่ะ”
เอ่ยจบเธอจึงเปิดสปีกเกอร์โฟน ซูอินยิ้มก่อนจะเอ่ยทักทาย “คุณอาอวี๋คะ ฉิงฉิงออกมากับหนูค่ะ”
“ไม่เป็ไร หนูสบายดีมากค่ะ ขอบคุณคุณอาอวี๋นะคะ”
ยังไม่ทันรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากอีกครั้ง จู่ๆ ก็เกิดเสียงวุ่นวาย ก่อนจะได้ยินเสียงอู๋อู๋กรีดร้อง “ทำไมไม่มีเสียงแล้วล่ะ”
ในขณะที่ซูอินกำลังงุนงง อวี๋ิกวงก็รีบอธิบาย “หลังจากที่อินอินเดินออกไป ประธานหลิงตั้งใจจะขึ้นไปพูดอะไรสักหน่อย แต่ลำโพงไม่ดัง”
ซูอินเข้าใจแล้วว่า “พูดอะไรสักหน่อย” นั้นคือการลบล้างความผิด
ด้วยคารมคมคายของหลิงจื้อเฉิงและท่าทีอ่อนน้อมถ่อมตนเล็กน้อย ก็คงพอทำให้เื่นี้ผ่านไปได้
แต่ปัญหาเื่ลำโพง
จากที่เธอรู้ โรงแรมหลิงกวงมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกด้านฮาร์ดแวร์ครบครัน โดยเฉพาะห้องจัดเลี้ยงซึ่งมีไว้สำหรับจัดงานเลี้ยงโดยเฉพาะ สิ่งอำนวยความสะดวกที่ใช้ล้วนนำเข้าจากต่างประเทศ จู่ๆ จะเกิดปัญหาได้อย่างไร
ในมุมที่ไม่มีใครรู้ รอลิฟต์อยู่หลายรอบในที่สุดผู้จัดการห้องจัดเลี้ยงก็เดินมาถึงห้องควบคุมด้วยความเร็วเทียบเท่าหอยทาก เขาค่อยๆ หาปุ่มเปิดปิดลำโพงอย่างเอื่อยเฉื่อย จากนั้นจึงเลื่อนสวิตช์ลงแล้วหมุนตัวเดินจากไปอย่างสง่างาม
จัดการเสร็จแล้วก็สะบัดชายเสื้อเดินจากไปโดยไม่บอกกล่าว
แน่นอนว่าซูอินไม่รู้เื่ที่ไม่ได้ถูกเปิดเผยเหล่านี้ แค่คิดว่าแม้แต่พระเ้าก็ยังช่วยเธอ
อารมณ์ดีจัง
เธอนั่งอยู่ในรถพร้อมหัวเราะคิกคักไปกับอวี๋ฉิง และแน่นอนว่าซูอินไม่ลืมเื่หลักที่ต้องทำ
เธอสามารถนำเงินสองแสนหยวนออกมาใช้ แต่การช่วยเหลือนักเรียนยากจน เธอจะตรวจสอบได้อย่างไรว่าคนเ่าั้้าเงินช่วยเหลือจริงๆ ไม่ใช่การแอบอ้าง นี่เป็เื่ใหญ่ แต่ก็เป็เื่หยุมหยิมด้วยเช่นกัน
เมื่อชาติก่อนตระกูลหลิงจัดตั้งกลุ่มขึ้นมาโดยเฉพาะ ซึ่งเดิมทีเธอก็คิดจะใช้กลุ่มนั้น และเข้าเป็หนึ่งในผู้สนับสนุนกองทุนการกุศลนี้ เธออาจจะมีสิทธิ์พูดในเื่นี้ไม่มากก็น้อย และอาจจะสามารถทำหน้าที่กำกับดูแล แต่วันนี้ตัดสินใจตัดขาดกันแล้ว แน่นอนว่าเธอไม่สามารถใช้ตัวเลือกนี้
ครุ่นคิดครู่หนึ่ง เธอจึงนึกถึงตระกูลที่ทำธุรกิจด้านเดียวกันอย่างตระกูลอวี๋
ซึ่งปฏิกิริยาตอบกลับของคุณหนูตระกูลอวี๋คือ “ตกลงสิ ไม่มีปัญหา”
ตอบรับอย่างมีความสุขขนาดนี้เลยหรือ ซูอินไม่เพียงประทับใจในความมีคุณธรรมของเพื่อน ในตอนนี้เธอเริ่มรู้สึกกังวล “เธอไปถามคุณอาอวี๋ก่อนดีกว่าไหม”
“วางใจเถอะ เื่ดีๆ แบบนี้คุณพ่อของฉันไม่มีทางปฏิเสธ”
ในเมื่ออวี๋ฉิงแสดงท่าทีมั่นใจขนาดนี้ ซูอินก็โล่งใจ เธอไตร่ตรองแล้วว่าพรุ่งนี้จะกลับชนบท ทำให้ไม่ได้ไปที่อื่นกับอวี๋ฉิง แต่เดินทางกลับโรงแรมทันที
ตระกูลอวี๋จัดการเื่นี้อย่างรวดเร็ว บ่ายวันนั้นซูอินได้รับข่าวจากอวี๋ฉิงว่า อวี๋ิกวงสั่งให้เลขาฯ จัดตั้งกลุ่มแล้ว โดยร่วมมือกับหน่วยงานราชการ เช่น สำนักงานกิจการพลเรือน สำนักงานด้านการศึกษา เพื่อเตรียมความพร้อมอย่างจริงจังในการช่วยเหลือนักเรียนเพื่อการกุศล
เมื่อสบายใจแล้วซูอินก็นอนหลับอย่างสบายใจ วันต่อมาเธอตื่นแต่เช้า สองสามีภรรยาตระกูลซูเดินทางมาถึงแต่เช้าเช่นกัน เมื่อเตรียมสัมภาระเรียบร้อยแล้ว เธอจึงร่ำลาคนที่โรงแรม จากนั้นนั่งรถบัสกลับชนบท