“ขอรับเสด็จพ่อ”
องค์ชายสองหลินเวยเป็คนแรกที่ตอบรับขึ้นมาก่อน “ลูกคิดว่าการที่หลินอี้และตระกูลเวินทำเื่โเี้แบบนั้นลงไปมันเป็เื่ที่ผิดมหันต์แน่นอนอยู่แล้ว แต่ลูกคิดว่าเราไม่ควรที่จะฟังความข้างเดียวถึงท่านหวังจะเป็ขุนนางผู้ซื่อสัตย์และภักดีก็ตาม แต่ลูกก็ยังคิดว่าควรตรวจสอบที่มาที่ไปของเื่ราวครั้งนี้ให้ชัดเจนก่อนค่อยทำการตัดสินใจจะดีกว่า”
พอหลินเวยกล่าวจบก็มีขุนนางชั้นผู้ใหญ่แถวหนึ่งออกมาพูดเสริมว่า “องค์ชายสองพูดถูกต้องแล้ว ข้าน้อยเห็นด้วย!!”
พอคำว่าเห็นด้วยจบลง หลินเฮ่ายวนก็หันไปมองทางองค์ชายเก้าหลินหยาง
“หยางเอ๋อร์ เ้าคิดเห็นอย่างไรบ้าง?”
จากนั้นทุกคนก็หันขวับมามองทางคนดังอย่างองค์ชายลำดับที่เก้าผู้นี้
หลินหยางเริ่มจากการทำท่าเคารพก่อนหนึ่งครั้ง จากนั้นก็ตอบกลับด้วยท่าทางสุขุมใจเย็นว่า“ลูกคิดว่า พี่สองพูดถูกต้องแล้ว”
หวังิชงที่ยืนอยู่ข้างๆ เมื่อได้ยินประโยคนี้เข้าก็อึ้งไปทันที
ทำไมองค์ชายเก้าพูดแบบนั้นเล่าท่านไม่ได้อยู่ฝั่งเดียวกันกับข้าหรือ?
แต่หลินหยางยังพูดต่ออีกว่า “ถ้าเรายังไม่ได้ตรวจสอบที่มาที่ไปของเหตุการณ์นี้ทั้งหมดอย่างถี่ถ้วนก่อนละก็เรามิควรรีบด่วนตัดสินใจไปก่อน แต่ลูกมีข้อเสนอแนะนิดหน่อย”
“หืม?” หลินเฮ่ายวนขมวดคิ้วสงสัย“ลองพูดมาสิ”
หลินหยางจึงกล่าวต่อว่า “เมื่อครู่นี้ลูกได้ยินท่านหวังพูดว่า หลินอี้ ผู้าุโตระกูลเวินเมื่อวันก่อนได้ทำการฆ่าคนอย่างโเี้ต่อหน้าประชาชนชาวเมืองอวิ๋นเฉิงอีกทั้งมันยังไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงไปต่อสู้กับหัวหน้าซูิชุนเพิกเฉยต่ออำนาจของราชวงศ์อีก ตรงจุดนี้แหละที่ลูกมีข้อเสนอแนะแบบเด็กๆ อยากจะลองเสนอให้ฟัง”
หลินหยางเริ่มด้วยการพูดตามน้ำอีกฝ่ายไปก่อนจากนั้นค่อยเสนอความคิดเห็นของตัวเองลงไปทำให้ผู้คนที่ฟังอยู่รู้สึกคล้อยตามไปโดยไม่รู้ตัวรู้สึกว่าคำพูดขององค์ชายท่านนี้มีเหตุมีผลเป็อย่างมาก
จากนั้นหลินหยางก็เริ่มแสดงความคิดเห็นของตนออกมาดังนี้ “ลูกคิดว่า อย่างไรเราก็ต้องสืบหาความจริงของเหตุการณ์ในงานเทศกาลขุมทรัพย์สมบัติิญญาออกมาให้ได้แต่พฤติกรรมท้าทายอำนาจเชื้อพระวงศ์อย่างโจ่งแจ้งของหลินอี้และพวกตระกูลเวินแบบนั้นก็เป็เื่ที่ไม่สามารถให้อภัยได้เช่นกันดังนั้นลูกแนะนำว่าเราควรเชิญผู้าุโหลินอี้และประมุขของตระกูลเวินมาที่กรมกิจการภายในเพื่อให้ความร่วมมือในการสืบสวนกับท่านหวังถ้าหากเื่ที่เกิดขึ้นมีเหตุผลอันสมควรประกอบ เราก็แค่ตักเตือนพวกเขาแล้วค่อยส่งพวกเขาสองคนกลับไปก็พอแต่ถ้าตระกูลเวินมีเจตนาก่อความวุ่นวาย ฆ่าคนอย่างโเี้โดยไร้เหตุผลละก็เราค่อยตัดสินโทษขั้นเด็ดขาดกับทั้งสองคนตามกฎหมายของอาณาจักรเราเพื่อไม่ให้ผู้อื่นเอาเป็เยี่ยงอย่าง!!”
“องค์ชายเก้าพูดถูกต้องข้าน้อยก็คิดอย่างนั้นเช่นกันขอรับ!!”
หวังิชงที่อยู่ข้างๆ รีบตอบรับขึ้นมาทันทีคำพูดของหลินหยางนั้นไม่มีจุดไหนที่ดูน่าสงสัยเลยสักนิด แต่สำหรับหวังิชงแล้วขอแค่สามารถพาเวินติ่งเทียนและหลินอี้มาได้ละก็เขามีเป็พันหมื่นวิธีที่จะใช้ป้ายความผิดให้พวกมันเพื่อทำให้ตระกูลของมันต้องล่มสลายหายไปจากเมืองนี้ ตลอดกาล!!!!
“ข้าน้อยเห็นด้วย อำนาจแห่งราชวงศ์ห้ามผู้ใดฝ่าฝืนท้าทาย!!”
“ข้าน้อยเห็นด้วย เราควรรีบจับกุมหลินอี้และประมุขตระกูลเวินมาสอบสวนให้เร็วที่สุด!!”
“ข้าเห็นด้วย!!”
“ข้าเห็นด้วย!!”
พริบตานั้นเองเหล่าขุนนางในท้องพระโรงจำนวนมากต่างก็พากันสนับสนุนความคิดเห็นของหลินหยางกันซึ่งดูแล้วน่าจะมีจำนวนมากกว่าคนที่สนับสนุนหลินเวยอยู่ไม่น้อยทำให้สีหน้าขององค์ชายสองดูหม่นลงไปเล็กน้อย
เมื่อหลินเฮ่ายวนเห็นท่าทีของคนส่วนใหญ่แล้วก็ผงกหัวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ได้ถ้าอย่างนั้นก็ทำตามวิธีของขุนนางหวัง ไปพาตัวหลินอี้และเวินติ่งเทียนมาสอบสวนเดี๋ยวนี้!!”
“น้อมรับคำสั่งองค์จักรพรรดิ!!!!”
เหล่าขุนนางทุกคนในท้องพระโรงรับคำสั่งของจักรพรรดิอย่างแข็งขันพร้อมทำทุกอย่างเพื่อบรรลุภารกิจที่ได้รับมอบหมาย
และในตอนนั้นเอง ก็ได้ยินเสียงของหวังิชงที่กำลังเอ่ยปากขอร้องต่อองค์จักรพรรดิดังขึ้นมาอีกครั้ง“กราบเรียนองค์จักรพรรดิหลินอี้แห่งตระกูลเวินนั่น พลังรบร้ายกาจจนน่าใจหายอีกทั้งมันยังมีสัตว์เลี้ยงวิเศษอันแข็งแกร่งตัวหนึ่งในด้วยข้าน้อยเกรงว่าหลินอี้นั่นมันจะขัดขืน ลำพังแค่หัวหน้าฝ่ายผู้ดูแลเพียงสองท่านคงไม่อาจสำเร็จภารกิจได้โดยง่ายเลยอยากจะ...”
ที่หวังิชงพูดมาเยอะขนาดนี้ ก็เพื่อที่จะขอยืมตัวคนๆ หนึ่งจากหลินเฮ่ายวน
“หืม? เ้าหลินอี้นั่นมันกล้าขัดขืนรึ?”
“องค์จักรพรรดิคงจะยังไม่ทราบ หลินอี้ผู้นี้มีลักษณะนิสัยโหดร้ายป่าเถื่อน ในชีวิตของข้าน้อยไม่เคยเห็นผู้ใดโเี้เท่านี้มาก่อน”
แววตาของหลินเฮ่ายวนดูลึกล้ำมีสติปัญญาที่สามารถมองทะลุทุกสิ่งเขาเหมือนจะรู้จุดประสงค์ของหวังิชงออกนานแล้ว จึงพยักหน้ากล่าวว่า
“ได้ ส่งคำสั่งของข้าไป ให้หัวหน้าองครักษ์ต้วนเทียนหยา ‘ตัดขอบฟ้า’ไปสนับสนุนหวังิชง พาตัวเวินติ่งเทียนและหลินอี้มาสอบสวนให้ได้หากมันบังอาจขัดขืน...จับตายทันที!!!!”
“ขอบพระทัยในความกรุณาของท่าน!!!!”
เกี่ยวกับหัวหน้าองครักษ์ของเชื้อพระวงศ์ทั้งสี่แห่งอาณาจักรชูอวิ๋นนั้นมีคำอธิบายพวกเขาไว้ดังนี้
หมัดดุจภูผา
ทวนดุจั
หักดาบเป็ตาย
ิญญาตัดขอบฟ้า
ทวนดุจัหมายถึงผู้ใช้ทวนยาวดุจัซูิชุนนั่นเองส่วนหมัดดุจภูผาก็หมายถึงหัวหน้าองครักษ์ผู้มีฉายาว่า “หมัดเทพไร้พ่าย”เหวินไท่เป่ย และหักดาบเป็ตายนั้นหมายถึงผู้ที่มีฉายาว่า “ปรมาจารย์ดาบแห่งเมืองอวิ๋นเฉิง”เซี่ยชางไห่
ส่วนคนสุดท้ายนั้นมักจะไม่ถูกคนส่วนใหญ่นับรวมกับอีกสามคนข้างบน สาเหตุเป็เพราะว่า ิญญาตัดขอบฟ้าท่านนี้มีฝีมือแข็งแกร่งเกินกว่าอีกสามท่านมากเกินไปเป็ยอดฝีมือระดับอวิ้นหลิงที่แท้จริง
ในวิถีแห่งวรยุทธ์นั้นขอบเขตความสามารถระดับเซียนเทียนก็มีความแข็งแกร่งในระดับที่เหนือกว่ามนุษย์ธรรมดาทั่วไปแล้วแต่ระดับอวิ้นหลิงนั้นเรียกได้ว่าเหนือกว่าเซียนเทียนขึ้นไปอีกหนึ่งขั้น
ยอดฝีมือระดับอวิ้นหลิงภายในจุดชี่ไห่จะมีสิ่งที่เรียกว่าหลิงไทเกิดขึ้นทำให้สามารถััได้ถึงสายธารใหญ่แห่งพลังฟ้าดินได้และสามารถนำพลังฟ้าดินออกมาใช้นอกร่างกายได้อย่างเต็มที่สามารถะเิพลังอันน่ากลัวออกมาได้มากถึงหลักหมื่นชั่ง และถ้ามีเคล็ดวิชาศักดิ์สิทธิ์สุดมหัศจรรย์มาใช้เสริมด้วยแล้วละก็พลังอำนาจของมันสามารถแหวกสมุทรทลายูเาได้เลย
ถ้าเปรียบเทียบยอดฝีมือระดับเซียนเทียนเป็ดั่งเป้าหมายสูงสุดที่เหล่าคนธรรมดาทั่วไปใฝ่ฝันอยากจะไปถึงแล้วอย่างนั้นระดับอวิ้นหลิงก็เป็ดั่งสิ่งเลื่อนลอยที่คนธรรมดาทั่วไปไม่อาจแม้แต่จะฝันถึงแล้ว
ในอาณาจักรชูอวิ๋นแห่งนี้มียอดฝีมือระดับอวิ้นหลิงอยู่ทั้งหมดสามคนเท่านั้น แม่ทัพผู้พิทักษ์อาณาจักรท่านหลี่จิ้ง ผู้ที่ถูกเรียกว่าเป็ยอดฝีมืออันดับหนึ่งของอาณาจักรชูอวิ๋นเป็ผู้ที่คอยพิทักษ์อาณาเขตส่วนนอกของอาณาจักรกว่าหนึ่งล้านไร่ ส่วนต้วนเทียนหยานั้นเปรียบเสมือนคมดาบของเชื้อพระวงศ์ตราบใดที่มีเขาอยู่ ก็จะไม่มีใครหน้าไหนกล้าต่อต้านอำนาจของราชสำนักแม้แต่คนเดียว
ตอนนี้หลินเฮ่ายวนก็ได้ออกคำสั่งด้วยตัวเองให้ยอดฝีมือสุดแข็งแกร่งที่แอบซ่อนอยู่ในราชสำนักผู้นั้นออกโรงแล้วนั่นหมายความว่าเขาเริ่มมีน้ำโหขึ้นมาจริงๆ และเขาจะแสดงให้ตระกูลเวินเห็นว่าผลลัพธ์ของผู้ที่บังอาจมาท้าทายอำนาจของราชวงศ์นั้นจะต้องโดนอะไรบ้าง
ั้แ่ที่ได้ยินว่าต้วนเทียนหยาจะเป็คนลงมือเองนั้นเหล่าขุนนางทั้งท้องพระโรงก็สรุปกันทันทีว่า ไม่ว่าจะเป็หลินอี้หรือเวินติ่งเทียนก็ไม่สามารถหนีพ้นจากการจับกุมของฝ่ายผู้ดูแลภายในไปได้อย่างแน่นอน!!!!
..................................
ในขณะที่ภายในราชสำนักกำลังวุ่นวายครั้งใหญ่อยู่นั้น ณคฤหาสน์เวินภายในเมืองอวิ๋นเฉิงนั้น ภายในกำแพงสีขาวสูงประมาณสามเมตรกว่าที่ล้อมรอบคฤหาสน์เอาไว้นั้นมีภาพที่คนทั่วไปคงยากที่จะจินตนาการได้ถึงอยู่
บนสนามประลองนั้น มีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งที่ตอนนี้กำลังยืนอึ้งอย่างใจนกลายเป็ท่อนไม้ไปแล้ว
คนกลุ่มนี้มีจำนวนประมาณยี่สิบคนประกอบไปด้วยคุณชายสองแห่งตระกูลเวิน เวินเทา คุณหนูแห่งตระกูลเวิน เวินชิงชิงหัวหน้านักรบตระกูลเวิน เวินยู๋ไห่ และยอดฝีมือตระกูลเวินที่เวินติ่งเทียนเชื่อถือที่สุดอีกสิบเจ็ดคน
เวินติ่งเทียน อาจารย์อี้ทั้งสองคนและผู้าุโทั้งสองคนกำลังยืนมองอยู่จากด้านข้างด้วยรอยยิ้ม ส่วนหลินหยางนั้นยืนอยู่ตรงกลางของคนทั้งหมด
ดวงตากลมโตสวยงามของเวินชิงชิงตอนนี้กำลังเบิกกว้างอยากกับลูกแมวน้อยที่ได้เห็นของเล่นใหม่มีแต่คำว่าไม่น่าเชื่อเขียนอยู่เต็มใบหน้าของนางที่กำลังมองไปทางหลินหยาง
หลินหยางตอนนี้กำลังอยู่ในชุดเกราะสีดำที่สวมทับไปทั่วทั้งร่างกายชุดเกราะชิ้นนี้ดูๆ ไปก็ไม่เห็นว่ามันจะมีอะไรพิเศษเลยสักนิดแต่มีอยู่ส่วนหนึ่งที่พวกเขารู้สึกสนใจเป็พิเศษ...
นั่นก็คือส่วนแขนของมัน เป็ถุงมือระดับอาวุธิญญาสุดแข็งแกร่งแบบเดียวกับที่หลินหยางใช้สังหารสี่ผู้คุมกฎและใช้ปราบซูิชุนลงได้นอกจากนี้ยังมีเกราะส่วนทับทรวงที่มีพลังป้องกันสูงจนน่าในั่นอีก ทั้งสองอย่างนี้ล้วนเป็แค่ส่วนหนึ่งของชุดเกราะนี้เองหรือ??
หรือจะบอกว่า หลินหยางก่อนหน้านี้ยังไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดของตัวเองเลยที่เขาใช้ไปนั้นเป็แค่สองส่วนของชุดเกราะนี้เท่านั้น แต่แค่นี้ก็ทำให้เขามีความสามารถเทียบเท่ากับยอดฝีมือระดับเซียนเทียนขั้นท้ายได้แล้วแล้วถ้าใส่ครบทั้งตัวเล่า?
จะยังมีใครสู้กับเขาได้อีกหรือ?
ลานประลองแห่งนี้ถูกเวินติ่งเทียนปิดกั้นเอาไว้อย่างแ่า มีเพียงแค่เหล่าคนยี่สิบกว่าคนที่อยู่ในลานประลองตอนนี้เท่านั้นถึงจะมีโอกาสได้เห็นชุดเกราะสีดำชุดนี้
พอลองสังเกตดูดีๆ แล้วก็จะเห็นว่าถึงชุดเกราะชุดนี้จะมีสีดำทั้งหมด แต่ว่าส่วนต่างๆ ของชุดเกราะนั้นล้วนใช้วัตถุดิบที่แตกต่างกันเป็ส่วนใหญ่วัตถุดิบที่ใช้สร้างส่วนของถุงมือคือ “ผลึกเพลิงทมิฬ”วัตถุดิบที่ใช้ทำส่วนชุดเกราะก็คือหินแร่ระดับสามที่มีความแข็งแกร่งสุดขีดอย่าง “หินบะซอลต์”วัตถุดิบทุกชิ้นล้วนผ่านการสกัดและทุบด้วยค้อนอย่างประณีตพร้อมกับถูกแกะสลักลวดลายอย่างสวยงามไว้แล้ว
และสิ่งที่ทำให้เหล่านักการช่างในที่แห่งนี้รู้สึกเหลือเชื่อที่สุดก็คือทุกส่วนของชุดเกราะชุดนี้ล้วนมีผลึกิญญาต้นกำเนิดเป็ส่วนประกอบนั่นก็หมายความว่าแต่ละส่วนของชุดเกราะนี้ล้วนเป็ยุทธภัณฑ์ระดับิญญาที่มี “คุณสมบัติิญญา”เฉพาะของตัวเอง
ยกตัวอย่างเช่นถุงมือของหลินหยางที่สามารถะเิพลังหมัดอันรุนแรงออกมาได้ในเสี้ยวพริบตาส่วนทับทรวงก็สามารถสลายพลังโจมตีจำนวนหนึ่งของศัตรูทิ้งได้ทันที
ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้หลินหยางสามารถเอาชนะซูิชุนได้ก็คืออาวุธิญญาทั้งสองชิ้นนี้นั่นเอง แต่สิ่งที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าของผู้คนตอนนี้เป็ชุดเกราะครบทั้งชุดซึ่งเป็การรวมกันระหว่างอาวุธิญญาสิบกว่าชิ้นเข้าด้วยกัน
เหล่าจอมยุทธ์ของตระกูลเวินต่างก็ยืนตาค้างกันหมด
การต่อสู้ครั้งใหญ่เมื่อวานของหลินหยางนั้นเขายังมีไพ่ตายเก็บเอาไว้เยอะขนาดนี้ แถมยังเป็ไพ่ตายที่น่าสะพรึงกลัวขนาดนั้นอีก
ด้านข้างนั้น
เหล่าผู้สูงอายุของตระกูลเวินต่างก็ยิ้มออกมา อี้ชังไห่นั้นก็พูดออกมาพร้อมกับรอยยิ้มเอ็นดูว่า“ดูสีหน้าของเด็กพวกนี้สิสมกับเป็วัยรุ่นจริงๆ!!”
“ฮ่าฮ่า ศิษย์พี่ ไม่รู้ว่าเมื่อคืนนี้ใครกันที่พอเห็น‘ชุดเกราะิญญา’ นี้ครั้งแรกก็รีบร้องให้ข้าไปช่วยหายาแก้โรคหัวใจให้กันนะ...”
อี้สิงอวิ๋นแฉออกมาแบบไม่เกรงใจเหล่าผู้สูงอายุต่างก็ส่งเสียงหัวเราะกันอย่างมีความสุข
ส่วนเวินชิงชิงตอนนี้หายอึ้ง ได้สติกลับมาแล้ว “เกราะิญญา? ชุดเกราะออกศึกนี่เรียกว่าเกราะิญญาหรือ?”
“หึหึ ใช่แล้ว!!!!” หลินหยางที่อยู่ในชุดเกราะนี้ยังไม่ทันได้พูดอะไรออกไปหั่วเอ๋อร์บนไหล่ของมันก็ขยับปีกทำท่าผายมือออกเพื่อเตรียมจะพูดโม้เกี่ยวกับชุดเกราะชุดนี้
“นี่คือยุทธภัณฑ์ิญญาที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ที่ข้าลงแรงลงใจนานกว่าครึ่งปีเพื่อที่จะคิดค้นมันขึ้นมามันชื่อว่า ชื่อว่า... เฮ้ย เ้านี้มันเรียกว่าเกราะิญญาอะไรนะ...”
หลินหยางหันไปเหลือกตาจ้องใส่เ้าสัตว์เลี้ยงศักดิ์สิทธิ์ที่คิดจะอวดฉลาดแต่ก็อวดไม่สำเร็จนี่ไปหนึ่งทีจากนั้นก็หันไปทางพวกของเวินชิงชิงพร้อมกับแย้มยิ้มขึ้นแล้วกล่าวว่า
“พวกเ้าสามารถเรียกมันว่า ‘เกราะิญญาเหล็กทมิฬ’ ได้”
ชุดเกราะิญญาเหล็กทมิฬ ชื่อที่ดูธรรมดามากๆ ชื่อหนึ่ง
แต่ความจริงแล้ว ในความทรงจำของจักรพรรดิฟ้าหลีหั่วนั้นเกราะิญญาเหล็กทมิฬถือเป็อาวุธิญญาที่ธรรมดามากๆ ชิ้นหนึ่งจริงๆ
แต่ถ้าในอาณาจักรชูอวิ๋นแล้วมันกลับไม่ใช่อย่างนั้น
เมื่อวันก่อน ตอนที่หลินหยางเอาของชิ้นนี้ออกมาโชว์ครั้งแรกเหล่าผู้สูงวัยแห่งตระกูลเวินต่างก็ตื่นเต้นจนเกือบจะร้องไห้ไปแล้ว
ในฐานะนักการช่างแล้ว เกิดมาชาติหนึ่งได้มีโอกาสเห็นการรวมตัวกันของอาวุธิญญาแบบนี้นับว่าสามารถนอนตายตาหลับได้แล้ว
หลิหยางมองดูสีหน้าที่เต็มไปด้วยความอิจฉาของเหล่าชายหญิงพวกนี้แล้วก็สะโบกมือไปทีหนึ่ง จากนั้นแหวนพระสุเมรุในมือก็เปล่งแสงขึ้น พริบตานั้นเองบนสนามประลองแห่งนี้ก็มีชุดเกราะแบบเดียวทุกประการอันใหม่เอี่ยมปรากฏขึ้นมาทั้งหมดยี่สิบห้าชุด
พวกเวินชิงชิงอึ้งจนคิดอะไรแทบไม่ออก
ของที่ทรงพลังจนบ้าบอแบบนั้น ตกลงหลินอี้มันมีทั้งหมดกี่ชิ้นกันแน่??
เ้าหนูนี่หายตัวไปครึ่งปีหรือว่ามันจะไปได้คัมภีร์ลับอะไรมาด้วย ไม่อย่างนั้นมันจะทำได้ขนาดนี้เลยหรือ...
หลินหยางพอจะเดาสีหน้าใของเหล่าคนตรงหน้าได้อยู่ก่อนแล้ว
เขาหันไปสบตากับเวินติ่งเทียน คืนก่อน เขาได้บอกแผนการที่เขาวางเอาไว้หลังจากนี้ให้เวินติ่งเทียนได้รับรู้แล้วหลังจากเทศกาลขุมทรัพย์สมบัติิญญาไปแล้ว ความเชื่อมั่นที่มีต่อกันระหว่างหลินหยางกับเวินติ่งเทียนก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก
นับจากวันนี้ไป เขาจะพาเวินติ่งเทียน จะพาตระกูลเวิน ก้าวเดินไปบนเส้นทางอันรุ่งโรจน์บนผืนทวีปชี่อู่แห่งนี้