ทุกคนต่างรู้ดีว่าซูฉีเฉียวคือสะใภ้ที่ถูกตระกูลจางข่มเหงรังแกมาตลอด จากการก่อความวุ่นวายในครั้งนี้สะใภ้ใหญ่ของตระกูลจางคือผู้ที่ไม่สบอารมณ์มากที่สุด
ปกตินางก็ไม่้าให้น้องสะใภ้มีชีวิตที่ดีกว่านางอยู่แล้ว ครั้งนี้นางอยากจะให้นางจางหลิ่วจัดการกับซูฉีเฉียวเพื่อที่จะได้ใช้โอกาสนี้ทำให้ตนเองได้รับสิ่งดีๆ กลับมา แต่น่าเสียดายครั้งนี้นางจางหลิ่วกลับทำอะไรไม่ได้ แล้วยังถูกจางเฉาิและภรรยาของเขาด่าทออีก
หลังจากกลับบ้าน ตาเฒ่าจางก็โกรธเคืองนางเพราะเื่ที่เกิดในครั้งนี้เป็อย่างมาก
ตาเฒ่าจางเป็ชายขี้ใจอ่อนและขี้สงสาร หากเป็เื่ทั่วๆ ไปเขาก็ไม่คิดที่จะถือสาเอาความอะไรกับผู้เป็ภรรยา แต่ครั้งนี้คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะทะเลาะวิวาทกับภรรยาเพื่อจางเฉาิ ั้แ่เกิดเื่นี้ก็ทำให้เห็นได้เลยว่าตาเฒ่าจางยังใส่ใจบุตรชายอย่างจางเฉาิอยู่
และด้วยเหตุนี้จึงทำให้สะใภ้ใหญ่รู้สึกโกรธเคืองยิ่งนัก นางรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีว่าหากเป็เช่นนี้ต่อไป บ้านหลังใหญ่ของพวกเขาจะต้องถูกเหล่าซื่อแย่งชิงไปแน่นอน อีกอย่างครอบครัวของนางก็ไม่ได้มีใครที่ตาเฒ่าจางรักใคร่เอ็นดูเหมือนเหล่าเมอนี่ แต่นางเองก็ชอบที่จะเข้าไปต่อสู้แย่งชิงความรักเช่นนั้น
ยิ่งเสี่ยง นางโจวก็ยิ่งรู้สึกอยากทำร้ายซูฉีเฉียว
……
จางเฉาิมองใบหน้าเ็าที่อยู่ไม่ไกล ก่อนที่เขาจะลอบถอนหายใจ ภรรยาของเขากำลังโกรธมาก แต่นั่นก็ไม่ใช่เื่ที่เขาสามารถทำอะไรได้
เขาลากขาที่าเ็เพื่อเดินไปทำอาหาร
นั่นไม่ใช่สิ่งที่ซูฉีเฉียวจะทนมองอยู่เฉยๆ ได้ นางก้าวไปเบื้องหน้าและแย่งของจากในมือเขา เพื่อทำหน้าที่ทำอาหาร
“ภรรยา เ้าเหนื่อยแล้ว ข้าจะทำเอง” จางเฉาิกลับยังคงอยากที่จะทำอยู่ดี เขาจึงถูกซูฉีเฉียวจ้องมองด้วยความไม่พอใจ “ข้ากำลังติดหนี้เ้าอยู่ ไม่ว่าอย่างไรก็คงชดใช้ไม่หมด ซูฉีเฉียว เ้าฟังข้านะ หลังจากนี้หากเกิดเื่ราวเช่นนี้อีก เ้าจะต้องยืนอยู่ข้างข้า ไม่อย่างนั้นข้าจะหย่ากับเ้า”
อันที่จริงซูฉีเฉียวไม่ได้รู้สึกโกรธแล้ว เพราะนางโกรธไม่ลงนั่นเป็เหตุที่นางส่งเสียงฮึมฮัมออกมาด้วยความไม่พอใจก่อนหน้านี้
จางเฉาิเองก็ได้แต่ยิ้ม เกาศีรษะด้วยท่าทีไร้เดียงสา ยิ้มกันอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าซูฉีเฉียวไม่สนใจตนเองและทำหน้าบึ้งตึงอีกครั้ง “ภรรยา ขอแค่เ้ามีเหตุผล ข้าก็เลือกที่จะยืนข้างเ้าอยู่แล้ว และแน่นอนว่าต่อให้ไม่มีเหตุผลข้าเองก็ยังจะยืนอยู่ข้างเ้า”
คำพูดที่เอ่ยตามด้านหลังนั้นเขาเอ่ยออกมาด้วยท่าทีเก้อเขิน ซูฉีเฉียวเองก็ดีใจที่ได้ยินเช่นนั้นและเหลือบตามองไปที่เขา “อ๋อ การที่เ้าทำเช่นนี้ก็เหมือนกับชายหูเบาในตำนานเลยนะ”
ซูฉีเฉียวหลุดยิ้มออกมา “ขอแค่ภรรยาดีใจ แม้จะถูกคนมองว่าเป็คนหูเบาข้าก็ไม่สนใจ ภรรยา วันนี้เ้าเสียใจใช่หรือไม่ คำพูดที่…ท่านแม่เอ่ย เ้าไม่ต้องใส่ใจ อย่างไรข้าก็รู้ดีว่าภรรยาของข้าเป็คนดี” ภรรยาของเขาหาเงินได้ ทำงานเก่ง เพียบพร้อมด้วยคุณธรรม ดีกว่าหญิงสาวทุกคนบนใต้หล้านี้ คนที่บอกว่าภรรยาของเขาเป็คนไม่ดีนั้นล้วนแต่เป็พวกตาไม่ดี
“แต่ว่า…ภรรยา เ้าคงไม่ได้อยากจะหนีไปจากข้าจริงๆ ใช่หรือไม่” เมื่อครุ่นคิดถึงเมื่อครู่ที่นางเอ่ยกับท่านแม่ว่า้าจะหนีไปจากเขา จางเฉาิก็ถึงกับยิ้มไม่ออก เพราะเขาชื่นชอบ่เวลาที่ได้อยู่กับภรรยา
ภรรยาที่ง่วนอยู่กับเื่ต่างๆ กลิ่นหอมกรุ่นจากเรือนร่างของนาง เขาชอบอยู่ข้างกายนาง ต่อให้ไม่พูดอะไรสักคำเขาก็รู้สึกว่ามีความสุข หากว่าวันใดวันหนึ่งภรรยาจากเขาไป เขาคิดว่าโลกใบนี้คงไม่มีสีสันอีกต่อไป เมื่อมีนางอยู่ ใต้หล้านี้จึงจะเต็มไปด้วยพลังและแสงสว่าง เมื่อถึงยามนี้ จางเฉาิจึงได้รู้ว่าภรรยาได้อยู่ในหัวใจของเขาโดยที่เขาไม่เคยรู้ตัวมาก่อน…
ยิ่งได้ลิ้มรสความสุข เขาก็ยิ่งไม่อยากสูญเสียมันไป
เมื่อเห็นใบหน้าที่แสดงท่าทีอย่างระมัดระวังของเขาค่อยๆ แดงขึ้น ซูฉีเฉียวที่อยากจะเย้าแหย่เขาก็เปลี่ยนเป็ดุเขาแทน
“ขอแค่เ้าไม่หักหลังข้า ไม่มองหญิงอื่น ตอนที่ข้าถูกรังแกก็คอยยืนอยู่ข้างกายข้า เช่นนั้นข้าก็จะไม่หนีเ้าไปไหน เอาล่ะ ตอนแรกข้าก็ไม่อยากไปจากที่นี่ แต่ในเมื่อคนเหล่านี้มาสร้างความเดือดร้อน ข้าคิดว่าพวกเราไปจากที่นี่กันเถิด อย่างมากข้าก็แค่ไปหารือกับเถ้าแก่หวงถึงวิธีการส่งสินค้า ข้าเชื่อว่าหากส่งสินค้าทุกสิบวันน่าจะตกลงกันได้”
เมื่อได้รับคำยืนยันจากนาง จางเฉาิก็หัวเราะออกมา
ยังดี…ยังดีที่ภรรยาไม่ได้คิดจะหนีจากพวกเขา
และในเวลานี้ เ้าตัวน้อยต้าซวงก็ร้องไห้งอแงขึ้นมา
ทั้งคู่มองไปก็เห็นว่าแม่หนูน้อยถ่ายเบาออกมา
“แม่หนูน้อย ผ่านไปแค่ครู่เดียวเ้าก็ถ่ายเบาอีกแล้วหรือ น่าโมโหจริงๆ” จางเฉาิรีบร้อนเข้าไปหาต้าซวงในใจคิดอยากจะตีนางสักทีจริงๆ
เด็กน้อยอายุหนึ่งขวบครึ่ง กำลังอยู่ในวัยที่สอนให้ปีนลงมาถ่ายเบาด้วยตนเอง แต่ในบางครั้งเ้าตัวน้อยก็มักจะลืม
ซูฉีเฉียวจ้องเขาเขม็งและอุ้มต้าซวงขึ้นมา เปลี่ยนกางเกงใหม่ให้กับนาง เมื่อเห็นจางเฉาิอยู่ข้างกายก็โมโหใส่เขา
“เสร็จแล้ว เ้าไม่ต้องมามองข้าด้วยท่าทีระมัดระวังเช่นนั้นหรอก เด็กสองคนนี้ยังเล็ก บางครั้งก็ฉี่รดกางเกง ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่พวกนางอยากให้เกิดขึ้น ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าข้าแสดงออกอย่างไร แต่ยามนี้ข้ามองว่าพวกนางเป็ลูกของข้าจริงๆ ดูต้านิวของพวกเราสิ ใบหน้าเล็กๆ สะอาดสะอ้าน ดวงตาก็งดงามราวหินโมรา หลังจากนี้หากโตขึ้นจะต้องเป็หญิงงามแน่ๆ เฉาิหากตอนนี้ครอบครัวของพวกเรามีคนช่วยเหลือดูแลลูกก็คงจะดี”
เพราะเื่นี้ทำให้ทั้งคู่ยังลงมือทำอะไรมากไม่ได้ เลี้ยงเด็กสาวสองคนต้องคอยดูแลทั้งวัน ต้านิวก็ทำได้เพียงแค่คอยดูพวกนางเท่านั้น แต่เพราะว่าเป็เด็กถึงสองคน หากให้ต้านิวดูแลก็คงเหนื่อยเอาเื่
และด้วยเหตุนี้ เื่ที่สองสามีภรรยาทำอยู่ มักจะทำไปได้ครึ่งหนึ่งและต้องคอยมาดูแลบุตรสาวไปด้วย
“เฮ้อ จะโกรธก็โกรธข้าเถิด พ่อของต้าซวงเสี่ยวซวงถูกหมีกัดจนพิการ เมื่อกลับบ้านภรรยาของเขาทนไม่ได้ที่ต้องรับหนี้สินคนเดียวจึงหนีไปกลางดึก ทิ้งเด็กที่น่าสงสารเอาไว้สองคน…ข้าก็ไม่สามารถปฏิเสธคำร้องขอของผู้เป็สหายได้…” จางเฉาิเอ่ยถึงสิ่งนี้ด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
“ไม่เป็ไร การเจอลูกสาวก็ถือเป็โชคชะตา ข้าไม่ได้รังเกียจต้าซวงกับเสี่ยวซวงเลย แต่ว่าภรรยาของสหายเ้าใจร้ายจริงๆ เลย อย่างไรทั้งคู่ก็ยังเด็ก สตรีนางนี้เหตุใดจึงได้ใจร้ายเช่นนี้นะ”
เมื่อพูดถึงครอบครัวของต้าซวงและเสี่ยวซวง ซูฉีเฉียวรู้สึกประหลาดใจว่าบนโลกนี้มีคนเช่นนี้อยู่ด้วยหรือนี่
แม่ของต้าซวงและเสี่ยวซวง เพราะสามีได้รับาเ็จนพิการ จึงทอดทิ้งไปและไม่เคยกลับมาอีก ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตอนนี้แม่ของเด็กทั้งสองจะเป็อย่างไร สำหรับซูฉีเฉียวแล้วการทอดทิ้งสามีเช่นนี้ถือเป็สิ่งที่น่ารังเกียจจริงๆ
“เฮ้อ ยามนั้นหญิงม่ายคนหนึ่งทอดทิ้งเด็กน้อยทั้งสอง หากอยากจะแต่งงานอีกก็ถือเป็เื่ยาก แม่ที่ให้กำเนิดต้าซวงและเสี่ยวซวงก็เป็คนที่หน้าตาพอใช้ได้ ได้ยินมาว่า เพราะตอนนั้นนาง้าอยู่กับพ่อของเด็กทั้งสองจึงถูกตัดขาดจากครอบครัวของตนเอง คนคนนี้ใช้ชีวิตด้วยความยากจนมาหลายปี ก็เปลี่ยนความรักในตอนแรกเริ่มเป็ความทุกข์ทรมาน หลังจากนั้นก็ใช้ชีวิตที่เหลือด้วยความโกรธแค้น อย่างไรก็ตาม สองปีที่ผ่านมานั้นพ่อและแม่ของต้าซวง เสี่ยวซวงทะเลาะกันไม่น้อย คาดว่าน่าจะเริ่มั้แ่่ที่ความสัมพันธ์ของสองสามีภรรยาเริ่มจางหายไป”
เมื่อเอ่ยถึงเื่ราวที่ผ่านมาจนถึงตอนนี้ สองสามีภรรยาก็ถอนหายใจออกมา ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรในเื่นี้อีก แต่ว่าซูฉีเฉียวก็เอ่ยบางอย่างออกมา
“เฉาิ ในตอนที่เ้ารับต้าซวง เสี่ยวซวงมาเลี้ยงดู สหายคนนั้นของเ้าไม่เคยให้หลักฐานยืนยันของพวกนางไว้เลยหรือ หากวันหนึ่งแม่ของเด็กทั้งสองบากหน้ามาขอเด็กคืนไป เ้าว่า…พวกเราจะทำอย่างไร”
หากดีต่อเด็กทั้งสอง นางเองก็ไม่มีความเห็นอะไร แต่สิ่งที่กลัวที่สุดคือหากหญิงนางนั้นเปลี่ยนไปแล้ว จนเกิดความคิดที่ชั่วร้ายขึ้นมา เช่นนั้นคงไม่ใช่เื่ดีแน่
ซูฉีเฉียวเคยพบเห็นเื่ราวแบบนี้ไม่น้อยในโลกที่ทะลุมิติไปครั้งที่สอง
มีหญิงสาวมากมายที่ทอดทิ้งสามีและลูกไป แต่สุดท้ายเมื่อลูกๆ เติบโตขึ้นมาสักหน่อย ก็เกิดความคิดอยากจะได้ตัวลูกกลับไป ไม่ใช่เพราะรู้สึกผิดต่อลูกๆ แต่เพราะคิดว่า…ลูกๆ จะนำพาความผาสุกมาให้พวกนางต่างหาก…
“...” จางเฉาิไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ แต่แววตาของเขากลับเด็ดเดี่ยว ซึ่งมันเป็เครื่องยืนยันได้ว่าหากเกิดเื่ราวเช่นนั้นขึ้น เขาจะต้องปกป้องบุตรสาวทั้งสองเอาไว้ให้ได้อย่างแน่นอน
ซูฉีเฉียวเป็คนฉลาด นางจึงไม่เอ่ยถามสิ่งใดอีก และเตรียมตัวไปทำเื่อื่นต่อ
จากการผลิตน้ำตาลทรายขาวและต้นอ่อนถั่วลันเตาออกมาหลายครั้ง ทำให้ได้เงินมาจำนวนไม่น้อย หากคำนวณตามรายได้ปกติยามนี้ในมือของทั้งคู่ก็จะมีเงินอยู่ราวๆ สองร้อยตำลึงเงิน ไม่ว่าอย่างไรพวกนางก็จะต้องทำการวางแผนเพื่อสร้างบ้านและซื้อที่ดิน
จะต้องรู้ก่อนว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับครอบครัวชาวนานั่นก็คือการมีที่ดินทำนาอยู่ใน
พวกนางต้องพึ่งพาจากเงินสองร้อยตำลึงนี้ ตอนนี้ความเป็อยู่ของพวกนางดีขึ้นเป็ร้อยเท่า กระทั่งยามนี้มีเงินอยู่ถึงสองร้อยตำลึงเงิน หากจะกล่าวไปแล้วก็ถือเป็คนที่ประสบความสำเร็จ
แต่ทั้งคู่ก็ไม่ได้ซื้อที่ดิน และในตอนที่ไก่ขันรับรุ่งอรุณเป็ครั้งแรกของเช้าวันนั้น พวกเขาก็พากันเก็บข้าวของและเดินทางออกไปยังหมู่บ้านหวงสุ่ยทันที
หมู่บ้านหวงสุ่ยคือสถานที่ที่พวกนางย้ายไปลงหลักปักฐาน
เมื่อมองแผ่นหลังของชายหนุ่มที่กำลังควบคุมรถม้า ซูฉีเฉียวที่ดูแลบุตรสาวทั้งสามคนอยู่ด้านในรถม้าก็ได้แต่มองด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ต้าซวงและเสี่ยวซวงที่ได้รับการดูแลในสองสามเดือนที่ผ่านมา นับวันก็ยิ่งแข็งแรงขึ้นเรื่อยๆ
ความเหลืองบนใบหน้าที่เคยมีไม่หลงเหลืออยู่แล้ว สิ่งที่เหลืออยู่นั้นมีเพียงใบหน้าที่อวบอิ่มและน่ารัก
ต้านิวเองก็เปลี่ยนจากที่เคยเป็โรคคอพอกไปเป็เด็กที่ฉลาดและน่ารักมากขึ้น พูดเยอะขึ้น สาวน้อยทั้งสามคนนั่งรายล้อมซูฉีเฉียวเพื่อฟังเื่เล่าจากนาง บางครั้งก็พูดแทรกขึ้นมาประโยคสองประโยค
ผ่าน่ระยะเวลาบำรุงสองเดือนที่ผ่านมา อาการาเ็ที่ขาของจางเฉาิเองก็หายดีแล้วเช่นกัน
และร่างกายของเขาก็แข็งแรงมากกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย สีหน้าผิวพรรณก็แตกต่างไปจากเมื่อก่อนมาก จางเฉาิในตอนนี้เมื่อเดินเหินไปที่ไหนอาจจะไม่ได้สะดุดตามาก แต่อย่างน้อยความแข็งแกร่งในแบบของบุรุษก็เปิดเผยออกมาอย่างเต็มที่
โดยเฉพาะแววตาที่ร้อนแรงคู่นั้นของเขา บางครั้งในตอนที่กวาดตามองไปยังซูฉีเฉียวก็มักทำให้นางมีอาการใจสั่น สายตาของชายคนนี้ร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้นางไม่รู้ว่าจะทำตัวอย่างไรดี
แต่ทุกคืนทั้งคู่ก็ทำเพียงแค่โอบกอดกันนอนหลับไป
หากซูฉีเฉียวไม่อนุญาต จางเฉาิก็จะไม่ทำให้นางต้องลำบากใจ
มีหลายครั้งตอนที่ซูฉีเฉียวงัวเงียตื่นขึ้นมามักจะได้ยินเสียงมีคนสาดน้ำเย็นอยู่นอกบ้าน…ทั้งหมดนั้นทำให้นางรู้สึกผิดต่อเขา
ความสัมพันธ์นี้เพิ่งจะพัฒนามากขึ้น เพียงแต่ว่าทั้งคู่เพิ่งรู้จักกันได้เพียงสองเดือนกว่าๆ นางยังไม่อยากที่จะสานความสัมพันธ์กับบุรุษรวดเร็วเพียงนั้น ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์นี้อาจจะเกิดขึ้นไม่ช้าก็เร็วก็ตาม แต่นางก็ยังอยากััความรู้สึกของความรักไปเช่นนี้ก่อน
และเพราะเหตุนั้น ในคืนหนึ่งนางก็ได้พูดคุยกับจางเฉาิด้วยความระมัดระวังว่ายามนี้ทั้งคู่อยู่ใน่ที่กำลังคบหาดูใจกัน
แม้ว่าจางเฉาิจะไม่เข้าใจว่าอะไรคือการคบหาดูใจกัน เพราะชายหญิงในยุคสมัยนี้ส่วนมากจะไม่เคยพบเจอหน้ากันก่อนเข้าพิธีแต่งงาน
แล้วจะไปมี่เวลาที่ได้คบหาดูใจกันเหมือนคนในยุคปัจจุบันได้อย่างไรกัน
ตอนที่ซูฉีเฉียวกำลังอธิบายอย่างใจเย็นนั้น ชายหนุ่มผู้น่าสงสารและซื่อสัตย์ก็เข้าใจในที่สุด ในระยะคบหาดูใจกันนี้ชายหนุ่มจะต้องให้เกียรติหญิงสาว หญิงสาวเอ่ยปากบอกว่าให้กอดจูบได้เมื่อใดชายหนุ่มจึงจะทำได้ หญิงสาวไม่คัดค้านเื่การร่วมรักจึงจะสามารถหลับนอนกับนางได้
ความ้าของเขาไม่ได้สูงมากเท่าไรนัก เขาคิดแค่ว่าได้เฝ้ารอภรรยาก็เพียงพอแล้ว
ส่วนเื่อื่น เขายังไม่เคยนึกถึงมาก่อน
และด้วยเหตุนี้ เมื่อเอ่ยเสนอข้อตกลงไปแล้ว จางเฉาิก็ไม่มีสิ่งใดที่้าคัดค้าน
เมื่อตัดสินใจย้ายบ้าน ซูฉีเฉียวก็ขอให้เขาจัดเตรียมรถม้าเอาไว้ให้พร้อม
หลังจากนี้หากนำน้ำตาลมาส่ง หากไม่มีรถม้าก็คงจะไม่สะดวก
แน่นอนว่ารถม้าพวกนี้สามารถวิ่งได้แค่บนถนนเท่านั้น
หากไปถึงหมู่บ้านหวงสุ่ยก็คงทำได้เพียงแค่ให้ม้าแบกของเข้าไปเท่านั้น ส่วนคนก็ต้องเดินเท้าตามเข้าไป
เพราะบนเขาไม่สามารถแล่นรถม้าผ่านเข้าไปได้