รถบัสจากตัวเมืองวิ่งโยกเยกไปบนถนนตามทางเข้าสู่ชนบท
ผ่านไปสามวันพวกเขาเข้าไปในตัวเมืองเพื่อรับบุตรสาวอีกครั้ง สองสามีภรรยาตระกูลซูดีใจราวกับเป็วันฉลองปีใหม่อีกครั้ง พวกเขาตื่นนอนั้แ่เช้าตรู่ เมื่อเห็นว่าวันนี้อากาศดีจึงนำผ้าห่มที่ทำใหม่มาตากที่ราวลวดกลางลานบ้าน จากนั้นนั่งรถบัสรอบเช้าที่สุดเข้ามาในเมือง
การเข้ามารับบุตรสาวเป็ไปอย่างราบรื่น ในรถบัสแถวหน้าสุดติดกับหน้าต่าง เมิ่งเถียนเฟินนั่งอยู่แถวเดียวกับซูอิน พยายามอย่างสุดกำลัง แต่ก็อดไม่ได้ที่จะเผยรอยยิ้ม
ซูเจี้ยนจวินนั่งอยู่ข้างหลังสองแม่ลูก บนตักของเขามีของขวัญที่ซูอินนำกลับมาให้ ท่าทีของเขาในตอนนี้ดูเหมือนกำลังมองทิวทัศน์ด้านนอกอย่างสบายใจ แต่อันที่จริงสายตามองใบหน้าด้านข้างของบุตรสาวที่สะท้อนในกระจกหน้าต่าง พลางเงี่ยหูฟังเสียงที่กระซิบกระซาบกันจากแถวหน้า
เมิ่งเถียนเฟินและซูอินมีใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสที่คล้ายคลึงกันมาก ก่อนจะมีเสียงถามถึงสถานการณ์ใน่สองสามวันที่ผ่านมา
“งานเลี้ยงฉลองวันเกิดเป็ยังไงบ้าง มีความสุขไหม”
แน่นอนว่าต้องมีความสุข นั่นคือความรู้สึกโดยรวมของซูอิน
แต่เธอก็เข้าใจ เมื่อเมิ่งเถียนเฟินถามด้วยท่าทีมีความสุข ซึ่งคงไม่ใช่ความสุขเื่เดียวกันกับที่ตัวเธอรู้สึก
เมื่อวานในงานฉลองวันเกิด เธอหักหน้าตระกูลหลิงต่อหน้าคนมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนแต่เป็แขกผู้ทรงเกียรติ ตอนนี้เธอไม่จำเป็ต้องปิดบังสองสามีภรรยาตระกูลซู
“สนุกมากค่ะ แต่ว่าเกิดเื่ตอนท้ายนิดหน่อย”
“เื่อะไร”
เมิ่งเถียนเฟินแสดงสีหน้าเป็ห่วง เสียงของสองคนแม่ลูกไม่ดังมาก หากซูเจี้ยนจวินตั้งใจฟังก็ได้ยิน แต่ก็ไม่ดังจนรบกวนผู้โดยสารคนอื่นๆ บนรถ
ซูอินอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยภาษาที่กระชับ ชัดเจนแต่ไม่ตัดเนื้อหา และไม่ปกปิดความคิดของตนเอง
“ถึงบนเวทีจะพูดไปแบบนั้น แต่สิ่งที่หนูคิดคือ อยู่ห่างกันมาั้แ่เล็ก เดิมทีก็ไม่ได้รู้สึกผูกพัน พวกเขาแค่้าใช้ประโยชน์จากหนู แล้วทำไมหนูต้องยอม ในเมื่อเกิดเื่ขนาดนี้ ยังไงก็ต้องจากกัน ไม่ต้องติดต่อกันเลยจะดีกว่า”
เมื่อชาติก่อนซูอินอดทนจนกระทั่งตัวเองเสียชีวิต แสร้งทำเป็เชื่อฟัง ไม่ว่าเจอเื่อะไรก็อดทนและยอมให้ตลอด ยอมคนอื่น และสร้างความทุกข์ใจให้ตนเอง
เธอทนมาเยอะแล้ว
เมื่อกลับชาติมาเกิด ได้พบหน้าพ่อแม่อีกครั้ง เธอปรารถนาที่จะใช้ชีวิตอย่างอิสระ จึงทำอะไรตรงไปตรงมา คิดสิ่งใดก็พูดออกไป
สิ่งที่ได้รับรู้นี้ค่อนข้างเป็เื่ใหญ่ เมิ่งเถียนเฟินกลั่นกรองอยู่สักพัก ความรู้สึกซับซ้อนมากมายก่อตัวขึ้น แม้แต่สีหน้าก็เปลี่ยนไป
“ทำไมเมิ่งเมิ่งถึงได้…”
บิดามารดาทุกคนต่างมองว่าบุตรของตนนั้นดีพร้อม เมิ่งเถียนเฟินก็เป็หนึ่งในคนที่เข้าข้างบุตรสาวของตนเองมาก เมื่อก่อนสำหรับเธอไม่ว่าจะเป็เื่อะไร เมิ่งเมิ่งก็ดีไปหมด แต่หลังจากที่ได้ฟังเื่ราวที่ซูอินเล่าหลายครั้ง กลับทำให้ภาพลักษณ์ที่เธอวาดไว้เ่าั้พังทลายไม่เป็ท่าครั้งแล้วครั้งเล่า
อาจเป็เพราะความสัมพันธ์ทางสายเืที่บอกเธอว่า ทุกสิ่งที่อินอินกล่าวคือเื่จริง
และเพราะเป็เช่นนี้ ทำให้ชั่วขณะหนึ่ง เธอเกือบรับเื่นี้ไม่ได้
แม้ว่าจะเกิดความขัดแย้งในใจ แต่เมิ่งเถียนเฟินอยู่ในวัยกลางคน ผ่านประสบการณ์มามากมาย ไม่นานเธอก็เข้าใจเื่ทั้งหมด
เมิ่งเมิ่งคง้าสิ่งต่างๆ มาั้แ่เด็ก น่าเสียดายที่ฐานะของพวกเขาไม่สามารถมอบสิ่งที่เธอ้า ตอนนี้เธอมีบิดามารดาที่มีทั้งเงินและหน้าตาในสังคมตรงตามปรารถนา หลังจากนี้เธอคงมีความสุขแน่นอน
ขอแค่บุตรสาวมีความสุข ตนเองก็สบายใจ
ตรงข้ามกับอินอิน ถึงแม้จะให้กำเนิดเธอ ั้แ่เล็กจนโตพวกเขากลับไม่เคยเลี้ยงดูเธอสักวัน ไม่ว่าตระกูลหลิงที่เคยเลี้ยงดูเธอก่อนหน้านี้จะมีฐานะดีเพียงใด ทว่าตอนนี้พวกเขาซึ่งเป็บิดามารดาที่แท้จริงก็ได้ตัวบุตรสาวกลับมาอยู่ด้วยแล้ว
อันที่จริงหากคิดถึงแต่สิ่งดีๆ พวกเขารู้สึกกังวลว่าความแตกต่างทางฐานะจะทำให้อินอินเสียใจที่เลือกกลับมาอยู่ที่นี่ ในเวลานี้เธอสะสางความสัมพันธ์กับฝั่งนั้น และปล่อยหัวใจกลับมาสู่ที่ที่มันควรจะอยู่
เด็กคนนี้ช่างดีเหลือเกิน ไม่ว่าด้านไหนก็ดีไปเสียหมด
ความสุขก่อตัวขึ้นในใจของเมิ่งเถียนเฟิน “เป็อย่างนั้นก็ดี ตระกูลหลิงร่ำรวยขนาดนั้น แม้ครอบครัวของพวกเราจะเทียบเขาไม่ได้ หากอยู่ใกล้อาจมีคนพูดเปรียบเทียบ อยู่ห่างพวกเขาไว้ถือเป็เื่ดี”
ซูอินเห็นอย่างชัดเจนว่าอารมณ์ความรู้สึกของเมิ่งเถียนเฟินเปลี่ยนไป ทำให้รับรู้ว่าอีกฝ่ายเข้าใจเื่นี้แล้ว ใบหน้าจึงเผยรอยยิ้ม
“ใช่ค่ะ เป็แบบนี้แหละ”
การเดินทางผ่านไปช้าๆ สองแม่ลูกเริ่มพูดคุยกันอีก
เมื่อเลี่ยงออกมาจากตระกูลหลิง บรรยากาศก็เกิดความกลมเกลียวอย่างรวดเร็ว สองแม่ลูกต่างก็เป็คนเรียบง่าย มีจิตใจเป็มิตรไมตรี ในตอนที่รถบัสหยุดที่หน้าทางเข้าหมู่บ้าน บรรยากาศระหว่างทั้งคู่ก็เปลี่ยนเป็ความคุ้นเคยและเข้ากันมากขึ้น
ซูเจี้ยนเปิดช่องเก็บสัมภาระ หยิบกระเป๋าออกมาแล้วปิดช่องเก็บสัมภาระ มือข้างหนึ่งยกกระเป๋าเดินทาง ไหล่สะพายกระเป๋าหนังสือใบใหญ่ที่ซูอินใช้ตอนเรียน มือถือถุงใส่ของหลายใบ ตอนนี้เขาดูเหมือนชั้นวางสัมภาระเคลื่อนที่อย่างไรอย่างนั้น
“หนูถือเองได้ค่ะ”
ซูอินยื่นมือจะไปถือถุงใส่ของจากซูเจี้ยนจวิน
ซูเจี้ยนจวินส่ายหน้า จากตรงนี้ห่างจากบ้านราวๆ สองสามกิโลเมตร ทางเดินเข้าหมู่บ้านไม่ค่อยดี หากถือของด้วยจะเดินไม่สะดวก
“ไม่เป็ไร”
เอ่ยจบเขาหันไปมองเมิ่งเถียนเฟิน ส่งสัญญาณเงียบๆ
“พ่อของลูกแข็งแรง ของแค่นี้สบายมาก ให้เขาถือเถอะ”
ซูอินเดินอยู่ข้างหน้ากับเมิ่งเถียนเฟิน เดินั้แ่ถนนลาดยางจนไปถึงถนนลูกรัง มีนาข้าวขนาบสองข้างทาง ใน่ฤดูทำนาที่วุ่นวาย ชาวนากำลังก้มตัวทำงานอยู่กลางทุ่ง มองจากระยะไกลเหมือนจุดหมึกดำที่กำลังเคลื่อนไหว
ระหว่างที่เดินหากพบชาวนาที่อยู่ข้างๆ คันนา เมิ่งเถียนเฟินก็จะหยุดทักทาย และซูอินก็จะถูกแนะนำโดยเมิ่งเถียนเฟิน โดยเธอเอ่ยเรียกอย่างสุภาพว่า “คุณปู่ คุณย่า คุณลุง คุณป้า”
เด็กสาวรูปร่างเพรียวบาง ผิวขาว หน้าใส ดวงตาเป็ประกาย รอยยิ้มหวานที่เผยขึ้นพร้อมกับเสียงเรียกเหล่าผู้าุโ ไม่ต้องบอกเลยว่าน่าเอ็นดูมากเพียงใด
การพบเจอเพียงครั้งเดียว ซูอินก็สร้างความประทับใจให้ผู้คนในชุมชนไม่น้อย
“นี่คือลูกสาวของเถียนเฟินหรือนี่”
“หน้าตาเหมือนเถียนเฟินเลย ครั้งนี้ไม่มีทางผิดตัวแน่นอน”
“เถียนเฟินใบหน้าสวยั้แ่เด็ก บุตรสาวที่คลอดออกมาก็ขาวผ่องเหมือนกับเธอ ฉันว่าสวยกว่าเธอตอนเด็กๆ เสียอีก”
คนชนบทส่วนใหญ่ตั้งใจทำงานหนัก และใช้ชีวิตเรียบง่าย คำพูดที่เอ่ยออกมาล้วนตรงไปตรงมา ความปรารถนาดีและคำชื่นชมเพียงไม่กี่คำทำให้ซูอินรู้สึกดีขึ้น ใบหน้าของเธอยิ่งเผยรอยยิ้มหวานกว่าเดิม
เพราะความรู้สึกดีเหล่านี้ เมื่อเธอได้เห็นสภาพบ้านของตระกูลซู จึงไม่รู้สึกผิดหวังเลย
สุดท้องนาคือหมู่บ้านตงผิงที่ตระกูลซูอาศัยอยู่ หลายครัวเรือนในหมู่บ้านสร้างด้วยอิฐที่กว้างขวางและสว่าง มีอีกจำนวนหนึ่งที่เป็บ้านสองชั้น ซูอินเดินเคียงข้างเมิ่งเถียนเฟินไปตามถนนสายหลัก ตรงไปจนสุดทางของหมู่บ้าน
เลี้ยวเข้าซอยตรงปากทาง เดินตรงไปอีกไม่กี่ก้าว ในที่สุดพวกเขาสามคนก็มาถึงหน้ารั้วด้านหนึ่ง
“ถึงแล้วจ้ะ”
เมื่อมองผ่านรั้วเข้าไปก็เห็นผ้าห่มตากไว้ที่ลานบ้าน ตัวบ้านสร้างด้วยดินไม่สูงมากตั้งอยู่ติดกันหลายหลัง ด้านข้างมีห้องที่อยู่ต่ำที่สุดหนึ่งห้อง มองผ่านหน้าต่างที่เปิดไว้ทำให้รู้ว่าน่าจะเป็ห้องครัว
ภาพจำแรกที่บ้านหลังนี้สร้างให้ซูอินก็คือ ความจน
ไม่น่าแปลกใจที่หลิงเมิ่งจะเกลียดเธอขนาดนั้น
เมิ่งเถียนเฟินเปิดประตูรั้ว ก่อนจะหันกลับมามองเธอและกล่าวอย่างระมัดระวัง “อินอิน เข้าไปข้างในกันเถอะ”
ระหว่างที่เดินทางมาเธอค่อนข้างรู้สึกดี ในเวลานี้จึงไม่ทำให้ซูอินรู้สึกท้อแท้ใจนัก ถึงจะจน แต่บ้านก็ถูกเก็บกวาดสะอาดสะอ้าน ไม่มีวัชพืชอยู่บนพื้นดินเลย แม้แต่รั้วก็ถูกปัดกวาดจนสะอาด หากด้านในถูกเก็บกวาดระดับนี้ก็ไม่มีปัญหา
ใช้ชีวิตอยู่ในชนบทกับผู้สูงอายุทั้งสองคนมาั้แ่เด็ก ทำให้ซูอินไม่รู้สึกกดดันเมื่อต้องมาอยู่ในบ้านดินลักษณะเช่นนี้
เธอเดินเข้าไปในบ้านพร้อมกับสองสามีภรรยาตระกูลหลิง สถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ต่างไปจากที่เธอจินตนาการเท่าไร
สะอาดมาก!
ถึงแม้เฟอร์นิเจอร์จะเก่าและล้าสมัย แต่ก็ดูสะอาด ท็อปโต๊ะเคลือบเงาสีดำเป็ประกายแวววาว บ้านดินเพดานต่ำ แต่ทำให้เธอรู้สึกทึ่งกับความกว้างขวางและสว่างไสว
“ทางนี้คือห้องของลูก” เมิ่งเถียนเฟินเปิดประตูที่อยู่ทางขวาของห้องรับแขก และมองเธอด้วยท่าทีเก้อเขิน
“ของหนูเหรอคะ”
ซูอินชี้จมูกของตนเอง บ้านดินหลังนี้เหมือนกับห้องที่ติดกันสามห้อง ตรงกลางคือห้องรับแขก ทางซ้ายและขวามีห้องอย่างละหนึ่งห้อง ด้านซ้ายอยู่ติดกับห้องครัว ทำให้ถูกห้องครัวบังไม่ค่อยมีแสงเข้า ห้องด้านขวาถือว่าเป็ห้องนอนที่ดีที่สุด
ให้เธอหรือ
ซูอินเดินเข้าไปด้วยความประหลาดใจ เมื่อเห็นการตกแต่งภายในห้องก็ยิ่งตกตะลึง