ประตูของคฤหาสน์ก็เปิดกว้างทิ้งเอาไว้แบบนี้ ดูคล้ายกับหน้าคนที่กำลังยิ้มกว้างด้วยท่าทางเยาะเย้ยใส่เหล่าทหารองครักษ์แห่งราชวงศ์ที่กำลังยืนหงุดหงิดอยู่ด้านนอก
แต่ก็ยังไม่มีใครกล้าเดินเข้าไปเลยแม้แต่คนเดียว
ชื่อเสียงเื่ความอำมหิตของหลินหยางนั้นดังกระฉ่อนไปไกลแม้แต่ในราชสำนักเองยังรับรู้ถึงความโเี้ของเขาแล้ว พวกเขาต่างก็รู้ว่าการส่งคนธรรมดาเข้าไปก็ไม่ต่างอะไรกับการส่งหมูให้โรงเชือด
“ตามข้ามา!!”
เหวินไท่เป่ยที่เมื่อครู่ถูกเ้าหั่วเอ๋อร์กล่าววาจายั่วยุใส่นั้นก็อารมณ์ขึ้นทันทีเขาจึงสะบัดมือสั่งการ อาสานำคนเข้าไปในคฤหาสน์เป็คนแรก
แต่มีเสียงๆ หนึ่งดังขึ้นมาหยุดเขาไว้ “หยุด...”
เหวินไท่เป่ยหยุดชะงักดังกึกทันที
แค่คำๆ เดียวก็สามารถหยุดคนทั้งหมดเอาไว้ได้ราวกับมีเวทมนตร์ก็ไม่ปาน
เป็เสียงของต้วนเทียนหยานั่นเอง
ใครก็ตามที่รู้เื่ภายในของราชสำนักต่างก็รู้กันดีว่าต้วนเทียนหยาที่เป็บุคคลในตำนานผู้นั้นมีจุดเด่นอยู่อย่างหนึ่งนั่นก็คือเขาเป็คนที่พูดน้อยมากๆ
ถ้าสิ่งที่เขา้าจะสื่อออกมาสามารถอธิบายได้ด้วยคำๆ เดียว เขาจะไม่พูดมากกว่านั้นเลยแม้แต่ครึ่งคำอีกทั้งยังมีน้ำเสียงที่แหบแห้งแปลกประหลาดราวกับเสียงเหล็กขูดกันแต่ถึงจะแปลกประหลาดเพียงใดก็ไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งเขา
คำพูดเพียงหนึ่งคำของต้วนเทียนหยาก็สามารถหยุดเหวินไท่เป่ยได้แล้วหวังิชงรีบวิ่งไปที่เกี้ยวของต้วนเทียนหยาแล้วถามเขาว่า
“ท่านหัวหน้าต้วน ท่านหมายความว่าอย่างไรหรือ?”
“ด้วยกัน...” เสียงแหบแห้งของต้วนเทียนหยาดังขึ้นอีกครั้ง
ปรมาจารย์ดาบผมขาว เซี่ยชางไห่ก็กล่าวเสริมขึ้นมาด้วยว่า “อาจารย์ต้วนพูดถูกแล้วคฤหาสน์นี่ดูแปลกประหลาดสุดแสน เกรงว่าพวกมันอาจจะเตรียมกลไกกับดักเอาไว้ข้างในแล้วหากเข้าไปเดี่ยวๆ อาจจะตกหลุมมันได้...”
แม้คนระดับเซี่ยชางไห่ยังต้องเรียกขานต้วนเทียนหยาว่า “อาจารย์”
หวังิชงยิ้มขึ้นพร้อมกับพยักหน้าตอบว่า “ท่านหัวหน้าทั้งสองพูดได้ถูกต้องที่สุด หึวันนี้พวกเรามีพวกท่านอยู่ด้วยแบบนี้ ไม่ว่าพวกตระกูลเวินจะวางแผนอะไรไว้ล้วนเป็เื่ไร้สาระทั้งสิ้น!! ทหาร จัดกลุ่มทหารเอาไว้สองพันคนจากนั้นก็ตามข้าและท่านหัวหน้าทั้งสี่เข้าไปข้างในเพื่อจับตัวเวินติ่งเทียนซะ!!”
ขอรับ!!
จิตสังหาระเิออกมาอีกครั้ง
ต้วนเทียนหยาสามารถช่วยให้กองทัพหลีกเลี่ยงความเสี่ยงไปได้อย่างใจเย็นกองทัพกว่าสองพันคนพลันบุกทะลวงข้ามประตูเข้าไปในคฤหาสน์ทันที
ข้างในนั้นเงียบเชียบราวกับบ้านผีสิง
คนของตระกูลเวินทั้งหมดล้วนหายสาบสูญไปไม่เห็นแม้แต่เงาเห็นเพียงแต่ป้ายบานหนึ่งแขวนเอาไว้ โดยมีตัวอักษรเขียนไว้บนนั้นว่า
รอพวกท่านที่สนามประลองเดินตรงมาแล้วเลี้ยวซ้ายจากนั้นเดินตรงไป
นี่มันบ้าอะไรกัน?
เข้าร่วมงานเทศกาลหรือย่างไร มีเขียนป้ายบอกทางด้วย?
ไอ้การกระทำที่เหมือนการละเล่นแบบนี้ทำให้พวกหวังิชงและเหวินไท่เป่ยถึงกับกัดฟันแน่น
ไม่เคยมีใครบังอาจกล้าหยามเกียรติเชื้อพระวงศ์มากขนาดนี้มาก่อนเลย
พวกเ้าขุดหลุมฝังตัวเองเสียแล้วไอ้พวกตระกูลเวิน!!!!
แต่ละย่างก้าวของคนกว่าสองพันคนเริ่มลงหนักมากขึ้นลมหายใจที่พ่นออกมาอย่างรุนแรงราวกับจะสามารถะเิความพิโรธออกมาได้แล้ว
พวกเขาเดินตามทางที่เขียนเอาไว้ในป้าย ในที่สุดก็เข้ามาถึงลานประลองภายในคฤหาสน์อันใหญ่โตของตระกูลเวินแล้ว
ภายในลานประลองนั้นมีเก้าอี้ถูกวางเรียงไว้อยู่หนึ่งแถวโดยที่มีเวินติ่งเทียนนั่งอยู่ตรงกลาง ด้านข้างเขาคือเหล่าผู้าุโของตระกูลเวินที่กำลังนั่งดื่มชาพูดคุยกับเวินติ่งเทียนอยู่โดยไม่ทุกข์ร้อนอะไร
เหล่าลูกศิษย์ของตระกูลเวินทั้งยี่สิบคนกำลังยืนอยู่ด้านหลังของพวกเวินติ่งเทียนหนึ่งในนั้นมีเวินชิงชิงและเ้านกขนแดงที่เพิ่งออกไปยั่วยุพวกทหารมาเมื่อครู่ยืนรวมอยู่ด้วย
“โอ๋? ท่านประมุขชาของวันนี้รสชาติใช้ได้เลย ปกติท่านแอบซ่อนเอาไว้เพราะเสียดาย ไม่ยอมเอาออกมาดื่มสินะ?”อี้สิงอวิ๋นกำลังชมเชยชาในมือ ทำเหมือนไม่เห็นว่ามีคนเข้ามาเลยด้วยซ้ำ
เวินติ่งเทียนหัวเราะฮ่าฮ่าตอบกลับไปว่า “ฮ่าฮ่า!! ต้องขออภัยท่านอาจารย์อี้ด้วยชา ‘หนิงปี้หาน’ นี่เหลือไม่เยอะแล้วแต่วันนี้เป็วันดี ข้าเลยนำมันมาแบ่งปันให้หลินอี้และพรรคพวกทุกท่านได้ดื่มกัน!!”
หลินหยางกำลังนั่งอยู่ทางฝั่งขวาของเวินติ่งเทียนกำลังเป่าใบชาในแก้วเบาๆ ดูผ่อนคลายมากเหลือเกิน
พอเห็นท่าทางของพวกตระกูลเวินแล้ว หวังิชงก็เหลืออดทันที
วันนี้เป็วันดีอย่างนั้นรึ?
เ้าบ้าไปแล้วสินะเวินติ่งเทียน!!!!
แต่ในขณะที่เขากำลังหัวร้อนอยู่นั้นก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบางอย่างเช่นกัน
เ้าพวกนี้มันสบายใจกันเกินไปแล้วเหมือนมันไม่ได้เห็นเื่อันตรายตรงหน้าอยู่ในสายตาเลยสักนิด
แต่ไม่ว่ามันจะเตรียมอาวุธลับอะไรไว้ก็ตามแต่ในใต้หล้านี้จะมีของอะไรที่สามารถใช้ต่อต้านสี่หัวหน้าองครักษ์สุดแข็งแกร่งได้อยู่ด้วยหรือ?
ไม่มีหรอกโดยเฉพาะกับบุคคลระดับตำนานสุดทรงพลังอย่างต้วนเทียนหยา!!
พอหวังิชงคิดได้อย่างนั้นก็มองไปทางเวินติ่งเทียนด้วยสายตาดุดัน พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเ็าว่า “เวินติ่งเทียน ไม่ว่าเ้าจะใช้ลูกไม้อะไรก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของเ้าได้หรอกยอมแพ้แต่โดยดีซะ อย่างน้อยก็ยังพอปกป้องคฤหาสน์ตระกูลเวินอันใหญ่โตนี่ของเ้าไว้ได้!!”
ตรงข้ามนั้น
เวินติ่งเทียนไม่ได้ตอบอะไรกลับไป
ส่วนหลินหยางนั้นก็วางถ้วยชาในมือลงแล้วหันไปมองกองทัพทหารองครักษ์ที่ยืนเรียงแถวเป็ระเบียบอยู่ตรงหน้าั์ตาสองข้างเขาพลันเปล่งประกายแสงสีแดงออกมา วิชาเนตรเพลิงสุพรรณทำงานแล้ว
มียอดฝีมือระดับเซียนเทียนขั้นท้ายมาด้วยถึงสามคนรวมเ้าซูิชุนคนเมื่อวันก่อนนั่นด้วยดูแล้วคงจะพาพวกหัวหน้าองครักษ์มาหมดทั้งสามคนเลยสินะ
ส่วนคนที่อยู่ในเกี้ยวสีดำนั่น...
หืม?
หลินหยางขมวดคิ้ว
แม้แต่ยอดฝีมือระดับอวิ้นหลิงมันก็พามาด้วยรึ?
เนตรเพลิงสุพรรณของหลินหยางสามารถมองเห็นระดับความสามารถของศัตรูได้
หลินหยางที่กำลังมองเข้าไปในเกี้ยวที่เต็มไปด้วยแสงสว่างของพลังฟ้าดินในใจก็เกิดความรู้สึกประหลาดขึ้น แต่ไม่นานความรู้สึกนั่นก็สลายหายไปทันที
พวกราชสำนักของอาณาจักรชูอวิ๋นถึงกับส่งยอดฝีมือระดับอวิ้นหลิงออกมา
แต่หลินหยางพอจะเดาได้แต่แรกแล้วว่าต้องเป็แบบนี้เลยไม่มีความหวั่นไหวเกิดขึ้นแม้แต่เสี้ยวเดียว
หลังจากงานเทศกาลขุมทรัพย์สมบัติิญญาเป็ต้นมาหลินหยางและเวินติ่งเทียนก็เตรียมความพร้อมไว้แล้วว่าจะต้องมีศึกกับพวกผู้ดูแลภายในอย่างแน่นอน
การต่อสู้ครั้งนี้พวกมันจะต้องได้รับการสนับสนุนและการจับตามองจากราชสำนักด้วยแน่นอนอยู่แล้วซึ่งหลินหยางก็คิดจะใช้การประลองครั้งนี้ในการประกาศให้ทั้งอาณาจักรชูอวิ๋นรับรู้ว่า...ไม่ได้เป็แค่ลูกไก่ในกำมือของผู้อื่นอีกต่อไป
เขาจะใช้ชุดเกราะิญญาเหล็กทมิฬอันทรงพลังชุดนี้มาทำให้ตระกูลเวินกลายเป็ตระกูลที่แม้แต่ราชสำนักของอาณาจักรชูอวิ๋นยังต้องเกรงใจ!!
หลินหยางจะใช้ทักษะการช่างที่ใช้ในการสร้างชุดเกราะสีดำทมิฬชุดนี้ดีดตัวเองขึ้นไปจนกลายเป็บุคคลที่สำคัญที่สุดของอาณาจักรแห่งนี้
เมื่อถึงเวลานั้น จะเป็เวลาที่เขาไปยืนอยู่ต่อหน้าของเฉินเฉาเกอแล้วฉีกกระชากหน้ากากจอมปลอมนั่นออกมา
ดังนั้น ศึกในวันนี้มีความสำคัญเป็อย่างมากสำหรับทั้งตัวเขาเองและตระกูลเวินเขาต้องทำออกมาให้ดีที่สุดเท่านั้น!!!!
ในเมื่อมาเพื่อววิวาทกันแล้ว อีกทั้งศัตรูยังเป็ไอ้โจรชั่วน่ารังเกียจอย่างหวังิชงอีกหลินหยางจึงไม่จำเป็ต้องเกรงใจอะไรมันอีก
ตรงข้ามกันนั้น หวังิชงเองก็หมดความอดทนแล้วเช่นกัน
“เวินติ่งเทียน หลินอี้ เ้าบังอาจแสดงท่าทีเยี่ยงนั้นกับคนอย่างข้าอย่างนั้นรึต้องโทษเพิ่มอีกหนึ่งขั้น!! ทหาร ไปจับตัวสองคนนั่นมาซะส่วนคนที่เหลือ มันผู้ใดบังอาจขัดขวางก็ให้จับมันมาด้วยเลย!!!!”
ขอรับ!!
เหล่าองครักษ์ะโขานรับอย่างดุดัน จากนั้นก็กระจายตัวออกทันที
ตอนนั้นเอง หลินหยางก็สะบัดมือไปหนึ่งทีจากนั้นก็มีเงาร่างสายหนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มคนทั้งยี่สิบคนด้านหลังพวกเขา
เวินเทา
คุณชายลำดับที่สองแห่งตระกูลเวินกำลังยืนประจันหน้ากับเหล่าทหารองครักษ์
อะไรกันนี่
ทั่วทั้งสนามพลันเงียบลงไปชั่วขณะ
จากนั้นเหล่าองครักษ์ก็พิโรธขึ้นมาทันที
จะเอาแบบนี้จริงหรือ?
แค่ไอ้เด็กน้อยระดับชุ่ยถี่นี่คนเดียวก็คิดจะสกัดพวกเราเหล่าทหารองครักษ์กว่าสองพันคนกับยอดฝีมือระดับหัวหน้าอีกสี่คนอย่างนั้นหรือ?
ตกลงแล้วเป็ที่เขาสมองเพี้ยนไปแล้ว หรือไอ้หนุ่มนี่ไม่เจียมตัวรนหาที่ตายกัน?
ถึงเวินเทามันจะเก่งแต่สุดท้ายก็ยังเป็แค่ระดับชุ่ยถี่ขั้นท้าย อย่างอื่นยังไม่ต้องพูดถึงแค่ในกองทัพทหารองครักษ์นี่ก็มีทหารระดับหัวหน้ากองอยู่ถึงห้าสิบคนที่เป็ยอดฝีมือระดับเซียนเทียนขั้นต้นแล้วเวินเทาสำหรับพวกเขาก็ไม่ต่างอะไรกับของเล่นชิ้นหนึ่ง แล้วไอ้หนูนี่มันเอาอะไรมามั่นใจจนกล้าออกมายืนขวางไว้แบบนี้!!
แต่ในเมื่อเวินเทามันออกมายืนขวางแบบนี้แล้วแถมยังกระดิกนิ้วท้าทายใส่หวังิชงอีกแบบนี้
เวลาแค่ไม่ถึงวัน เวินเทาก็เลียนแบบทักษะด้านการกวนประสาทของหลินหยางนั่นมาได้ถึงแปดส่วนคราวนี้ไม่ได้มีแค่หวังิชงเท่านั้นที่โมโห แม้แต่เหล่าองครักษ์เองก็เดือดขึ้นมาด้วยแล้วเช่นกัน
“จับตัวมันซะ!!”
คนที่ทนมองท่าทางอันโอหังของเวินเทาไม่ไหวจนต้องส่งเสียงออกคำสั่งขึ้นมาคือหัวหน้ากองทหารคนหนึ่งที่ชื่อจ้าวชิงซึ่งเป็ยอดฝีมือระดับเซียนเทียนขั้นต้น
พอกล่าวจบ จ้าวชิงก็พาทหารหนึ่งกองย่อยประมาณยี่สิบแปดคนพุ่งเข้าใส่เวินเทา
เงาร่างที่สวมชุดเกราะสีทองเอาไว้นั้นรวดเร็วดุจเสือดาวทองคำยี่สิบแปดตัวโดยเฉพาะจ้าวชิงนั้นมีประกายแสงสีขาวของพลังฟ้าดินปล่อยออกมาทั่วร่างจนดูองอาจห้าวหาญเป็อย่างมาก
จ้าวชิงตวัดทวนยาวในมือขนาดยาวเกือบเมตรไปข้างหน้าโดยหวังจะซัดเ้าหนูที่ไม่รู้จักเจียมตัวคนนี้ให้กระเด็นไปไกลๆ
แต่ในเสี้ยวพริบตาที่ศัตรูกำลังพุ่งเข้ามาอย่างเกรี้ยวกราดนั่นเองเวินเทาก็เริ่มขยับตัว
ประกายแสงสีดำสายหนึ่งพลันเข้าปกคลุมทั่วทั้งตัวของเขาอย่างรวดเร็วรอบตัวพลันมีบรรยากาศอันแสนกดดันเกิดขึ้นราวกับอสูรร้ายจากขุมนรกอันมืดมิดทำเอาคนของฝั่งหวังิชงต่างก็เบิกตาโต
เป็ไปได้อย่างไร!!!!
แรงกดดันแบบนี้ ดูอย่างไรก็เป็ของระดับ...
เหล่าทหารใจนตอบสนองไม่ทัน เวินเทาในชุดเกราะสีดำนั้นพุ่งเข้าไปอยู่ในกลางวงของพวกเขาแล้ว
ตูมม
หนึ่งหมัดถูกชกออก
ทั่วทั้งสนามก็มีเสียงะเิดังสนั่น
จ้าวชิง ยอดฝีมือระดับเซียนเทียนผู้นั้นรู้สึกแค่ว่าหมัดของชุดเกราะสีดำชุดนั้นพลันเข้าประชิดตัวเขาด้วยความเร็วที่ยากจะเชื่อได้ว่าเป็ความจริงเขาใช้ทวนยาวเข้าสกัดแต่ก็รู้สึกเหมือนกับว่ามีอสูรนับร้อยตัวกระแทกเข้าใส่ทวนของเขาอย่างหนักหน่วงจนน่าหวาดกลัว
กระเด็นไปแล้ว
จ้าวชิงเป็ฝ่ายที่กระเด็นออกไปอย่างไม่ต้องสงสัย
จอมยุทธ์ระดับชุ่ยถี่คนหนึ่งแค่สวมใส่ชุดเกราะสีดำทมิฬนั่นเข้าไป ก็แข็งแกร่งขึ้นจนถึงขนาดสามารถซัดยอดฝีมือระดับเซียนเทียนขั้นต้นจนปลิวกระเด็นไปได้
พละกำลังที่แต่เดิมมีอยู่แค่สองพันชั่งนั้น อยู่ๆ ก็พุ่งขึ้นมาจนถึงหกพันชั่งเป็อย่างต่ำได้!!!!
ชุดเกราะออกศึกชิ้นนี้มันคืออะไรกันแน่!!!!
หมัดแรกที่เวินเทาปล่อยออกมาก็สามารถทำให้อีกฝ่ายเกิดความหวั่นไหวขึ้นได้แล้ว
แต่สิ่งที่เวินเทาจะทำให้ศัตรูในั้นยังไม่หมดเพียงเท่านี้
หลังจากที่ชกจ้าวชิงจนปลิวได้ในหมัดเดียวแล้วเขาก็เปิดฉากรบเต็มอัตรา
เขาแค่ตัวคนเดียวที่อยู่ในวงล้อมของทหารมือดีระดับชุ่ยถี่ขั้นท้ายกว่ายี่สิบคนนั้นไม่ต่างอะไรกับพยัคฆ์อันแสนดุร้ายในฝูงแกะไล่ขยี้ศัตรูที่แต่เดิมมีความสามารถเท่ากันกับตัวเองอย่างไร้เมตตา
ความเร็วของเขานั้นสูงมาก สำหรับทหารองครักษ์ธรรมดานั้นแค่จะแตะให้โดนชุดเกราะของเขายังทำไม่ได้เลย เวลาผ่านไปเพียงแค่ครู่เดียวเหล่าทหารก็มีสภาพไม่ต่างอะไรกับเศษผักนอนเกลื่อนกลาดอยู่เต็มพื้น
ซึ่งเวลาที่ใช้ไปทั้งหมดั้แ่เริ่มต่อสู้นั้นสั้นมากไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ
่ห้านาทีที่ผ่านมานั้น ฝั่งของหวังิชงไม่มีใครพูดอะไรออกมาเลยในสมองของพวกเขาสับสนมึนงงกันไปหมด
ทั้งพละกำลังและความเร็วของเวินเทานั้นอยู่ในระดับเซียนเทียนขั้นกลางแล้วความสามารถของมันในตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับยอดฝีมือระดับเซียนเทียนทั่วๆ ไปเลยสักนิดเดียวนั่นหมายความว่าอะไรอย่างนั้นหรือ?
มันหมายความว่าชุดเกราะสีดำทมิฬชุดนั้นมีความสามารถที่ทำให้จอมยุทธ์ระดับชุ่ยถี่ขั้นท้ายแข็งแกร่งขึ้นเท่ากับยอดฝีมือระดับเซียนเทียนขั้นกลางได้ในเสี้ยวพริบตา
แบบนี้มันขี้โกงเกินไปแล้วโว้ย!!