ครึ่งปีที่เสียไปของหลินหยางนั้นไม่ได้หมดไปกับการสร้างชุดเกราะิญญาเหล็กทมิฬเพียงชุดเดียวอย่างแน่นอน
ที่เขาต้องทนยากลำบากแสนเข็ญขนาดนั้นทั้งหมดก็เพื่อให้ได้รับพลังที่แข็งแกร่งพอจะทัดทานกับราชวงศ์แห่งอาณาจักรชูอวิ๋นได้
เขาไม่คิดจะทวงคืนบัลลังก์ด้วยการไปแสดงตนเพื่อเรียกร้องสิทธิความเป็เ้าชายเหมือนละครน้ำเน่าอะไรเทือกนั้นหรอกแบบนั้นมันกระจอกเกินไป สิ่งที่เขา้าคือการลากไอ้เฉินเฉาเกอมาคุกเข่าต่อหน้าเขาในขณะที่มันยังเป็เ้าชายอยู่นั่นแหละจากนั้นเอาตีนเหยียบเข้าที่หน้ามันพร้อมกับบอกมันว่า
บังอาจแย่งตัวตนของข้าไป เ้ามันก็แค่สวะเท่านั้นแหละ!!
เขารู้อยู่แล้วว่าหวังิชงจะต้องกลับมาแก้แค้นในเร็ววันนี้แน่ซึ่งชุดเกราะตรงหน้านี้แหละที่เขาจะใช้เป็อาวุธในการตอบโต้คนเ่าั้
ถ้าพวกผู้ดูแลภายในกับพวกทหารองครักษ์ไม่กลับมาวอแวเขาก็แล้วไปแต่ถ้ามันกล้ามา เขาก็จะแสดงให้ไอ้พวกเชื้อพระวงศ์ของอาณาจักรนี้ได้เห็นว่า - ตระกูลเวินในตอนนี้มีความสามารถมากพอที่จะต่อต้านพวกมันได้แล้ว!!!!
“ต่อไป ข้าจะสอนพวกเ้าเกี่ยวกับวิธีใช้เ้าชุดเกราะิญญาเหล็กทมิฬนี่เองซึ่งมันง่ายมาก เ้าเข้ามาก่อนเลยเวินเทา”
“ข้ารึ? โอ้ ดีดี!! ขอบพระคุณท่านผู้าุโหลิน”
เวินเทาที่เคยทำตัวอวดเบ่งคนนั้น เดี๋ยวนี้เวลาอยู่ต่อหน้าหลินหยางนั้นดูจะว่าง่ายยิ่งกว่าตอนอยู่ต่อหน้าเวินติ่งเทียนผู้เป็บิดาของตัวเองเสียอีก
ผ่านไปสิบนาที
หลังจากที่เวินเทาแสดงประสิทธิภาพของเกราะิญญาเหล็กศักดิ์สิทธิ์ออกมาให้ทุกคนได้เห็นแล้ว
ผู้คนต่างก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาทันที
เหล่าลูกศิษย์ของตระกูลเวินต่างก็ส่งเสียงยินดีจนแทบจะบ้าไปแล้วส่วนพวกผู้สูงวัยอย่างเวินติ่งเทียนนั้นถึงแม้จะเคยเห็นมาก่อนั้แ่เมื่อคืนวานแล้วแต่ก็ยังอดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นเต้นจนหายใจหนักหน่วง
เวินเทาที่อยู่ในชุดเกราะสีดำกำลังยืนมองสองมือของตัวเองด้วยความรู้สึกอัศจรรย์ใจเป็อย่างมากเขายืนอึ้งอยู่อย่างนั้นไปเกือบสิบวินาทีจึงค่อยได้สติขึ้นมา
“นี่...พลังของข้าจริงๆ หรือ ?”
“แน่นอนอยู่แล้ว!!”
ผู้คนรอบข้างต่างก็ส่งเสียงยินดีออกมาอย่างมีความสุข
“เ้าน่าจะสนุกพอแล้วนะเวินเทา!! เปลี่ยนข้าบ้าง ให้ข้าลองบ้าง!!”
“หึ ถ้ามีเกราะิญญาเหล็กทมิฬนี่ละก็ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็ใคร ถ้ามันยังมาหาเื่ตระกูลเวินของเราอีกละก็... มาเท่าไรก็ตายเท่านั้น!!”
กำลังใจของพวกเขาตอนนี้เต็มเปี่ยม
ไม่รู้ว่าเ้าเกราะสีดำทมิฬชิ้นนี้มันแข็งแกร่งมากขนาดไหนมันถึงทำให้คนของตระกูลเวินมั่นใจในความสามารถของมันได้ขนาดนี้?
คำตอบนั้นเกรงว่าคงต้องรอให้พวกของหวังิชงมารับรู้ด้วยตัวเอง...
..................................
ขึ้นเก้าค้ำเดือนสิบ วันที่สองหลังจากเกิดเหตุการณ์ในงานเทศกาลขุมทรัพย์สมบัติิญญา่บ่าย
ทั่วทั้งพื้นที่บริเวณทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองอวิ๋นเฉิงกลายเป็พื้นที่ว่างเปล่าไปแล้วชาวเมืองทั้งหมดถูกสั่งให้อพยพออกไป ของมีค่าต่างๆ ก็ถูกนำออกไปด้วยพื้นที่หนึ่งกิโลเมตรรอบคฤหาสน์ตระกูลเวินตอนนี้มีสภาพไม่ต่างอะไรกับเมืองร้าง
เหล่าทหารองครักษ์ของเชื้อพระวงศ์กว่าหนึ่งหมื่นคนกำลังย่ำเท้าเดินหน้ากันอย่างพร้อมเพรียงอยู่บนถนนขนาดใหญ่ที่พาดผ่านด้านหน้าของคฤหาสน์ระกูลเวิน
ซึ่งถนนสายนี้เคยเป็ดั่งสัญลักษณ์แห่งเกียรติยศและความรุ่งโรจน์ของตระกูลเวินที่แม้แต่คนทั่วไปที่ได้ก้าวเท้าเดินบนถนนสายนี้ก็ยังสามารถััได้ถึงความยิ่งใหญ่จากมัน
น่าเสียดายที่ตอนนี้ คนที่ยืนอยู่บนถนนสายนี้กลับมีแต่พวกทหารองครักษ์เกราะทองที่จะมาตัดสินชะตาชีวิตของตระกูลเวิน
ภายในกองทัพทหารองครักษ์เหล่านี้มีเกี้ยวขนาดแปดคนหามซึ่งเป็ที่นั่งของหัวหน้าฝ่ายผู้ดูแลภายในทั้งเด่นเป็สง่าคนที่นั่งอยู่บนนนั้นก็คนที่รับหน้าที่มาจับกุมคนของตระกูลเวินหัวหน้าฝ่ายผู้ดูแลภายใน หวังิชง
หวังิชงที่นั่งอยู่บนเกี้ยวนั้น สีหน้าของมันตอนนี้เต็มไปด้วยจิตสังหารที่มันแผ่ออกมาในหัวย้อนคิดแต่ภาพของเหตุการณ์เมื่อวันก่อนที่มันถูกไอ้เด็กเวรหลินอี้นั่นเมินเฉยใส่เขา
เขากัดฟันแน่น วันนี้เขาจะต้องทำให้ไอ้หลินอี้นั่นต้องหลั่งเืก่อนสักหน่อยค่อยพามันกลับไปที่คุกของฝ่ายผู้ดูแลภายในแล้วจากนั้นค่อยมาทรมารมันทีละช้าๆเอาแทน!!
บริเวณด้านหลังของรถม้าอันสวยงามอลังการนั้นมีสัตว์อสูรสุดแข็งแกร่งเดินตามถึงสามตัว
ม้ายูนิคอร์นเขาสีขาว อสูรโห่ว (犼*ปีศาจชนิดหนึ่งในตำนานของจีนมีลักษณะคล้ายม้านิลั)และวัวเทพห้าสี
สัตว์อสูรทั้งสามตัวนี้เป็สัตว์อสูรที่เลื่องชื่อมากในเมืองอวิ๋นเฉิงเพราะผู้ที่เป็นายของมันนั้นคือยอดฝีมือระดับเทพาผู้พิทักษ์เมืองคนที่แข็งแกร่งที่สุดของอาณาจักรชูอวิ๋น
ผู้ที่นั่งอยู่บนหลังของยูนิคอร์นสีขาวตัวนี้คือบุรุษชุดขาวที่มีผมสีขาวพาดดาบยาวประมาณสองฟุตเอาไว้บนหลัง
ด้ามดาบสีขาว ฝักดาบสีน้ำเงินเข้ม แม้แต่เหล่าองครักษ์ที่อยู่รอบๆยังััได้ถึงกลิ่นอายของความแข็งแกร่งที่บุรุษผมขาวปล่อยออกมา
เขาคือหนึ่งในสี่หัวหน้าองครักษ์แห่งเชื้อพระวงศ์ปรมาจารย์ดาบแห่งเมืองอวิ๋นเฉิง - เซี่ยชางไห่
ผู้ที่ถูกขนานนามว่าเป็ยอดฝีมือที่มีทักษะด้านการใช้ดาบที่อยู่ในจุดสูงสุดของเมืองอวิ๋นเฉิง
ต่อมาคือวัวเทพห้าสี ขนาดร่างกายมันใหญ่พอๆ กับช้างขนาดเล็กตัวหนึ่งบนตัวมันมีขนห้าสีอยู่ทั่วทั้งตัว เขาของมันดูราวกับดาบยาวที่ชี้ขึ้นฟ้าความแข็งแกร่งของมันไม่ด้อยไปกว่ายอดฝีมือระดับเซียนเทียนเลย
ผู้เป็นายของมันยิ่งแล้วใหญ่ หากมองจากที่ไกลๆ แล้วดูราวกับว่าบนหลังวัวตัวนี้มีประการเหล็กหลังหนึ่งตั้งอยู่บนนั้น
ขนาดร่างกายที่สูงเกือบสองเมตรผิวกายสีดำเข้มแลกล้ามเนื้อที่ดูแข็งแกร่งบึกบึนราวกับเหล็กไหลก็มิปาน ในดวงตาอันใหญ่โตของมันเปล่งรังสีฆ่าฟันออกมาอย่างเต็มเปี่ยม
เขาคืออีกหนึ่งในสี่หัวหน้าองครักษ์ หมัดเทพไร้พ่าย - เหวินไท่เป่ย
ส่วนสัตว์อสูรโห่วที่แต่เดิมเป็สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งและดูองอาจเหลือคณาแต่เพราะผู้เป็นายที่นั่งอยู่บนหลังของมันตอนนี้มีสภาพอ่อนแรงกว่าปกติอยู่ไม่น้อย
เขาก็คือซูิชุนที่เพิ่งพ่ายให้กับหลินหยางไปนั่นเองวันนี้เขาเองก็ตามมาด้วยเหมือนกัน
าแของซูิชุนไม่ได้หนักขนาดนั้นหลินหยางวันนั้นได้ออมแรงเอาไว้ส่วนหนึ่งโดยกะให้อีกฝ่ายแพ้พอดีไม่ได้หวังจะทำร้ายจนสาหัส
แต่ซูิชุนนั้นรู้สึกไม่ชอบใจเป็อย่างมากเขาที่เป็หนึ่งในยอดฝีมือที่แข็งแกร่งที่สุดของอาณาจักรนั้นกลับมาแพ้ให้กับเด็กน้อยอายุแค่สิบกว่าขวบแบบนี้ ทำให้เขาอยากจะแก้มือกับไอ้เด็กน้อยที่ชื่อหลินอี้นั่นอีกครั้งเพื่อล้างอาย
สามหัวหน้าองครักษ์ได้มาถึงที่หมายแล้วพวกเขากวาดตามองไปทางประตูใหญ่ของคฤหาสน์ตระกูลเวินจากนั้นก็ได้ยินเสียงของเหวินไท่เป่ยพูดกับซูิชุนด้วยใบหน้ายิ้มเยาะว่า
“ตาเฒ่าซูเอ๋ย หลินอี้นั่นต้องให้ข้าเป็คนจัดการนะข้าล่ะอยากเห็นไอ้ฝ่ามือเพลิงที่เผาเ้าจนไหม้นั่นเสียจริงว่าจะร้ายกาจแค่ไหน!!!!”
“ฝันไปเถอะ!!”
ซูิชุนมาวันนี้ก็เพื่อจะล้างแค้นโดยเฉพาะเขาอุตส่าห์นั่งคิดทั้งคืนกว่าจะหาวิธีสยบวิชาฝ่ามือของหลินหยางคู่นั้นได้วันนี้เขาจะต้องแทงไอ้เด็กนั่นให้พรุนให้ได้
“เหอะ เ้าแพ้ไปแล้วรอบหนึ่งยังไม่ตายใจอีก ถ้าวันนี้เ้าถูกเผาจนเกรียมซ้ำอีกรอบละก็คราวนี้ได้อับอายครั้งใหญ่แน่!!”
“หุบปากเน่าๆ ของเ้าไปเถอะ!!”
ส่วนเหวินไท่เป่ยตอนนี้ผ่อนคลายเป็อย่างมาก ในสายตาของเขานั้นทั้งอาณาจักรชูอวิ๋นแห่งนี้ไม่มีใครที่แข็งแกร่งพอให้พวกเขาสามคนต้องลงมือพร้อมกันถึงจะจัดการได้เลย
ต่อให้หลินอี้นั่นจะแข็งแกร่งสมคำร่ำลือนั่นก็ตามแต่ก็ไม่มีอะไรน่าเป็ห่วงอยู่ดี เพราะด้านหลังของพวกเขาตอนนี้มีเกี้ยวเล็กขนาดสี่คนหามตามหลังพวกเขามาด้วย
เกี้ยวหลังนี้มีสีดำทั่วทั้งหลังไม่รู้เหมือนกันว่าใช้วัตถุดิบอะไรสร้างขึ้นพอแบกมันขึ้นมากลับมีน้ำหนักค่อนข้างเบา แต่ผู้คนต่างก็รู้กันว่าคนที่นั่งอยู่ในนั้นเป็คนที่ยิ่งใหญ่มากเพียงใด
ิญญาตัดขอบฟ้า
เป็ชายที่ใกล้เคียงกับคำว่าไร้คู่ต่อกรมากที่สุดคนหนึ่งของอาณาจักรชูอวิ๋น- ต้วนเทียนหยา
พอเหล่าองครักษ์รู้ว่ายอดฝีมือท่านนี้จะมาพร้อมกับหวังิชงด้วยแล้วก็ทำให้พวกเขารู้สึกใจชื้นและมีกำลังใจอย่างเต็มเปี่ยม
ไม่ว่าตระกูลเวินจะแข็งแกร่งแค่ไหน หลินอี้จะอำมหิตเพียงใดเมื่ออยู่ต่อหน้าต้วนเทียนหยาแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับปุยเมฆ
ไม่มีใครสามารถช่วยให้ตระกูลเวินและไอ้เวรหลินอี้นั่นหนีรอดไปได้อย่างแน่นอน
หลังจากเวลาผ่านไปไม่นานกองทัพก็ได้เคลื่อนเข้ามาหยุดยืนอยู่หน้าประตูคฤหาสน์แล้วหวังิชงเดินลงมาจากเกี้ยว หลี่ตามองเข้าไป
ก็เห็นว่าประตูของคฤหาสน์ปิดเอาไว้อย่างมิดชิดแ่ากำแพงที่สูงกว่าสามเมตรสะท้อนแสงสีขาวนวลภายใต้แสงอาทิตย์นั้นช่างคล้ายกับใบหน้าชวนโมโหของหลินอี้นั่นเหลือเกินทำเอาหวังิชงอดที่จะมีน้ำโหไม่ได้
“ทหาร ไปล้อมคฤหาสน์เวินเอาไว้ซะ!!”
เขารีบออกคำสั่งลงไปทันที
เหล่าองครักษ์เมื่อได้รับคำสั่งมาก็ส่งเสียงตอบรับกันดังสนั่นหวั่นไหวจากนั้นก็ส่งคนกระจายกำลังกันไปล้อมรอบคฤหาสน์เอาไว้ส่วนเหล่ายอดฝีมือต่างก็มายืนดักกันอยู่ที่ประตูหน้าของคฤหาสน์
ผ่านไปเพียงชั่วพริบตาด้านนอกของคฤหาสน์ก็มีทหารยืนปล่อยจิตสังหารออกมาอยู่เต็มไปหมดจนแม้แต่นกบนฟ้ายังต้องเลี่ยงที่จะบินผ่าน
คนที่อยู่ภายในกำแพงอันสูงใหญ่นี่คงจะหวาดกลัวกันจนหน้าซีดตัวสั่นไปหมดแล้ว
หวังิชงเดินหน้าบูดไปที่หน้าประตูของคฤหาสน์
เขาอยากจะบุกทะลวงไอ้ประตูนี่เข้าไปทันทีเสียให้รู้แล้วรู้รอดจนใจจะขาด
จากนั้นที่ด้านข้างเขาก็มีหัวหน้ากองทหารนายหนึ่งก้าวออกมาพร้อมกับะโส่งเสียงอันดังออกมาว่า
“เวินติ่งเทียนท่านหวังิชงแห่งฝ่ายผู้ดูแลกิจการภายในมาถึงแล้ว รีบๆ ออกมาต้อนรับเดี๋ยวนี้!!!!”
เสียงพูดอันดังถูกส่งเข้าไปในคฤหาสน์แล้ว
พวกเขาต่างก็รอที่จะได้ยินเสียงแห่งความสับสนอลหม่านดังขึ้นจากภายในนั้น
ถึงอย่างไรเหล่าองครักษ์ของราชวงศ์ก็ไม่ได้จัดทัพขนาดใหญ่โตขนาดนี้เพื่อจับคนมานานแล้ว
แต่ผ่านไปแล้วหนึ่งนาทีเต็ม ภายในคฤหาสน์ก็ยังคงนิ่งเงียบไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ
หืม?
หวังิชงโมโหจนควันแทบออกหู
จะเล่นไม้นี้กับข้าหรือ?
เ้ามันบื้อเกินไปแล้วเวินติ่งเทียน วันนี้ ถ้าเ้าเปิดประตูก็โดนจับแต่ถ้าไม่ยอมเปิด พวกข้าก็จะพังประตูเข้าไปหาเ้าซะ!!!!
พอเขาขมวดคิ้ว หัวหน้ากองทหารผู้นั้นก็เหมือนจะรู้ใจะโส่งเสียงดังขึ้นกว่าเดิมว่า
“เวินติ่งเทียนเสียมารยาทกับขุนนางชั้นสูงแบบนี้ โทษหนักขึ้นหนึ่งขั้น ถ้าพวกเ้ายังไม่ยอมเปิดประตูอีกพวกข้าจะใช้กำลังบุกเข้าไป!!”
ตึก ตึก
สามหัวหน้าองครักษ์ที่อยู่ด้านหลังหวังิชงตอนนี้ได้ลงมาจากสัตว์เลี้ยงของตนแล้ว
เหล่าทหารเองก็ปล่อยจิตสังหารรังสีฆ่าฟันออกมากันอย่างพร้อมเพรียงจนกลายเป็เหมือนคลื่นขนาดมโหฬารพุ่งเข้าใส่กำแพงของคฤหาสน์เวิน
ถ้าคนเหล่านี้ลงมือพร้อมกัน เกรงว่าคฤหาสน์แห่งนี้คงทนได้ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็ถูกตีแตกได้ง่ายๆแล้ว....
แต่ที่น่าโมโหก็คือ หลังจากะโไปแบบนั้นแล้วภายในคฤหาสน์ก็ยังคงเงียบเชียบไร้ซึ่งความเคลื่อนไหวเช่นเดิม
ได้ยินแต่เสียงของจิ้งหรีดที่ร้องกันระงมอยู่บนต้นไม้
หวังิชงทนไม่ไหวแล้ว
“ทหาร พังประตู!! ไปจับเวินติ่งเทียนและหลินอี้มาให้ข้าซะ!!!!”
ขอรับ!!
เหล่าทหารอค์รักษ์เองก็เพิ่งเคยเจอประชาชนที่ไม่ให้เกียรติกันขนาดนี้เป็ครั้งแรกในใจพวกเขาก็เริ่มรู้สึกโมโหขึ้นมาแล้วเช่นกัน กองทัพขนาดย่อยประมาณหนึ่งร้อยคนที่อยู่ภายใต้การนำของหัวหน้ากองทหารนายหนึ่งก็เริ่มบุกเข้าไปทางประตูใหญ่ของคฤหาสน์บานนั้น
ภารกิจของพวกเขามีแค่การทำลายประตูไม้เนื้อแดงบานนี้ให้พังออกก่อนหลังจากนั้นก็จะเป็หน้าที่ของท่านหัวหน้าองครักษ์นำพวกเขาบุกฝ่าเข้าไป
แต่ในจังหวะที่ทหารกลุ่มนี้กำลังจะพุ่งเข้าไปถึงประตูประตูบานใหญ่ก็ส่งเสียงดังขึ้น จากนั้นบานประตูก็เปิดออก
เงาร่างอันงดงามสายหนึ่งเดินออกมาโดยเอามือไขว้หลังไว้
เวินชิงชิง
คุณหนูตระกูลเวินผู้นี้หลังจากผ่านไปครึ่งปีก็ดูจะเติบโตขึ้นมาไม่น้อย ขนาดกำลังเผชิญหน้ากับเหล่าทหารอันน่ากลัวเหล่านี้นางก็ยังมีรอยยิ้มประดับไว้อยู่บนใบหน้า ตรงไหล่ของนางนั้นก็มีนกน้อยขนสีแดงที่มีขาข้างเดียวตัวหนึ่งยืนอยู่ซึ่งเป็ตัวตนที่ผู้คนต่างก็รู้สึกหวาดกลัวมันอยู่ไม่น้อย
เหล่าทหารนับร้อยคนเมื่อเห็นเรือนร่างอันบอบบางของเวินชิงชิงแล้วก็นิ่งอึ้งไปชั่วขณะ ไม่รู้ว่าควรจะทำอย่างไรต่อไปดี
ส่วนเวินชิงชิงก็มองไปทางเหล่าทหารที่ดูดุร้ายพวกนี้จากนั้นก็พูดออกมาพร้อมรอยยิ้มว่า
“ผู้าุโหลินของเราบอกว่าประตูของคฤหาสน์เราบานนี้มีอายุมากกว่าร้อยปี ถ้าทำพังแล้วคงไม่คุ้มเท่าไรเขารอพวกท่านอยู่ข้างในแล้ว ใครที่คิดจะจับตัวเขาก็เชิญเข้าไปหาได้เลย!!”
พูดจบ เรือนร่างสวยงามดุจบุปผาร่างนี้ก็หันหลังให้แล้วดีดตัวกลับเข้าไปด้านในทันที
ก่อนที่นางจะจากไป เ้านกน้อยบนไหล่ของนางยังเอี้ยวหัวกลับมาถลึงตาใส่พวกหวังิชงทีหนึ่งพร้อมกับกล่าวว่า
“พวกเ้าน่ะก่อนจะเข้ามาก็อย่าลืมล้างตัวให้สะอาดด้วยเล่า!! วันนี้ข้าท้องเสียนิดหน่อยไม่อยากกินเนืุ้์สกปรกๆ หรอกนะ...อุแหวะ อ้วกก!!”
ปากนั่นช่างโอหัง
รอยยิ้มนั่นช่างดูแพศยา!!