วันต่อมาซูฉีเฉียวก็ยังคงครุ่นคิดถึงเื่นี้ หากย้ายออกไปจากที่นี่ก็ยังสามารถกลั่นน้ำตาลได้ แต่ถ้าเป็เช่นนั้นหากต้องเดินทางเข้าไปในตัวเมืองก็จะเป็ระยะทางไกลขึ้น
“รอดูก่อนแล้วกัน”
ระยะเวลาห้าวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันนี้นางนำน้ำตาลทรายขาวห้าสิบกิโลกรัมไปส่งให้กับเถ้าแก่หวง นางได้รับเงินสองพันหนึ่งร้อยเหรียญทองแดง ไม่นานนางก็สามารถใช้เงินที่ยืมไปจากเถ้าแก่หวงก่อนหน้านี้ได้สำเร็จ ซึ่งก็ทำให้ในใจของซูฉีเฉียวรู้สึกผ่อนคลายลง จะต้องบอกเลยว่าเงินที่ขายน้ำตาลทรายขาวห้าสิบกิโลกรัม ยังได้ไม่มากเท่ากับการขายต้นอ่อนถั่วลันเตา แต่ว่าต้นอ่อนถั่วลันเตานั้นเป็สิ่งที่อยู่ได้ไม่นาน เพราะของเ่าั้เป็เื่ง่ายหากใคร้าจะเรียนรู้กรรมวิธีการปลูก
แต่วิธีการในการกลั่นน้ำตาลทรายขาวนั้นแตกต่างออกไป ขอแค่ปิดประตูทำอยู่เงียบๆ ก็ไม่มีใครสามารถเรียนรู้ที่จะทำตามได้
แต่หากไม่ให้คนอื่นช่วย นางก็จะต้องเหน็ดเหนื่อยยิ่ง
โชคดีที่นางไม่ใช่คนโลภมาก นางแค่อยากให้คนในครอบครัวมีข้าวกิน มีเสื้อผ้าสวมใส่ มีบ้านหลังใหญ่ให้พักอาศัย แค่นั้นก็เพียงพอแล้ว ส่วนความคิดที่จะเก็บเงินจนกลายเป็ครอบครัวชาวนาที่ร่ำรวยนั้น ซูฉีเฉียวไม่เคยนึกถึงเลย
ในตอนที่นางยังคงรู้สึกสับสนอยู่ว่าจะย้ายไปจากที่นี่ดีหรือไม่นั้น ยามที่ไปยังสถานที่ล่าสัตว์ของจางเฉาิ คนของครอบครัวหลักกลับเริ่มมาสูบเืสูบเนื้อพวกนาง
เพราะระยะนี้ซูฉีเฉียวเดินทางเข้าไปในเมืองบ่อยขึ้น ทำให้มีคนเห็นนางนำของเข้าไปในร้านอาหาร
และในตอนที่ออกมาตะกร้าที่สะพายเข้าไปก็จะว่างเปล่าตลอด
คนเหล่านี้ไม่ได้โง่เขลา ทำให้พวกเขาคาดเดาได้ในทันทีว่านางจะต้องนำของอะไรเข้าไปขายที่ร้านอาหารอย่างแน่นอน
บางคนที่ให้ความสนใจก็พบว่าหากซูฉีเฉียวเดินทางเข้าไปในเมืองก็จะซื้ออาหารกลับมาจำนวนไม่น้อย
รวมไปถึงต้านิว ต้าซวง เสี่ยวซวง ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นทุกวัน ต้านิวก็ได้สวมเสื้อผ้าใหม่ๆ เสมอ…
รายละเอียดในการใช้ชีวิตเหล่านี้ เมื่อมีคนรับรู้เข้าก็จะเกิดคนอิจฉาตาร้อน และคาดเดาไปว่าครอบครัวของจางเฉาิจะต้องหาหนทางในการทำมาค้าขายได้แน่นอน
บางครั้งคนเราก็มักมีนิสัยเสียที่ก่อตัวขึ้นมา
เมื่อคนเ่าั้ได้เห็นว่าตัวเ้าย่ำแย่กว่าตนเอง ยากจนกว่าตนเอง คนเ่าั้ก็ยินดีที่จะเข้ามาช่วยเหลือ แต่หากเ้าร่ำรวยกว่า คนเ่าั้ก็จะรู้สึกอยู่ไม่สุข
เหตุใดคนที่จนกว่าข้า แค่พริบตาเดียวก็มีเนื้อกิน มีข้าวกิน มีเสื้อผ้าดีๆ สวมใส่ได้เล่า!
จิตใจที่ไม่สมดุลกัน ทำให้เกิดความชั่วร้ายมากมายขึ้นมา คำพูดไม่น่าอภิรมย์จึงหลุดลอดออกมา
หากเป็พื้นที่ในชนบท ข่าวลือต่างๆ มักจะแพร่กระจายไปได้อย่างรวดเร็วที่สุด
เดิมทีจางเฉาิและภรรยาก็ไม่ได้เป็ที่พึงพอใจของคนในหมู่บ้านอยู่แล้ว แต่ตอนนี้ครอบครัวของพวกเขากลับร่ำรวยขึ้นมา ผู้คนเ่าั้ที่อิจฉาตาร้อนก็เริ่มพากันอยู่ไม่สุข
ในที่สุดข่าวลือนั้นก็แพร่กระจายไปจนถึงครอบครัวหลัก แม่เฒ่าจางได้ยินก็ใ เช่นนี้ก็ไม่เลวน่ะสิ
พวกเขาเพิ่งจะถูกขับไล่ไปได้ไม่นาน ทางครอบครัวก็หาเงินได้มากมายแล้วหรือ
ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเงินเ่าั้ต้องเป็เงินที่แอบซุกซ่อนเอาไว้แน่นอน
“จางเฉาิ พวกตัวซวย ซูฉีเฉียวออกมา!”
“ปัง…” เสียงของแม่เฒ่าจางดังขึ้นมาพร้อมกับเสียงกระถางแตกที่ตากแดดเอาไว้ด้านนอกดังขึ้น
ซูฉีเฉียวที่พวกเขาเรียกซึ่งกำลังยุ่งอยู่ในตัวบ้านก็เดินขมวดคิ้วออกมา
“ท่านแม่ ดูสิ อากาศดีๆ เช่นนี้ แต่นางก็ยังทำงานอยู่ในบ้าน ต่อให้เป็หญิงชราอย่างท่านก็ควรที่จะขึ้นเขาไปทำงานไม่ใช่หรือ แต่นางนี่สบายจริงๆ อยู่เรือนเป็ฮูหยินน้อยเชียว”
จางต้าและภรรยา เมื่อเห็นนางเดินออกมากก็รีบพูดทันที
“ถุย เ้าคนดวงซวย เ้าเห็นแม่สามีของเ้ามาหาไม่คิดจะออกมาต้อนรับเลยหรือ คนเป็สะใภ้เขาทำตัวกันเช่นนี้หรือ”
แม่เฒ่าจางเองก็นับว่าเป็คนฉลาด ไม่ได้เหมือนจางต้าและสะใภ้ใหญ่ที่ไม่ทำงานแต่มีความกตัญญู
ซูฉีเฉียววางต้านิวเอาไว้ในถัง ซึ่งในขณะนี้นางได้กวาดสายตามองแม่เฒ่าตระกูลจางด้วยท่าทีไม่รีบร้อนและไม่เชื่องช้า
“อา ท่านแม่ นี่มันหมายความว่าอย่างไรกัน พวกเราอยู่หมู่บ้านเดียวกัน อีกทั้งอยู่ห่างกันไม่ไกล ท่านแม่มาแล้วอย่างไรหรือ หรือว่าจะต้องทำเหมือนกับครอบครัวคนมีฐานะที่ให้พวกสาวใช้ออกมาต้อนรับ เฮ้อ ขออภัย ข้ากับจางเฉาิเป็คนดวงซวย หากข้าออกมาต้อนรับก็กลัวว่าท่านแม่จะบอกว่าข้าเป็ตัวซวย เมื่อถึงเวลานั้นหากข้าทำให้ท่านติดความโชคร้ายไปจากข้า หากเป็เช่นนั้นพวกข้าจะทนได้อย่างไรกันเล่า!”
แม่เฒ่าจางไม่เคยคิดเลยว่าคำพูดของตนเองที่พร่ำบอกมาตลอดว่านางเป็ตัวซวย วันนี้กลับกลายเป็คำพูดที่ทำให้ซูฉีเฉียวนำมาใช้เป็ข้ออ้าง
นางชี้ไปที่ซูฉีเฉียวด้วยความกรุ่นโกรธจนพูดอะไรไม่ออก เมื่อจางต้าและภรรยาที่อยู่ข้างๆ ได้เห็นน้องสะใภ้ฝีปากกล้าก็รู้สึกประหลาดใจ เมื่อก่อนซูฉีเฉียวยอมทำตามที่พวกตนสั่งเสมอ แต่ตอนนี้นางไม่เพียงแค่ฝีปากกล้า แต่ยังพูดจามีเหตุมีผลอีกด้วย จนถึงขั้นทำให้พวกเขาเถียงไม่ออก
“เ้า… เ้า…เ้ามันนังหญิงนางโลม” นางจางหลิ่วชี้นิ้วไปยังซูฉีเฉียวเพื่อ้าด่าทอนาง แต่ก็ไม่สามารถหาคำพูดอื่นมาด่านางได้
แต่ซูฉีเฉียวก็ไม่ใช่คนอ่อนแอ แม่สามีและสะใภ้คู่นี้ไม่มีอะไรทำก็ชอบมาหาเื่นางโดยไร้สาเหตุ จับผิดนาง ทำเหมือนนางเป็ตุ๊กตา ต่อให้นางเป็ตุ๊กตาอย่างไรก็จะต้องมีข้อบกพร่องกันบ้าง
นางกระแทกตะกร้าสานในมือ ก่อนจะก้าวเดินไปทางนางจางหลิ่ว “ท่านแม่ ท่านเอาแต่ด่าว่าข้าเป็นางโลม ท่านเองก็เป็หญิงเช่นกัน ยามที่เอ่ยปากด่าข้า รบกวนท่านควรคิดสักนิดว่าอะไรที่ควรพูดอะไรไม่ควรพูด ไม่ว่าอย่างไรท่านก็อายุไม่น้อยแล้ว ลูกหลานโตกันหมดแล้ว หากยังพูดอะไรไม่คิดอีก หากแก่ตายไปก็ไม่รู้ว่าจะมีคนเผากระดาษเงินกระดาษทอง ถอนหญ้าบนหลุมฝังศพให้หรือไม่”
นางจางหลิ่วเบิกตากว้าง จางต้าและภรรยาก็แทบไม่กล้าหายใจ พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าซูฉีเฉียวที่อยู่เบื้องหน้าจะกล้าด่าทอด้วยคำพูดเ่าั้
นางจางหลิ่วเงื้อมือขึ้นตั้งใจจะตบซูฉีเฉียว “นังหญิงในหอโคมเขียว ไม่นึกเลยว่าจะกล้ามาด่าข้า กล้าแช่งให้ข้าตายเช่นนี้ นังคนอกตัญญู ต่อให้วันนี้ข้าตีเ้าให้ตาย คนอื่นๆ ก็คงไม่ว่าอะไรกระมัง”
นางจะตบตีแต่ซูฉีเฉียวไม่มีทางยอมแน่ นางบีบแขนของนางจางและดึงออกอย่างแรง “ท่านแม่จางหลิ่ว ข้าเคารพท่าน เรียกท่านว่าท่านแม่สามี แต่ท่านก็เอาแต่กล่าวว่าข้าเป็คนนอก ด่าทอข้าว่าเป็นางโลม ขอถามหน่อยเถิด ว่าข้าไปขายเนื้อหนังหรือขายรอยยิ้มเพื่อแลกเงินเมื่อใดกัน ท่านเองก็เป็หญิง ท่านไม่ได้ทำเื่เช่นนั้น หรือว่าจะบีบบังคับให้สะใภ้ไปขายเืขายเนื้อกินกัน ไม่รู้ว่าท่านแม่สามีกำลังคิดสิ่งใดอยู่หรือ ผู้อื่นเขาอยากให้ลูกหลานมีชีวิตที่ดี เวลาที่ท่านแม่ไม่มีสิ่งใดให้ทำก็คอยแต่จะมาหาเื่สะใภ้อย่างข้าอยู่ร่ำไป เช่นนี้มันส่งผลดีต่อท่านหรือ ข้าไม่อยากจะพูดด้วยแล้ว ตอนนี้เชิญท่านออกไปจากบ้านของข้าเสีย ก่อนที่ข้าจะโกรธและลงมือพลั้งทำอะไรลงไป!”
เ้าคนเหล่านี้ แม้นางไม่อยากจะถือสาหาความอะไรกับพวกเขา แต่ในใจของซูฉีเฉียวนั้นเต็มไปด้วยความโกรธเคือง
ยิ่งนางเป็ผู้บริสุทธิ์ที่ไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่ได้รับความรักความเอ็นดูจากหญิงชรานางก็ไม่คิดจะใส่ใจ แต่นางมีสิทธิ์อะไรจะมาตบตีและด่าทอนางตามใจชอบ การเป็ลูกสะใภ้ในยุคโบราณไม่ใช่เื่ง่าย จิติญญาของนางเป็คนจากยุคสมัยปัจจุบันแต่มาอยู่ในร่างของคนในยุคอดีต
จะได้ใช้ชีวิตร่วมกับจางเฉาิต่อไปได้หรือไม่นางไม่คิดใส่ใจ หากแม่สามีผู้นี้ยังคงบีบบังคับให้นางและจางเฉาิหย่าร้างกัน นางก็จะออกไปจากที่นี่ เพราะอย่างไรเ้าของร่างเองก็มีครอบครัวของมารดาให้กลับไปหาอยู่ดี
ซูฉีเฉียวที่ครุ่นคิดจนเข้าใจดีแล้ว นางจะอ่อนแอเหมือนเมื่อก่อนได้อย่างไรกันเล่า ตัวนางในตอนนี้แสดงออกด้วยรูปลักษณ์ที่ปราศจากความกลัว นางจางหลิ่วและสะใภ้ใหญ่จ้องมองไปที่นางด้วยความตกตะลึง
นางจางหลิ่ว้าจะะเิโทสะ แต่ก็มีน้ำเสียงที่โศกเศร้าที่อยู่หน้าประตูเอ่ยปากขึ้นมา “ท่านแม่ ไม่ว่าท่านจะไม่ชอบข้าอย่างไร แต่ก็ไม่ควรบีบบังคับพวกเราให้หมดหนทางมีชีวิตได้ ท่านแม่อยู่กับท่านพ่อของข้ามาหลายปี ไม่เคยมองข้าเป็ลูกคนหนึ่ง เื่นั้นข้าไม่โกรธ เพราะอย่างไรข้าก็ไม่ใช่ลูกที่ท่านแม่ให้กำเนิด ไม่กี่วันก่อนถึงได้ขับไล่พวกเรา ยามนี้ยังใช้โอกาสที่ข้าไม่อยู่มาบีบบังคับยัดความผิดให้ภรรยาข้า ท่าน...ท่านกำลังพยายามบีบบังคับให้พวกเราตาย ท่านแม่ หากท่านอยากได้ชีวิตลูก ท่านก็เอาไปเถิด ชีวิตที่ต่ำตมของข้าหากอยากได้ก็เอาไปเลย ขอเพียงช่วยไว้ชีวิตภรรยาและลูกสาวของข้าได้มีหนทางใช้ชีวิต ท่านแม่ อย่ามาบีบบังคับพวกเราอีกเลย พวกเราแค่อยากมีชีวิตที่สงบสุข…”
นางจางหลิ่วมองบุตรชายที่ร่ำไห้อย่างเศร้าโศก โกรธจนร่างกายสั่นสะท้านไปทั้งตัว
กลอุบายเหล่านี้เป็สิ่งที่เมื่อก่อนนางมักใช้กับบุตรชายและสะใภ้ เหตุใดวันนี้อุบายร้องห่มร้องไห้เรียกร้องความเป็ธรรมนี้จึงได้ถูกบุตรชายที่เชื่อฟังนางมากที่สุดแย่งชิงไปกันเล่า
“เ้า…เฉาิ เหตุใดเ้าถึงพูดเช่นนี้กับแม่ อ๋อ จริงสิ เ้าจะต้องถูกปลุกปั่นจากนังหญิงชั่วคนนี้แน่ บอกว่าข้าเป็แม่เลี้ยงเ้า ข้าใช้จิตใจอันเมตตาพูดกับเ้าเช่นนี้ยังไม่พออีกหรือ เสื้อผ้าที่สวมใส่ข้าก็มอบให้เ้ากับพี่ๆ ของเ้า ตัวข้าให้กำเนิดลูกต่างก็รับเสื้อผ้าเก่าต่อจากพวกเ้ามาสวมใส่ ของกินข้าก็พยายามหาให้พวกเ้า เ้า...เ้ายังฟังคำพูดของคนอื่นเพราะข้าเป็แม่เลี้ยงน่ะหรือ เทพเซียนบน์ เหตุใดจึงเป็เช่นนี้ไปได้เล่า โอ้์ ท่านแหกตาดูสิ หลังจากที่นังนางโลมคนนี้แต่งงานเข้ามาในครอบครัวของเราก็เอาแต่เสี้ยมสอนสร้างความขัดแย้ง ยามนี้ยังแย่งบุตรชายไปจากข้า ข้า…ข้าคงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้…”
ซูฉีเฉียวได้ยินคำพูดของแม่เฒ่าโเี้ก็รู้สึกคลื่นไส้อยากอาเจียน นางไม่อยากจะมองดูท่าทีของนางจางหลิ่วอีก จึงเดินไปปิดประตูดังปัง อย่างไรนางก็คิดดีแล้ว อยากทำอะไรก็ทำไปเถิด อย่างมากก็แค่แยกย้ายกันไป
“ท่านแม่ ข้าจะพูดอีกครั้ง ซูฉีเฉียวคือภรรยาของข้า เป็สตรีที่ข้าตั้งใจจะแต่งงานกับนาง ท่านเอาแต่ด่านาง บอกว่านางเป็นางโลม ท่านแม่ ท่านกลับไปเถิด ข้ายุ่งมากแล้ว หลังจากนี้หากไม่มีเื่ใดก็ไม่ต้องมาที่บ้านของข้าอีก ข้าคงทนการมาเยือนของท่านไม่ได้จริงๆ เดินทางกลับดีๆ เล่า ข้าคงไม่ไปส่ง”
จางเฉาิเองก็โกรธเคืองเป็อย่างมาก มารดาคนนี้เอ่ยปากก็ด่าทอว่าภรรยาของเขาเป็นางโลม เขาที่เป็ชายยังรับไม่ได้กับคำพูดเ่าั้เลย และภรรยาของเขาคือคนที่ใช้ชีวิตร่วมกับเขาไปตลอดชีวิต เขาไม่ได้จะใช้ชีวิตทั้งชีวิตกับมารดาที่เห็นเขาเป็เครื่องผลิตเงินคนนี้เสียหน่อย หากท่านแม่ไม่ได้ปฏิบัติต่อเขาย่ำแย่เพียงนี้ เขาก็คงจะยังทำตัวปกติและปฏิบัติต่อนางด้วยความกตัญญูได้ แต่ว่า…นางทำเกินไป เขาก็ต้องเลือกที่จะยืนอยู่ข้างภรรยาของตนเอง
ซูฉีเฉียวที่อยู่ในห้องคิดไม่ถึงเลยว่าจางเฉาิจะเลือกปกป้องตนเอง
ปลายจมูกรู้สึกยุบยิบราวกับจะร้องไห้ ความคิดที่อยากแยกทางกับจางเฉาิเมื่อครู่นี้ได้หายไปจนหมด
เสียงของนางจางหลิ่วร่ำไห้และะโด่าดังก้องมาจากหน้าบ้าน จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงตำหนิของตาเฒ่าจาง ตาเฒ่าจางที่ได้รู้ข่าวว่าภรรยามาสร้างความวุ่นวายก็ทิ้งจอบและรีบเร่งเดินทางมาทันที
เมื่อเห็นนางจางสร้างความวุ่นวาย เขาก็ได้เข้ามาลากนางออกไป
“พอแล้วยายแก่ เ้าก็ขับไล่เขาไปแล้ว ยามนี้ยังจะมาสร้างความวุ่นวายอีก”
“ข้าสร้างความวุ่นวายอย่างไร เฉาิเป็คนของตระกูลจาง ข้าเป็แม่ของเขา เหตุใดเ้าไม่ให้ข้ามาหาเขา ข้ามาบ้านเขา ข้ายังไม่ทันได้เข้าไปก็ถูกนังหญิงชั่วนั่นกันไว้ ถุย มีด้วยหรือสะใภ้เช่นนี้ ควรจะถูกฟ้าผ่าสักห้าครั้ง…โถ ์…”
“นี่ยายแก่ เ้าช่วยใช้ชีวิตเงียบๆ ไม่ได้หรือ”
“ถุย ถุย ตาเฒ่า ข้าไม่ใช้ชีวิตเงียบๆ อย่างไรกัน เป็เพราะสองคนนั้นที่ทำให้พวกเราไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข เลี้ยงลูกก็เพื่อเอาไว้เลี้ยงดูยามแก่เฒ่า นี่ผ่านไปแค่ไม่กี่วัน เ้าลูกชายคนนี้ก็ลืมแม่อย่างข้าไปแล้ว”
ความรู้สึกของคนอื่นๆ ในหมู่บ้านที่รู้สึกต่อการก่อความวุ่นวายของตระกูลจางนั้นต่างก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันออกไป บางคนก็บอกว่าซูฉีเฉียวและสามีไม่ให้ความเคารพ แต่หลายคนที่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับนางจางก็บอกว่าไม่ใช่ความผิดของซูฉีเฉียว