ระหว่างห้องจัดเลี้ยงและห้องพักมีเพียงกำแพงกั้นหนึ่งชั้น และประตูที่เชื่อมถึงกันเปิดอยู่ ทำให้สามพ่อแม่ลูกตระกูลหลิงได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอกอย่างชัดเจน
สีหน้าของพวกเขาไม่สู้ดีเท่าไร
“พวกเราปิดไมโครโฟนดีไหมคะ”
อู๋อู๋เสนอ หลิงจื้อเฉิงขมวดคิ้วเป็ปม ่เวลานี้เงียบสนิท ด้านหลังมีผู้จัดการซึ่งทำหน้าที่ดูแลห้องยืนพยักหน้าอยู่ด้านหลัง
ผู้จัดการดูแลห้องจัดเลี้ยงทำประหนึ่งว่ากำลังฟังเื่ตลก
“ท่านประธานหลิงครับ ปิดไมโครโฟนตอนนี้ก็เท่ากับว่า้าปกปิดความจริงนะครับ”
หลิงจื้อเฉิงกุมขมับด้วยความหงุดหงิด “ก็ยังดีกว่าปล่อยให้เธอพูดต่อไป”
เขาไม่เข้าใจจริงๆ ว่าบุตรสาวที่เรียบร้อยมาตลอดสิบหกปีคนนั้น ทำไมเปลี่ยนไปได้เช่นนี้ จะอย่างไรก็ตาม เื่มันมาถึงขั้นนี้แล้ว คงทำได้เพียงเลือกสิ่งที่ส่งผลเสียน้อยกว่า
“ไปเถอะ” หลิงจื้อเฉิงโบกมืออย่างไร้เรี่ยวแรง
เมื่อเห็นเช่นนั้นผู้จัดการที่ดูแลห้องจัดเลี้ยงจึงรับรู้ว่าหลิงจื้อเฉิงตัดสินใจแล้ว เขาจึงอดไม่ได้ที่จะด่าในใจด้วยคำพูดหยาบคาย
ถึงแม้ท่านประธานหลิงจะเป็เ้านาย แต่การศึกษาและคุณสมบัติของเขาแทบไม่ต้องกังวลเื่งาน แน่นอนว่าเขาไม่ใช่พนักงานที่ยอมทำงานไปวันๆ เพื่อแลกกับเงิน
เขาก็มีรูปแบบการทำงานและสิ่งที่แสวงหาเหมือนกัน
ไม่ว่าจะเป็การสั่งรื้อหรือการตกแต่งในวันนี้ รวมถึงการพูดบนเวทีด้วยท่าทางที่ไม่โอ้อวด สาวน้อยคนนี้ล้วนตรงตามรสนิยมของเขาในทุกด้าน
แต่หลิงจื้อเฉิง…
ในตอนแรกที่เขาถูกจ้างด้วยเงินก้อนโต หลิงจื้อเฉิงมีภาพลักษณ์เป็หนุ่มนักธุรกิจที่แสนสุภาพ จนร่วมงานกันมาได้เกือบปี กาลเวลาได้พิสูจน์ใจคน ยิ่งนานวัน เขายิ่งรู้สึกว่ากำลังถูกหลอก ภายใต้ภาพลักษณ์ที่อ่อนโยนและสง่างามที่หลิงจื้อเฉิงแสดงออก เ้าตัวกลับเป็คนชอบหาผลประโยชน์จนเข้ากระดูกดำ
ไม่อยากทำแล้วโว้ย!
ถึงแม้ในใจของเขาจะเบื่อหน่ายจนแทบทนไม่ไหว แต่จรรยาบรรณของผู้จัดการที่ทำหน้าที่ดูแลห้องจัดเลี้ยงซึ่งบ่มเพาะมาเป็เวลาหลายปียังคงอยู่ ผู้จัดการห้องจัดเลี้ยงเดินออกมาก่อนมุ่งตรงไปยังห้องควบคุมหลัก
ก็แค่ว่า…เขาพยายามเดินช้าๆ อีกทั้งเมื่อลิฟต์มาถึง เขาเห็นว่าด้านในมีคนค่อนข้างเยอะ กลัวว่าน้ำหนักจะเกิน เขาจึงรอรอบถัดไป
ผู้จัดการห้องจัดเลี้ยงค่อยๆ ไปยังห้องควบคุมโดยไม่รีบร้อน ภายในห้องจัดเลี้ยงชิงหลง ซูอินกลับไม่รอช้าปล่อยให้เวลาผ่านไป
“อันที่จริงฉันไม่ค่อยสนิทสนมกับสองสามีตระกูลหลิง คำพูดนี้อาจฟังดูอกตัญญู ถึงกระนั้นความรับผิดชอบหลักก็ควรอยู่ที่ดิฉัน ฉันไม่เก่งเท่าไรนักเื่จัดการความสัมพันธ์ โดยเฉพาะในฐานะบุตรสาวอันเป็ที่รักของบิดามารดา พวกเขามีงานยุ่งมาก จึงส่งฉันไปอยู่ที่ชนบทกับคุณปู่คุณย่าั้แ่เด็ก ก่อนเข้าโรงเรียนพวกเราเคยไม่เจอหน้ากันเป็เดือน ความสัมพันธ์จึงค่อนข้างห่างเหิน จนกระทั่งเื่สลับตัวบุตรถูกเปิดเผย แท้จริงแล้วทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้สึกโล่งใจ”
ประเทศจีนถูกปลูกฝังเื่ความกตัญญูมาแต่ไหนแต่ไร ซูอินจึงอ้างว่าเหตุผลส่วนใหญ่เกิดจากตนเอง ส่วนความจริงเป็เช่นไร ในใจของแต่ละคนชั่งน้ำหนักได้เอง
อวี๋ฉิงที่อยู่ใกล้เวทีมากที่สุดทำปากยื่น พร้อมเอ่ยโดยไม่คิดจะลดเสียงลงสักนิด “ฉันเป็เพื่อนร่วมห้องอินอินมาหลายปี แต่พ่อแม่ของเธอไม่เคยมาร่วมประชุมผู้ปกครองเลยสักครั้ง”
อวี๋ิกวงพยักหน้า
เขามีตำแหน่งเป็ถึงประธานของอวี๋หรงกรุ๊ปก็งานยุ่งมากเช่นกัน ั้แ่ไหนแต่ไรมาเขาจำได้เสมอว่าที่ตนเองต้องออกมาทำงานด้วยความยากลำบากก็เพื่อให้ภรรยาและบุตรสาวมีชีวิตที่ดี เขามีบุตรสาวที่รักเพียงคนเดียว ไม่ว่ายุ่งเพียงใดเขาก็ต้องร่วมประชุมผู้ปกครองด้วยตนเอง
“ทุกครั้งที่ผมไปร่วมประชุมผู้ครองของฉิงฉิง มักจะเห็นพี่สะใภ้ของตระกูลหลิงมาร่วมงานเสมอ”
คนที่นั่งอยู่โต๊ะรอบๆ ต่างก็เป็นักธุรกิจในพื้นที่ ใครบ้างไม่รู้อวี๋ิกวงรักบุตรสาวเสียยิ่งกว่าอะไร สิ่งที่เขาพูดจึงน่าเชื่อถือได้
ทุกคนเป็ผู้ใหญ่กันแล้ว ล้วนแต่รู้เหตุรู้ผลดี พระคุณของการเลี้ยงดูย่อมยิ่งใหญ่กว่าการให้กำเนิด ให้กำเนิดแต่ไม่เลี้ยงดู บุตรก็คงไม่มีทางสนิทสนมกับพ่อแม่ที่ทำเช่นนั้นอย่างแน่นอน
ซูอินไม่ได้สังเกตการเคลื่อนไหวทางฝั่งนี้ และยังคงกล่าวต่อไป “เมื่อความจริงเปิดเผย หลายๆ อย่างก็ไม่เหมือนเดิม หลังจากนั้นเกิดเื่ต่างๆ มากมาย ความสัมพันธ์ระหว่างสองฝ่ายยิ่งตึงเครียด ก่อนสอบขึ้นมัธยมปลาย ฉันก็ออกมาจากบ้านตระกูลหลิงแล้วค่ะ”
การสอบขึ้นมัธยมปลายวันแรกเสร็จสิ้น ซูอินไม่อายหากจะต้องเล่าเื่ที่เกิดขึ้นที่หน้าโรงเรียนทดลองในวันนั้น และเื่หลังจากนี้ที่หลิงเมิ่งเข้าสถานพินิจ หลายคนก็คงเคยได้ยินแล้ว
ทั้งสองเื่ที่ปะติดปะต่อกันทำให้ผู้คนที่อยู่เบื้องล่างหันมาสบตากันโดยไม่พูดอะไร
“ในเมื่อความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายกลายเป็เช่นนี้ แล้วทำไมวันนี้ฉันถึงมาร่วมงานฉลองวันเกิด นั่นเป็เพราะประธานหลิงเชิญฉันด้วยความจริงใจ และก่อนหน้านี้ฉันเคยพูดว่า จากการที่ฉันได้รู้จักกับหลิงเมิ่ง ทำให้รู้ว่ามีนักเรียนในวัยเดียวกับฉันอีกมากที่ไม่ได้เรียนหนังสือ จึงอยากทำสิ่งดีๆ ให้พวกเขา ครั้งนี้จึงเป็โอกาสดีที่ได้ช่วยเหลือนักเรียนที่ยากไร้ นอกจากเป็หน้าเป็ตาให้ตระกูลหลิงที่เลี้ยงดูฉันแล้ว ยังสามารถใช้โอกาสนี้แก้ไขผลกระทบนี้ด้วย เื่ราวดีๆ เช่นนี้ ไม่คิดเลยว่า…เมื่อมาลองคิดดูอย่างถี่ถ้วน สิ่งที่หลิงเมิ่งกล่าวเมื่อครู่ก็ไม่ใช่เื่ผิด ฉันไม่ใช่บุตรสาวแท้ๆ ของตระกูลหลิง ไม่มีสิทธิ์ได้รับเงินของขวัญเลยด้วยซ้ำ”
เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ ซูอินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มด้วยท่าทีจนใจ
แขกที่มาร่วมงานเบื้องล่างถูกเธอปลุกระดมจนอดไม่ได้ที่จะพยักหน้าตาม ขนบธรรมเนียมของประเทศจีนค่อนข้างให้ความสำคัญกับเื่ความสัมพันธ์ทางสายเื บุตรในสายเืกับคนที่ไม่ใช่บุตรในสายเืย่อมแตกต่างกันแน่นอน
แต่เมื่อครู่ที่ประธานหลิงกล่าวว่า “บุตรสาวทั้งสองคน” แสดงอย่างชัดเจนว่าพวกเขาปฏิบัติกับทั้งคู่อย่างเท่าเทียม
คำพูดนั้นยังคงดังก้องในหู หากไม่ใช่คนสมองทึบก็สามารถเข้าใจความหมายได้ไม่ยาก
“ก่อนจะมาฉันได้คิดถึงในจุดนี้ ้าทำบุญ แต่ฉันไม่เคยคิดจะใช้เงินของตระกูลหลิงมาั้แ่แรกแล้ว”
ซูอินเอ่ยเน้นประโยคสุดท้าย
ไม่ตั้งใจจะใช้เงินของตระกูลหลิง แล้วเธอจะใช้เงินของใคร
เงินของตระกูลอวี๋หรือ
หลายคนมองไปทางสามคนพ่อแม่ลูกตระกูลอวี๋ อวี๋ิกวงพยักหน้าเล็กน้อย ในใจของเขาก็งุนงงอยู่เช่นกัน
อวี๋ฉิงที่อยู่ข้างๆ กลับไม่แสดงท่าทีร้อนใจ เธอพอจะรู้นิสัยของซูอินอยู่บ้าง ซูอินเป็เด็กดีและไม่โกหก หากเอ่ยออกมาเช่นนี้แล้ว ในมือของซูอินต้องมีเงินแน่นอน
แต่คนที่ยังคงลังเลก็มีอยู่จำนวนหนึ่ง เช่น โจวกุ้ยฮวา หลิงจื้อเยี่ย ที่รู้นิสัยของซูอินก่อนหน้านี้ และเคยพบตระกูลซูรวมไปถึงญาติพี่น้อง จนทำให้พวกเขาแสดงสีหน้าดูแคลน คุยโวละสิ!
มีเพียงโต๊ะเดียวที่ยังคงนั่งด้วยท่าทีสงบนิ่งอยู่ใกล้ประตู
มันคือโต๊ะที่ซูอินเชิญคุณครูและเพื่อนสนิทมาร่วมงาน หลินซิ่วคุณครูจากโรงเรียนทดลองมีประสบการณ์เคยเจอกับทีมสำรวจจากมณฑลเมื่อก่อนหน้านี้ ท่าทีรักใคร่เอ็นดูที่เลขาธิการผู้อำนวยการกองโจวแสดงออกต่อซูอินนั้นไม่ธรรมดา พวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะไตร่ตรองในเื่นี้
และคนเดียวในงานวันนี้ที่รู้ความจริงทั้งหมดอย่างหลินเฉวียน ท่ามกลางโลกที่ขุ่นมัว มีเพียงเขาที่รู้ทุกอย่างชัดเจนที่สุด มันทำให้รู้สึกปวดใจมากจริงๆ
บรรยากาศในห้องจัดเลี้ยงกลับมาวุ่นวายอีกครั้ง ในที่สุดสามพ่อแม่ลูกตระกูลหลิงก็ไม่สามารถนั่งเฉยได้อีก
อู๋อู๋แสดงท่าทีดูถูก “เธอคิดว่ากำลังทำอะไรอยู่ งานฉลองอายุครบหนึ่งเดือนตามบ้านนอกงั้นหรือ เห็นเด็กตัวเล็กๆ ก็จะยื่นเงินให้ห้าหยวนสิบหยวน นับดูแล้วก็ได้เงินไม่กี่ร้อยหยวนน่ะหรือ เงินของขวัญวันเกิดที่มากกว่าสองแสนหยวน ครึ่งหนึ่งก็หนึ่งแสนหยวน เธอทำงานได้แค่วันละสิบหยวน อย่าว่าแต่หนึ่งแสนเลย แค่หมื่นเดียวก็ไม่มีปัญญา”
หลิงเมิ่งยกมือขึ้นปาดน้ำตา เธอลุกขึ้นก่อนจะเปิดประตูห้องพักหลังเวทีออกไปและก้าวขึ้นเวทีด้วยท่าทีดุดัน
“ไม่ใช่เงินของตระกูลหลิง พูดจาดูดีนะ นักเรียนธรรมดาแบบเธอ ตระกูลซูก็ไม่ได้ร่ำรวย เธอจะเอาเงินแสนสองแสนหยวนมาจากไหน”
ไหนๆ ก่อนหน้านี้เธอก็พูดจาแย่ๆ ออกไป ภาพลักษณ์พังไปแล้ว หลิงเมิ่งจึงปล่อยอารมณ์ออกมาอย่างเปิดเผย
“อ้าว นี่เธอไม่รู้เหรอ ดูที่นี่สิ งานเลี้ยงวันเกิดของตระกูลหลิงไม่ใช่งานฉลองวันเกิดของเด็กในชนบทที่คนมาร่วมงานจะให้เงินห้าหยวนสิบหยวนนะ ที่นี่คือโรงแรมหลิงกวง โรงแรมมีระดับ และเงินที่ได้เป็ของขวัญวันเกิดก็เป็จำนวนหลายหมื่นหยวน!”
บุตรสาวแท้ๆ ของตระกูลหลิงนี่ช่าง…
ไม่น่ามองจริงๆ…
แขกส่วนใหญ่ที่นั่งแถวหน้าเริ่มไม่สามารถทนมองการกระทำของหลิงเมิ่ง แต่สิ่งที่พวกเขาสนใจมากกว่าคือ เด็กสาวคนนั้นจะเอาเงินมาจากไหน
การยั่วยุของหลิงเมิ่งที่อยู่เบื้องหน้า ไม่ทำให้ซูอินตื่นตระหนกเลยสักนิด
“เธออย่าเพิ่งตื่นเต้นไป ฉันเป็คนไม่พูดโกหก ถ้าฉันบอกว่าเอาเงินออกมาได้ก็แสดงว่าต้องทำได้"
“ถ้างั้นเธอก็เอาออกมาสิ!”
เมื่อเห็นหลิงเมิ่งแสดงท่าทียกตนข่มท่าน จึงเป็เื่ง่ายมากกว่าที่จะทำให้ผู้ร่วมงานเกิดความรู้สึกดีต่อซูอินที่ไม่แสดงท่าทีหยิ่งผยอง
ซูอินตั้งใจจะไม่ใช้เงินของตระกูลหลิงจริงๆ ก่อนจะมาที่นี่ เธอได้ไปขอออกเช็คเงินสดจากธนาคารมาแล้ว อีกทั้งยังเขียนจำนวนเงินลงไปสองแสนหยวน
เธอใช้กระเป๋าคลัทช์ทรงแบนที่ถือมาด้วยเป็ตัวช่วยในการหยิบเช็คเงินสดออกมาจากห้วงมิติ
“ฉันเตรียมเอาไว้แล้ว นี่ไง”
เธอใช้มือทั้งสองข้างจับปลายกระดาษเช็คเงินสดและยื่นให้ทุกคนดู
คนที่อยู่ใกล้ที่สุดอย่างหลิงเมิ่งเห็นเช็คเงินสดใบนั้นอย่างชัดเจน แค่กระดาษบางๆ ที่เขียนจำนวนเงินและลายเซ็นของผู้จ่าย กลับให้ความรู้สึกเหมือนฝ่ามือของพระพุทธเ้าทับเธอจนหายใจไม่ออก